เพราะอะไร...คนถึงกินป๊อปคอร์นเวลาดูหนัง
หลายคนเคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมเวลาที่เราเข้าดูหนังที่โรงหนังหรือที่บ้าน เราจึงต้องเลือกกินป๊อปคอร์น หรือที่บริเวณหน้าโรงหนังจะต้องมีเคาน์เตอร์ป๊อปคอร์นอยู่ที่ด้านหน้า จริงๆแล้ว เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปค่ะ
ในช่วงปี 1929 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจของอเมริกาตกต่ำ ป๊อปคอร์นที่เป็นขนมขบเคี้ยวที่หาซื้อกินได้ในราคา 10 เซนต์ และเคยขายอยู่แค่หน้าโรงละคร งานเทศกาล ซึ่งมีขายอยู่เพียงจุดเล็กๆ ก็ได้ลุกลามเข้าไปขายในซุปเปอร์มาเก็ต สวนสนุก สวนสาธารณะ รวมถึงในโรงหนังที่ก่อนหน้านี้เคยห้ามไม่ให้นำข้าวโพดคั่วเข้าไปรับประทานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่หลายๆ ธุรกิจตกต่ำจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ป๊อปคอร์นกลับมียอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และต่อมาได้มีนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันผลิตเครื่องทำป๊อปคอร์นออกมา ซึ่งในช่วงแรกเป็นตู้ป๊อปคอร์นแบบคั่วเกลือ ด้วยต้นทุนที่ต่ำทำให้ป๊อปคอร์นจึงมีรายได้สูง และด้วยความที่ในยุคนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำตาลได้ถูกส่งไปให้ทหารอเมริกันที่รบอยู่นอกประเทศ ทำให้ขนมขบเคี้ยวที่ให้ความหวานหายากมากกว่าปกติ ผู้คนจึงเลือกป๊อปคอร์นเป็นขนมขบเคี้ยวแทน
ต่อมาในยุคที่โรงหนังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ว่าทิ้งห่างโรงละครเวทีหรือละครสัตว์ไปไกลลิบ โรงหนังจึงต้องยอมให้คนดูนำป๊อปคอร์นไปกินในโรงหนังได้ นับตั้งแต่นั้นมาป๊อปคอร์นจึงเป็นส่วนหนึ่งของโรงหนังไปโดยปริยาย
แต่แล้วไม่นาน ก็มีนักธุรกิจเจ้าของโรงหนังแห่งหนึ่งเล็งเห็นการทำกำไรจากการขายป๊อปคอร์น เขาจึงเลือกไล่คนขายป๊อปคอร์นที่ขายอยู่อยู่หน้าโรงหนังออกไปทั้งหมด และตั้งบูธป๊อปคอร์นเป็นของตนเองในโรงหนังและบวกราคาเพิ่มสูงขึ้น พร้อมกับตั้งกฎที่ตลกร้ายไม่ให้นำป๊อปคอร์นจากภายนอกเข้ามาในโรงหนัง ทำให้ตั้งแต่นั้นมาโรงหนังแห่งนี้จึงมีสิทธิ์ขาดในการขายป๊อปคอร์นแต่ผู้เดียว
สาเหตุที่ป๊อปคอร์นมีราคาสูงลิ่ว เนื่องจากว่าในโรงหนังต้องรวมค่าทำความสะอาดพรม เบาะนั่ง ที่พนักงานต้องเสียเวลาทำความสะอาดโรงหนังทั้งโรงไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงนั่นเอง
ทั้งนี้ แม้ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปี ป๊อปคอร์นก็ยังคงเป็นขนมขบเคี้ยวที่ครองใจหลายคน และเป็นขนมยอดฮิตในโรงหนังที่ทำกำไรได้มากกว่า 70% เลยทีเดียว
อ้างอิงจาก: The Power