“เทวทาสี” โสเภณีศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา "นางต้องห้าม" จากอาชีพทรงเกียรติดิ่งสู่โสเภณีชั้นต่ำ
คำว่า "โสเภณี" คงเป็นคำที่เราชินหูและได้ยินกันมานานตั้งแต่บรรพกาล ทุกประเทศแทบจะมีอาชีพนี้อยู่มากน้อยตามแต่ปัจจัยทางสังคมของประเทศนั้นๆ และประเทศอินเดียก็เช่นกัน
"เทวทาสี" ถ้าจะเรียกในภาษาทั่วไปในปัจจุบันก็อาจเรียกว่าโสเภณีทางศาสนา (Religious prostitute) หรือบางทีก็เรียกโสเภณีของเทพเจ้า (Prostitute of god) แต่ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียกว่า "เทวทาส"
พวกเธอมาจากไหน ?
โดยมากก็มาจากครอบครัวที่ยากจนที่สังคมอินเดีย ถ้าผู้หญิงจะแต่งงานก็ต้องเอาสินสอดไปขอฝ่ายชาย และเมื่อแต่งงานไปแล้วพวกเธอก็คือสมบัติของบ้านฝ่ายชาย แต่ถ้าไม่แต่งงานก็ถือว่าไม่ได้รับเกียรติ บางครอบครัวเลยหัวใสผลักภาระลูกสาวของตนไปถวายตัวเป็นเทวทาสี ตั้งแต่อายุยังไม่เท่าไหร่ เพื่อให้แต่งงานกับเทพเจ้า การกระทำแบบนี้ถือว่าพวกนางจะมีเกียรติเพราะไม่มีวันเป็นม่าย
หน้าที่ที่ต้องทำมีอะไร ?
จริงๆสมัยก่อนเทวทาสีถือว่ามีหน้าที่สูงส่งนะ งานที่ทำคือดูแลวัดและการทำพิธีกรรม พวกเธอผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนในประเพณีศิลปะชั้นสูง เช่น ภะรัตนาฎรยัม, คิชิบูดี, และการรำโอดิสสี มีหน้าที่ร่ายรำในท่าทางต่างๆอย่างสวยงาม เพื่อบวงสรวงบูชาเทพเจ้าเพื่อทำให้เทพเจ้าพอใจ
เพราะนอกจากจะเผาสิ่งต่างๆ รวมถึงเครื่องหอมให้ควันลอยขึ้นไปสู่เทพเจ้าแล้ว การมีสตรีมาร่ายรำควบคู่กันไปก็จะยิ่งทำให้เทพเจ้าพอใจ หรือสนใจดูก็จะสัมฤทธิ์ผลนั่นเอง และมักต้องใช้หญิงสาวพรหมจารีย์ด้วย
พวกเธอจะไม่สามารถแต่งกับผู้ชายได้เพราะพวกเธอเป็นเจ้าสาวของทวยเทพ แต่สามารถมี พสพ.กับชายใดก็ได้ที่ถูกใจไม่ว่าชายนั้นจะมีภรรยาหรือโสดก็ตาม และมีอภิสิทธิ์เหนือผู้ชายธรรมดา พวกเธอจะต่างจากหญิงอินเดียทั่วไปที่ต้องคอยปรนนิบัติสามีราวสาวใช้ จึงไม่มีการผูกมัดหรือแต่งงาน หรือเธอจะเลือกเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีวิตก็ได้ ทำให้เป็นอาชีพที่สตรีอินเดียโบราณใฝ่ฝัน
ซึ่งบางวิหารเด็กสาวที่โดนพ่อแม่ส่งมาเป็นเทวทาสีไม่ต้องพลีกายหลับนอนกับพราหมณ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาแลกกับการจะกลับชาติมาเกิดในวรรณะที่สูงในชาติหน้า แต่บางวิหารเด็กสาวที่มาเป็นเทวทาสีจะต้องทำหน้าที่เป็นโสเภณีร่วมหลับนอนกับผู้ชายฟรีๆหรือหลับนอนกับพราหมณ์ เพื่อเป็นการทำทานให้ตัวเองกลับชาติมาเกิดในวรรณะสูง
แต่ความรุ่งเรืองมันก็มักจะมาคู่กับความร่วงโรยไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อวัดใหญ่ที่มีเทวทาสีมากได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ แต่พอเกิดสงครามกษัตริย์ก็หมดงบประมาณให้ พวกเธอก็เลยต้องจำเป็นทำงานบริการเสริมหารายได้เลี้ยงตัวเอง โดยจะร่ายรำด้วยท่าที่ยั่วยวนเพื่อหาลูกค้าเมื่อชายบางคนมาเห็นก็เกิดอารมณ์ ก็จะเจรจาและตกลงจ่ายเป็นเงิน โดยมากสถานที่ให้บริการก็จะอยู่ในเทวสถานหรือใกล้ๆกับเทวสถาน
ประเพณีเทวทาสีเริ่มเสื่อมถอยเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย โบสถ์วิหารที่มีเทวทาสีก็ต่างสูญเสียอำนาจ พวกอังกฤษไม่เข้าใจมองว่าพวกเธอเป็นอาชีพแค่นักเต้นรำแสดงละครเร่เท่านั้น ก็เลยออกกฎหมายห้ามมีประเพณีและวัฒนธรรมอินเดียนี้ และเปิดซ่องโสเภณีมากมายทั่วเมืองหลวงโดยซ่องส่วนใหญ่ก็เป็นของทหารชาวอังกฤษในเวลาต่อมา
และรัฐบาลอังกฤษก็ออกคำสั่งให้โสเภณีลงทะเบียน รวมถึงพวกเธอเทวทาสีด้วยเพราะพวกอังกฤษมองว่าพวกเธอก็เป็นโสเภณีประเภทหนึ่งเช่นกัน พอวัดต่างๆไม่มีพิธีกรรมพวกเธอก็ไม่มีเสาหลัก พวกเธอก็เริ่มถูกลวนลามทางเพศและล่อลวงให้กลายไปเป็นโสเภณี
เพราะไม่มีชายใดมาแต่งงานกับพวกเธอและพวกเธอก็ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้ว ไม่มีอาชีพอื่นและไม่มีผู้ชายคนไหนมาเลี้ยงดู ทำให้อาชีพเดียวที่พวกเธอทำได้ก็คือทำอาชีพโสเภณีชั้นต่ำต่อในชุมชน บางคนถ้ายังสาวยังสวยก็มีลูกค้าไป แต่ถ้าบางคนไม่สดไม่สวยแล้วมันก็เหมือนดอกไม้ที่รอวันร่วงโรย สุดท้ายชีวิตก็ตกต่ำบางก็ต้องมานั่งเป็นขอทาน หรือบางคนก็ติดโรคจาก พสพ. ตายไปนั่นเอง
ขอบคุณ : กูลเกิล, ศาสนวิทยา, พันธ์ทิพย์