รีวิว 100 ซีรีส์ละครไทย แห่งปี 2021 เรื่องที่ 2/100 : "แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 1-2" พร้อมเปิดวาร์ป "บิวกิ้น พุฒิพงศ์ " และ "พีพี กฤษฏ์" ให้ติดตามกัน

8 ธันวาคม 2564 (17:28)เนื้อหาโดย Benri

เมื่อย้อนคิดถึง "ซีรีส์ละครไทย" เรื่องหนึ่ง ที่เมื่อถามว่าเรื่องไหนที่ยังอยู่ในความทรงจำเสมอ ต้องบอกเลยว่า "แปลรักฉันด้วยใจเธอ" เป็นซีรีส์ที่นึกถึงแทบจะทันที เพาะเป็นซีรีส์ที่เติมเต็มความรู้สึกในแทบจะทุกด้านของความทรงจำ ที่เมื่อนึกย้อนอดีตกลับไปถึงช่วงวัยวันที่กำลังตามล่าความฝันของช่วงวัยรุ่นแทบจะทุกคน เพราะเรื่องนี้เป็นซีรีส์แนว" Coming of age" หรือแนว "ก้าวข้ามวัย" เป็นการเล่าถึงเรื่องราวของเด็ก ๆ หรือ วัยรุ่น ช่วงที่เปลี่ยนผ่านความคิดจากเด็กไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอ และต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจมีทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย แต่ที่สุดแล้วก็เติบโตขึ้นมาอย่างเข้าใจโลกมากขึ้น จึงไม่แปลกใจตัวเองเลยที่ "รัก" ความสัมพันธ์ของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" ตัวละครหลักของเรื่อง ไปพร้อม ๆ กับชอบองค์ประกอบทั้งหมด นักแสดง บท โลเคชั่น การถ่ายทำที่ได้ภาพออกมาอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือการตอบโจทย์ความพิถีพิถันขององค์ประกอบทั้งหมดในซีรีส์เรื่องนี้

"แปลรักฉันด้วยใจเธอ" มี 2 Part ด้วยกัน Part 1 "I Told Sunset About You" และ Part 2 "I Promised You the Moon" เล่าเรื่องราวของ "เต๋ " (บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) และ "โอ้เอ๋ว" (พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร) ซึ่งเกิดและเติบโตที่จังหวัดภูเก็ต เรื่องราวเริ่มต้นจากวัยประถมของทั้งคู่ ทื่เป็นเพื่อนรักกันมา แต่มีเรื่องให้โกรธเคืองกันไป เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งช่วงเรียนมัธยม จึงทำให้มองกันอย่างเป็นศัตรู ที่คอยหาเรื่องกันอยู่เรื่อย ๆ แต่ในความเป็นศัตรูนั้น ความเป็นเพื่อนรักที่ฝังแน่นอยู่ในใจก็ยังคงมีอยู่ และความรู้สึกดี ๆ นั้น ก็พัฒนาไปสู่ความรู้สึกใหม่ ที่ต้อง "แปลความรู้สึก" กันใหม่ ว่าแท้จริงมีความรู้สึกต่อกันอย่างไรกันแน่ และมันก็ยากที่จะยอมรับตัวเองของเด็กวัยมัธยมว่ามีความรักต่อเพื่อน ในฐานะของคนรัก ที่เป็น "ชาย" เหมือนกัน

"แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 1" เล่าเรื่องราวของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" ทั้งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไปพร้อม ๆ กับการต่อสู้ของเด็กชั้นมัธยมในเรื่องการเรียน ที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย รวมทั้งเรื่องราวชีวิตของเพื่อน ๆ แต่ละคนที่มีความฝันเดียวกันคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แม้ว่าปลายทางความฝัน จะเป็นคนละเส้นทางการ รวมถึงเรื่องราวของครอบครัว ที่อยู่เบื้องหลังการใช้ชีวิตของเด็กแต่ละคนว่าจะสนับสนุน ขัดแย้งอย่างไรต่อเส้นทางการศึกษาที่เลือก หรือแม้กระทั่ง "ความรัก" ที่สามารถจะเข้าใจได้แค่ไหน หากความรักนั้นไม่ใช่ความรักหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นความรัก ที่มีให้ต่อเพื่อนเพศเดียวกัน

"เต๋" ซึ่งเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง แต่ไม่กล้าที่จะเปิดใจรัก ด้วยเก็บความรู้สึกของคนรอบข้างมาเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจ "โอ้เอ๋ว" ผู้ซึ่งเข้าใจในความรักของตัวเอง และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความรักนั้น หากเพียงแค่คนที่เขารัก และรักเขาพร้อมจะสู้ไปด้วยกัน

"แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2" เล่าเรื่องราวของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" ในช่วงเวลาของการใช้ชีวิตเมื่อก้าวเข้าสู่การเรียนในมหาวิทยาลัย จากเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัย กระทั่งประสบความสำเร็จของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" คือช่วงเวลาของการเติบโต ความฝัน และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เลื่อนสถานะจากการเป็นเพื่อนสนิทมาเป็นแฟน และต้องเดินทางจากบ้านเกิดที่จังหวัดภูเก็ต ขึ้นมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ แม้ว่าจะอยู่ต่างมหาวิทยาลัย แต่ก็เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคนต้องเผชิญกับการปรับตัวเข้ากับความวุ่นวายของเมืองใหญ่ เพื่อนใหม่ และ สังคมใหม่

ประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างกัน ด้วยคำสัญญาที่มีต่อกันว่า จะรักกันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลง ทุก ๆ ด้านของชีวิต ก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาต้องเรียนรู้ชีวิตในมุมมองใหม่ เริ่มตั้งแต่แนวทางการเลือกเรียน ที่ชอบมาเหมือน ๆ กัน แต่เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไป "เต๋" ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เป็นเด็ก เลือกเรียนสาขาการละคร "โอ้เอ๋ว" กลับไม่เลือกที่จะเรียนแบบเดียวกัน เพราะคิดว่าไม่ใช่ทางที่ตัวเองชอบ และเพราะต้องเรียนคนละแห่ง ที่ห่างกันออกไป "เต๋" พักอยู่ในหอในของมหาวิทยาลัย ส่วน "โอ้เอ๋ว" พักที่คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยของตัวเอง

ความห่าง...ห่างทั้งคนที่รัก ห่างทั้งครอบครัว จึงมีทั้งความเหงา ความสับสนในเส้นทางที่ต่างก็เลือกเรียน และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็กระทบกับความรัก และความสัมพันธ์ของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" ขึ้นอยู่กับการรู้จักให้อภัย ความอดทน การไม่ยอมแพ้ที่จะรักษาความรักนั้นไว้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิต ในขณะที่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป และทุก ๆ ก้าวเดิน คือประสบการณ์ที่หล่อหลอมหัวใจของแต่ละคน ให้ยืนหยัดอยู่ และมีความสุขได้ในทุก ๆ วันของชีวิต

"ซีรีส์" ที่เล่าถึงชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมปลาย หรือ มหาวิทยาลัย ก่อนจะติดตาม "แปลรักฉันด้วยใจเธอ" อาจมองว่าเป็นแนวที่อาจซ้ำ ๆ อาจเดิม ๆ ที่น่าสนใจเป็นเพราะนักแสดงอย่าง บิ้วกิ้น, พีพี สไมล์ ภาลฎา, ขุนพล ปองพล, โอบ โอบนิธิ, ก้อย อรัชพร ฯลฯ ที่มีแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้ชมต้องบอกเลยว่าที่คิดมาทั้งหมดนั้นคือไม่ซ้ำ ไม่เดิม และยังได้รับความรู้สึกแปลกใหม่ เหมือนได้ร่วมเดินทางไปกับชีวิตของเหล่าตัวละคร ตั้งแต่เด็ก ๆ จนเติบโต และที่สุดแล้วได้เห็นถึงความสำเร็จของการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงความสำเร็จของ "ซีรีส์" ที่ได้รับการยอมรับจากแฟน ๆ เป็นซีรีส์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด มียอดผู้เข้าชมอันดับหนึ่งหลายสัปดาห์ติดต่อกันใน LINE TV ส่งผลให้มีภาค 2 เตฺิมเต็มให้เห็นถึงความรักของ "เต้" และ "โอ้เอ๋ว" ว่าต้องต่อสู้มาหนักเพียงใด จนได้เข้าใจถึง "ความรัก" ที่แท้จริง ที่ไม่ต้องสัญญาว่าจะรักกันเหมือนเดิม ไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม แค่ได้อยู่ด้วยกัน และเมื่อมีปัญหาอะไรก็แก้ไขกันไป อย่างไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา

ซีรีส์ "แปลรักฉันด้วยใจเธอ" ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ได้รางวัลหลาย ๆ รางวัล ในเวทีการประกาศรางวัล ทั้งจากซีรีส์ ผู้กำกับ และนักแสดงนำ "บิวกิ้น" และ "พีพี" รวมทั้งได้รับรางวัล "International Drama of the Year" และรางวัล “Asain Star Prize” ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการโหวตจากแฟนๆ ทั่วเอเชีย จากงาน "Seoul International Drama Awards" ครั้งที่ 16 จากประเทศเกาหลี ซึ่งงานนี้เป็นงานการประกาศรางวัลซีรีส์ทั้งในและนอกประเทศเกาหลี ที่จัดขึ้นทุกปี และอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้ที่มีหลายเพลง และแต่ละเพลงก็เพราะมาก ๆ

"แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 1" สร้างปรากฎการณ์เพลงฮิต ในปี 2020 จากเพลง โคตรพิเศษ, แปลไม่ออก, กีดกัน, หรูเหอ ที่ถ่ายทอดเสียงร้องโดย "บิวกิ้น" และ "พีพี" และใน "แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2" เพลง "รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว (Safe Zone)" ถูกปล่อยออกมาเป็นเพลงโปรโมทแรก อย่างบอกเล่าเรื่องราวที่เปลี่ยนสถานะของ "เต๋" และ "โอ้เอ๋ว" จากเพื่อนมาป็นแฟน ได้อย่างลึกซึ่งและประทับใจแฟน ๆ กับ Single ครั้งแรกของทั้งคู่