ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก และลาสึกแล้ว บวชอีกได้ไหม ?
ปาราชิก คืออาบัติหนักสำหรับพระภิกษุ เมื่อต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที ต้องให้สึกสถานเดียว อาบัติปาราชิกมี 4 ข้อคือ
1.เสพเมถุน คือมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน หรือกับสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย หรือแม้แต่ซากศพ
2.ลักทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป
3.ฆ่ามนุษย์จนถึงแก่ความตาย ฆ่าเอง หรือจ้างวานให้คนอื่นฆ่าก็ผิดเหมือนกัน
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง อวดว่าตนเองมีญาณวิเศษ มีคุณวิเศษ เหาะเหินเดินอากาศ หรือดำดินบินบนได้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่มี
ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แต่ถ้ามีอยู่จริง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ต้องแสดงอาบัติ คือสารภาพกับพระภิกษุด้วยกันจึงพ้นจากอาบัติ
ปัญหาถามว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก และลาสึกแล้ว บวชอีกได้ไหม ? คำตอบ ต้องแยกการบวชเป็น 2 ประเภท คือ บวชเป็นพระภิกษุ (อุปสมบท) และบวชเป็นสามเณร (บรรพชา) ในพระวินัยปิฎกกล่าวไว้ว่า " ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ไม่ควรอยู่ในความเป็นภิกษุ ไม่ควรเพื่อบรรลุคุณธรรมมีฌานเป็นต้น ความเป็นภิกษุของเธอ ย่อมเป็นอันตรายต่อสวรรค์ด้วย เป็นอันตรายต่อมรรคด้วย " ความหมายคืออยู่เป็นพระภิกษุไปก็ไม่เจริญงอกงามในธรรม เหมือนตาลยอดด้วน ไม่มีทางงอกยอดออกมาใหม่ได้ จึงต้องให้ลาสึกออกไปเป็นชาวบ้านธรรมดา และไม่สามารถเข้ามาอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้อีกตลอดชีวิต
แต่ในพระวินัยปิฎก ยังกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยเป็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งได้ลาสึก ไปดำรงตนเป็นคฤหัสถ์ หรือเป็นอุบาสก เป็นอารามิกะ หรือเป็นสามเณร ยังเป็นผู้ควรแก่คุณธรรมทั้งหลาย มีทาน สรณะ ศีล และสังวรเป็นต้น หรือยังทางพระนิพพานให้สำเร็จ ด้วยคุณธรรมทั้งหลายมีฌานและวิโมกข์ เป็นต้น
สรุปคือ ผู้ที่เคยต้องอาบัติปาราชิกแล้ว บวชเป็นพระภิกษุอีกไม่ได้ตลอดชีวิต แต่บวชเป็นสามเณรได้ เพราะฉะนั้น หากผู้ต้องอาบัติปาราชิก ได้สึกออกไป ได้เคลียตนเองจนเป็นที่ยอมรับในสังคมแล้ว หากมีศรัทธา อยากมาอยู่ในร่มผ้าเหลืองอีก ก็อยู่ในเพศสามเณรได้