อาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่
โดย อักษราลัย
ฉันนั่งมองหน้าลูกที่กำลังนอนเหมือนหลับสนิทอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก รอยยิ้มน้อย ๆ เหมือนยังคงมีประดับใบหน้าอยู่อย่างนั้น ภาพนี้จะเป็นภาพจำสุดท้ายของฉันแล้วหรือ? ฉันค่อย ๆ เอื้อมมือไปเกาะกุมมือข้างซ้ายที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าแกจะเจ็บ ภาพการเจ็บปวดของแกยังประทับจำในจิตใจฉันอย่างไม่อาจเลือนลางไป
คำขอสุดท้ายของแกยังคงก้องอยู่ในหู คำขอที่ฉันยังคงทำใจไม่ได้ ฉันมองร่างเล็ก ๆ บนเตียงตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง ลูกสาววัยสิบห้าของฉันแกตัวเล็กกว่าที่ควรจะเป็นด้วยอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่แกมีอายุได้หกขวบ ใจที่พิสุทธิ์ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นในมือที่ฉันนำมาเกาะกุมเอาไว้ในตอนนี้ ร่างกายของแกยังคงอุ่น มันยังคงกรุ่นไอรักของเราอยู่โดยที่ฉันไม่อาจแปรเปลี่ยนความคิดเป็นอื่นไปได้
"แม่จ๋า…" เสียงลูกร้องเรียกฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตาแก วางหนังสือนิยายในมือที่อ่านให้แกฟังตามคำขอ
"มีอะไรหรือลูก" ฉันตอบแกไปแผ่วเบาเช่นกัน ใจประหวัดคิดวุ่นวายสับสนไปหลายอย่าง เนื้อหาของนิยายที่อ่านให้แกฟังไม่ได้ซึบซับเข้าหัวของฉันเลยแม้แต่น้อย แกหลับตานิ่งก่อนจะระบายยิ้มบางเบาออกมา พลางจ้องมองฉันด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
"เลิฟคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แม่พร้อมรึยังคะ" แกสบตาฉันด้วยแววตาของคนที่ไม่เกรงกลัวกับการจากไป ฉันเสียอีกที่เลี่ยงสายตาไม่อาจสบตากับแกได้
"พูดอะไรอย่างนั้นลูก เลิฟ" เลิฟ คือชื่อที่เราสองตั้งใจตั้งให้ลูกที่เกิดมาตั้งแต่รู้ตัวว่าท้อง เพราะแกเกิดจากความรัก นั่นคือ เลิฟ เลิฟที่ไม่เลือกว่าจะคือชายหรือหญิง แล้วทำไม ลูกสาวที่น่ารักของฉันจะต้องจากไปก่อนวัยอันควรด้วย ทำไม?
"เลิฟรู้ตัวดีค่ะแม่ เลิฟไม่กลัวนะคะ ในหนังสือที่แม่เคยอ่านให้ฟังบ่อย ๆ เลิฟเข้าใจดีค่ะว่าคือการสลายไปของร่างกายซึ่งทุกคนจะต้องมาถึงในสักวัน เพียงแต่เลิฟจะได้ไปก่อนแม่แค่นั้นเอง" แกหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยอาการคล้ายเหนื่อย ก่อนจะพูดต่อว่า
"เลิฟพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้วค่ะแม่ แต่เลิฟห่วงแม่ แม่ไหวไหมคะ" ฉันเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำที่กลบออกมาจนเต็มสองลูกตา ก่อนจะเอาปลายนิ้วกรีดมันออก แล้วเดินหนีเข้าไปล้างหน้า กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องพยายามเข้มแข็ง ความจริงตรงหน้าทำไมฉันจะไม่รู้ แกเริ่มกินอาหารได้น้อยลงไปทุกวัน บางครั้งแกเหมือนอยู่ในสภาพหลับลึก หลับมากกว่าตื่น ยกเว้นอาการเจ็บปวดที่ทรมานจนตัวงอของแกที่ทำให้ฉันทนแทบไม่ได้ คำถามที่แกถามว่าพร้อมไหมนั้น ไหวไหม ฉันตอบได้ทันทีว่าไม่มีทางไหว ฉันยังไม่พร้อมจริง ๆ สำหรับการจากไปของแก โธ่! ลูกสาวของแม่
แม้ว่าฉันจะพบกับการจากลามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ กับการจากไปของพ่อแกด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ฉันยังมีเลิฟ นั่นคือยาใจขนานเอกที่ทำให้ฉันยังคงดำรงชีวิตอยู่มาได้ แล้วนี่ฉันจะต้องสูญเสียอีกครั้งแล้วหรือ ฉันไม่มีวันพร้อม เงยหน้าสบตากับหญิงวัยกลางคนในกระจกที่ดูแก่เกินอายุ ใบหน้านั้นมีริ้วรอยหยาบกร้าน อย่างคนไม่สนใจตัวเอง รอยช้ำบนดวงตาแดงคู่นั้นสบกลับมาเนิ่นนาน ฉันหันหลังเดินกลับออกมาหยุดลงข้างเตียง สบตากับเลิฟที่ยังคงรอคอยฉันอยู่อย่างใจเย็น ไม่ได้หลับไปแบบทุกทีที่ฉันหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ ลูกยื่นมือเล็ก ๆ นั้นมาคว้าข้อมือฉันไปเอามืออันเหี่ยวย่นนั้นไปวางแนบแก้ม แล้วพูดขึ้นว่า
"เลิฟมีเรื่องอยากจะขอร้องแม่ค่ะ" ฉันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับคำขอของแก มองสบดวงตากลมโตนั้นอย่างแสนรัก
"หนูจะขออะไรแม่" แปลกใจกับเสียงตัวเองที่สั่นไหวราวกับเสียงระฆังใบเล็ก ๆ ที่แขวนไว้ตามหน้าประตูบ้าน
"หนูอยากเป็นอาจารย์ใหญ่"
"อะไรนะ" ฉันตะลึงไปคำขอนั้น ยืนนิ่งไปอย่างพูดไม่ออก นี่ลูกสาวคนเดียวของฉันไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนกัน
"นะแม่นะ วันก่อนหนูคุยกับอาจารย์หมอแล้ว ตอนที่แม่ออกไปกินข้าว แม่ก็แค่เซ็นยินยอม และอนุญาต"
"หนูรู้ตัวไหมว่าขออะไร" ฉันแทบจะเขย่าร่างของแก ถ้าไม่นึกขึ้นได้ว่าแกคือคนป่วย หดมือลงกลับมาทิ้งลงข้างตัวอย่างอ่อนแรง เรี่ยวแรงที่เคยมีเหมือนมันหดหายไปหมด เลือดในตัวฉันตอนนี้คงเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน
"รู้สิคะแม่ หนูศึกษาหมดแล้วตอนแม่ไปทำงาน หนูอยากให้อวัยวะทุกส่วนของหนูได้ทำหน้าที่ส่งต่อช่วยเหลือคนอื่น รวมไปถึงร่างกายนี้ของหนูที่จะเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ได้ผ่าเพื่อศึกษาในการเรียนอันจะนำเอาความรู้ที่ได้ไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ อีกต่อไปอีกหลายชีวิตไงคะแม่" แกพูดออกมายืดยาว ก่อนจะมีอาการคล้ายเหนื่อยหอบ ฉันรีบเข้าไปพยุงตัวแก กอดแกไว้แนบอกเหมือนเมื่อครั้งที่เคยประคองให้แกกินนมจากเต้า
"โธ่…ลูกแม่" ฉันครางในอก ยอมรับในความเข้มแข็งของแกที่มีมากกว่าตัวฉันในยามนี้มากมายนัก ขนาดแกจะจากไปยังห่วงอยากให้ร่างกายของตัวเองมีประโยชน์ มือน้อย ๆ ของแกบีบมือฉัน ก่อนจะค่อย ๆ นิ่งไป ฉันตกใจรีบกดปุ่มฉุกเฉิน เรียกหมอพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายพยาบาลที่เดินเข้ามา
เมื่อหมอเดินเข้ามาเพื่อยืนยันว่าลูกของฉันได้จากไปแล้ว ฉันก็ซบหน้าลงกับร่างเล็ก ๆ กอดเอาไว้อย่างไม่อาจทำใจ แม้จะรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง ภาพจำระหว่างเราผุดขึ้นมาเป็นฉาก
ภาพการถ่ายวิดีโอในการก้าวเดินได้ครั้งแรกของแก รอยยิ้มบนใบหน้าของแกเมื่อครั้งเรียกคำว่า "แม่" ได้ครั้งแรก ภาพทะเล้นในวันที่แกยื่นของขวัญวันเกิดมาเซอร์ไพร์ส์ในฉันในวันที่แกมีอายุได้แปดขวบ ของขวัญคือการ์ดทำมือที่แกหัดทำมาจากโรงเรียน ลายมือโย้เย้ที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยนั้นเขียนว่า "เลิฟรักแม่" ต่อจากนี้ภาพเหล่านี้จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ฉันจะอยู่ได้ยังไงคนเดียว แม้แต่ร่างจะนำไปทำพิธีสำหรับการอาลัยรักในครั้งสุดท้ายลูกก็ขอให้เอาไปใช้ในการเป็นอาจารย์ใหญ่ ฉันจะทำยังไงดี?
อาจารย์หมอเดินเข้ามาพร้อมกับใบที่ลูกฉันเคยลงชื่อไว้ก่อนหน้า มันคือใบแสดงเจตจำนงค์ครั้งสุดท้ายอย่างที่ลูกฉันร้องขอ ฉันเหลือบสายตามองช่องว่างตรงหน้า ลายเซ็นสุดท้ายที่รอการอนุมัติจากฉันเพื่อให้ใบนี้สมบูรณ์ ผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย ลายเซ็นที่จะทำให้ลูกสาวของฉันเป็นอาจารย์ใหญ่และผู้บริจาคอวัยวะทั้งหมดทั้งดวงตา และอวัยวะภายใน ก่อนจะค่อย ๆ จรดปากกาเซ็นชื่อลงไปในนั้น อาจารย์หมอค้อมหัวให้ฉันเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะขออนุญาตนำร่างของเลิฟเข็นออกไปจากห้อง ฉันเดินตามไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเบิกตากว้างกับแถวของพยาบาลและหมอที่มายืนแสดงความเคารพกับร่างของเลิฟที่พยาบาลค่อย ๆ เข็นผ่านไป
"นี่คือ แถวเกียรติยศ เพื่อแสดงความเคารพครับคุณแม่" เสียงแผ่วเบาของอาจารย์หมอปลุกฉันให้รับรู้ความจริง แม้น้ำตาฉันจะยังไม่หยุดไหล แต่ความภูมิใจกับร่างน้อย ๆ ที่กำลังจะช่วยอีกหลายชีวิต ทำให้ฉันยิ้มออกได้ทั้งน้ำตา
"เลิฟ หนูคือนางฟ้าและอาจารย์ใหญ่ที่สวยที่สุดรู้ไหมลูก" ฉันกระซิบบอกแกเบา ๆ … >>