พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่กลัวการ "อาบน้ำ"
หลังจากที่ห่างหายไปนานเลยกับการตั้งกระทู้ที่เป็นสาระน่ารู้ หวังว่าเพื่อนๆคงยังไม่ลืมกันและคิดถึงกันอยู่เนอะ..งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ประวัติพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
"พระเจ้าหลุยส์ที่ 14" (ฝรั่งเศส: Louis XIV de France; หลุยส์กาโตร์ซเดอฟร็องส์, 5 กันยายน พ.ศ. 2181 – 1 กันยายน พ.ศ. 2258) หรือเรียกว่า "พระเจ้าหลุยส์มหาราช" (ฝรั่งเศส: Louis le Grand; หลุยส์ เลอ กร็อง) หรือ "สุริยกษัตริยาธิราช" (ฝรั่งเศส: le Roi Soleil) เป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสและนาวาร์ ทรงครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 5 ชันษา
เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์บูร์บงแห่งราชวงศ์กาเปเตียง เสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2186 และทรงครองราชย์นานถึง 72 ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรป และในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์เป็นช่วงที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้นำทางด้านศูนย์กลางการรวมอำนาจของแผ่นดิน
เป็นผู้ที่สยบความวุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสจากการคิดกบฏของเหล่าพวกขุนนาง โดยการใช้พระราชอำนาจและสิทธิอันเด็ดขาด ที่ได้ทรงสร้างให้กับพระองค์เองภายใต้การปกครองแบบ "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์"
ภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งแต่กับกลัว "การอาบน้ำ"
จะมีใครเชื่อว่า..ด้วยภาพลักษณ์ของพระองค์ที่แข็งแกร่งนี้ แต่พระองค์กับกลัวการ "อาบน้ำ" ความกลัวนี้เกิดจากการที่มีแนวคิดที่แพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่กล่าวกันว่า "น้ำ" เป็นตัวแพร่เชื้อโรค ยิ่งอาบน้ำบ่อยร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอลง ดังนั้นจึงทำให้พระองค์ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์จึงทรงสรงน้ำน้อยครั้งมากๆ จึงมีบางคนกล่าวว่าพระองค์ทรงเคยสรงน้ำเพียง 3 ครั้งเท่านั้น
อ้าว ! แล้วงี้ทำความสะอาดพระวรกายยังไงอ่ะ ?
วิธีการทำความสะอาดพระวรกายของพระองค์คือ เมื่อตื่นพระบรรทมในยามเช้า ข้าราชบริพารจะนำเอา "อควาวิต" (Aqua vitae) หรือสุราฤทธิ์แรงที่มีส่วนผสมของเอทานอลถึง 90 % มาเช็ดพระวรกายตามส่วนต่างๆของพระองค์ ถ้าจะพูดแบบง่ายๆก็คือ "การอาบแห้ง" (Dry wash)
แล้ว "อควาวิต" คืออะไร ?
"อควาวิต" (Akvavit, Aquavit) หรือในนอร์เวย์เรียกว่า "อคีวิต" (Akevitt) เป็นเหมือนสุราที่ผลิตในแถบสแกนดิเนเวียมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 มีรสชาติหลักจาก "เทียนตากบ" หรือ "ผักชีลาว" มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่อปริมาตร (ABV) 40% หรือถ้าสหภาพยุโรปจะกำหนดขั้นต่ำที่ 37.5%
ส่วนในภาษาละตินนั้นแปลว่า "น้ำแห่งชีวิต" ก็จะเหมือนกับวอดก้า ที่กลั่นจากธัญพืชหรือมันฝรั่ง หลังกลั่นก็จะผสมเครื่องเทศ, สมุนไพร, น้ำมันผลไม้ เช่น เทียนตากบ, กระวาน, ยี่หร่า, เทียนสัตตบุษย์, ผักชีล้อม, เปลือกเลมอนหรือส้ม
การแสดงเครื่องกลั่นของศิลปินสำหรับ aqua vitae
จาก Liber de arte Distillandiโดย Hieronymus Brunschwig, 1512
พระองค์ทรงโปรดปรานน้ำหอมมาก
ว่ากันว่าพระวรกายของพระองค์นั้นส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นจะต้องผ่านการทำให้หอมด้วยการนำไปชุบด้วยสิ่งที่เรียกว่า "Aqua Angeli" ซึ่งทำโดยการต้ม ไม้กฤษณา จันทน์เทศ ยางไม้หอม กานพลู และกำยาน ในน้ำดอกกุหลาบเป็นเวลา 1 วัน แล้วจึงใส่น้ำดอกมะลิ, หรือน้ำดอกส้ม และมัสค์หรือสารที่ให้ความหอมจากสัตว์ คล้ายๆกับการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มแบบในปัจจุบันนั้นเอง
แม้แต่พระราชวังแวร์ซายก็ต้องมีกลิ่นหอม
ในพระราชวังแวร์ซายนั้นจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกลีบดอกไม้ ที่จัดใส่โหลชามวางเรียงรายไปทั่ว ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในพระราชวังฯ จะต้องมีกลิ่นหอมเย้ายวนใจ ไม่ว่าจะเฟอร์นิเจอร์, เครื่องประดับก็จะถูกฉีดฟุ้งไปด้วยน้ำหอม ไม่เว้นแต่น้ำพุที่เวลาแขกมาเยือนก็จะต้องถูกน้ำหอมฉีดใส่เช่นกัน
ทรงไม่ชอบความจำเจ..มีน้ำหอมกลิ่นต่างๆในแต่ละวัน
ดังนั้นจึงได้มีการรับสั่งให้ช่างทำน้ำหอม คิดค้นผลิตน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆในแต่ละวันของสัปดาห์เพื่อให้แต่ละวันมีกลิ่นหอมไม่จำเจน่าเบื่อ
แต่สุดท้ายแล้ว..ความหอมก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เพราะความโปรดปรานกลิ่นอันเย้ายวนนั้น กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพพระพลานามัยของพระองค์เอง ซึ่งในช่วงสุดท้ายก็ของพระชนม์ชีพก็เริ่มมีอาการแพ้กลิ่นน้ำหอมทุกกลิ่นที่เคยทรงโปรดปราน จนเหลือเพียงแค่กลิ่นเดียวเท่านั้นที่พระองค์ยังทรงดมได้ นั่นก็คือ "กลิ่นน้ำหอมที่สกัดจากต้นส้ม" ภายในพระราชวังแวร์ซายนั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์