Adolph Luetgert "ราชาไส้กรอกเนื้อคน"
มันเป็นตำนานเรื่องจริงของรัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1897 ที่มีความน่าสยดสยองไม่แพ้กันคือ การหายตัวไปอย่างลึกลับของภรรยาเจ้าของโรงงานไส้กรอกในกลางดึกคืนหนึ่ง ก่อนที่จะถูกค้นพบว่าร่างของเธอได้กลายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระจัดกระจายอยู่ภายในก้นถังบดไส้กรอก!
ประวัติราชาไส้กรอกสยอง
เขาคือ "อดอล์ฟ ลุทเกิร์ต" (Adolph Luetgert) เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1845 ที่เมือง Gütersloh ในเยอรมนี เขาเกิดมาในครอบครัวใหญ่มีพี่น้องร่วมสายเลือด 16 คน (ชาย 13 คนและหญิง 3 คน) พ่อเป็นพ่อค้าขายหนังสัตว์ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านธรรมดา
ชีวิตวัยเด็กไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก เรียนหนังสือตอนอายุ 7 ขวบพออายุ 14 ปีก็ลาออกมาช่วยที่บ้านหาเงิน โดยทำงานในโรงงานฟอกหนังสัตว์ แต่เป็นคนตั้งใจทำงานเรียนรู้งานได้ดี จนผ่านไป 2 ปีครึ่ง ก็ลาออกมาและเดินทางไปทั่วเยอรมนี ทำงานเล็กๆน้อยๆ โดยใช้ชีวิตแบบวัยหนุ่มด้วยตัวเอง และตัดขาดจากพ่อแม่โดยเขาติดต่อกับพี่น้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ขยันอดออมจนมีธุรกิจของตนเอง
ในวัย 24 ปีเขาเห็นคนรอบข้างประสบความสำเร็จ ในขณะที่เขากลับไม่มีอะไรเลย...แต่ก็เหมือนฟ้าเป็นใจเพื่อนเก่าส่งข่าวมาว่า อเมริกากำลังขาดแคลนแรงงานฝีมืออย่างหนัก เขาจึงตีตั๋วและหอบเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นไปสมัครงานทันที จนได้เข้าตาเจ้าของบริษัทและให้เขาทำงานในตำแหน่งพนักงานฟอกหนังสัตว์ตามที่เขาถนัด จนเก็บหอมรอมริบจนสามารถเปิดโรงเบียร์เป็นของตัวเองได้ในปี ค.ศ. 1872
พบรักครั้งแรก
จนได้พบรักกับ "แคโรไลน์ แรปเก้" (Caroline Roepke) ในปีเดียวกัน แต่โชคร้ายชีวิตรักก็จบลงในระยะเวลาอันสั้น เพราะภรรยาคนแรกได้เสียชีวิตขณะกำลังคลอดลูกชายคนที่ 2 ในปลายปี ค.ศ. 1877
พบรักครั้งที่สอง
หลังจากอดีตภรรยาได้เสียชีวิตไปเพียง 2 เดือน เขาก็เลือกเดินหน้าต่อและก็แต่งงานใหม่เป็นครั้งที่ 2 กับ "ลูอิซา บิกเนส" (Louisa Bicknese) เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1878 ซึ่งเป็นสาวใช้ที่มีอายุน้อยกว่าเขาเกือบ 10 ปี โดยมีลูกให้เขา 4 คน แต่รอดชีวิตเพียง 3 คนเท่านั้น โดยเขาได้มอบแหวนทองวงเกลี้ยงสลักตัวอักษรย่อว่า "L.L (Louisa Luetgert)" ไว้แทนคำมั่นสัญญาว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไป
ได้เปิดโรงงานไส้กรอกดังแห่งชิคาโก
ผ่านไป 1 ปีให้หลัง เขาก็ได้เปิดโรงงานไส้กรอก "A.L. Sausage & Packing" ขนาดเล็กเพื่อลองตลาด และพบว่าชาวเมืองชิคาโกชื่นชอบอาหารแปรรูปอย่างมาก ทำให้กิจการของเขาไปได้ด้วยดี เขาจึงขยายโรงงานให้ใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1892 โดยซื้ออาคารสูง 5 ชั้นตรงมุมถนน และทำเป็นโรงงานพร้อมกับด้านบน 3 ชั้นทำเป็นบ้านพักหรูส่วนตัวเพื่ออยู่กับครอบครัวใหม่ และถูกยกสถานะให้เป็น "ราชาไส้กรอก" ประจำเมืองชิคาโก
สถานะการเงินเริ่มวิกฤต
แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปไส้กรอกที่มีการผลิตมากที่สุดในเมือง และร่ำรวยจากเม็ดเงินมหาศาลก็ตาม สุดท้ายเขาก็หลงระเริงและเริ่มมองหาลู่ทางขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะเพียง 5 ปี เขาก็กลับตกที่นั่งลำบากกับสถานการณ์ทางการเงินเข้าขั้นวิกฤต
จากการทุ่มเงินลงทุนในธุรกิจไปจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับติดลบ เขาจึงเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน, ฉุนเฉียวง่าย และมักกล่าวโทษคนรอบข้างที่ทำให้เขาเป็นหนี้ธนาคารก้อนโต
ปัญหาครอบครัวย่อยยับจากการคบชู้
ชีวิตคู่เริ่มระหองระแหง เพราะนิสัยเดิมของเขาก็เป็น "เสือผู้หญิง" อยู่แล้ว เขามักทิ้งให้ภรรยาอยู่บ้านกับลูกเพียงลำพัง และก็แอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับแม่ม่ายสาวผู้มั่งคั่ง ไม่พอยังร่วมหลับนอนกับลูกพี่ลูกน้องภรรยาอยู่เป็นประจำอีก นั่นจึงทำให้ภรรยาอย่างลูอิซาไม่ยอมทนกับพฤติกรรมสำส่อนเช่นนี้
เธอจึงมักดุด่าและขว้างปาสิ่งของใส่เขา หรือไม่ก็หอบข้าวของหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับลูกชาย ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงจุดแตกหัก แต่เธอก็ไม่ยอมหย่าขาดกับเขาเด็ดขาด นี่จึงเป็นความคับแค้นของเขาในใจ เพราะเขาหมดรักลูอิซาแล้ว และอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่ม่ายสาวที่มีเงิน เพื่อจะได้ช่วยให้การเงินของเขาดีขึ้น
คืนแห่งการฆาตกรรม
และแล้ว "ไส้กรอกเนื้อมนุษย์" ก็เริ่มขึ้นในคืนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1897 เวลา 22.30 น. โดยประมาณ มันเป็นค่ำคืนสุดท้ายของลูอิซา หลังจากตำรวจได้รับแจ้งความว่าคนหายจากน้องชายของภรรยาเขา ที่ไม่สามารถติดต่อพี่สาวนานถึง 3 วัน
เขาโกหกกับตำรวจว่า..."เธอหนีไปกับชายชู้" แต่กลับบอกกับลูกชายและญาติภรรยาว่า.."เธอเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวที่ต่างเมือง"
ตำรวจจับสังเกตความผิดปกติของเขาได้ในทันที แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ทางตำรวจก็รู้เบื้องลึกของปัญหาของครอบครัวเขา จากการใช้ความรุนแรงและการทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ รวมถึงสถานะการเงินของเขาที่ไม่มั่นคง รวมถึงความสัมพันธ์ของเขากับม่ายสาวผู้มั่งคั่งด้วย
ค้นพบชิ้นเนื้อมนุษย์ในถังต้มไส้กรอก
สุดท้ายตำรวจก็พุ่งเป้าไปที่โรงงานไส้กรอกของเขา และกระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบ ค้นทุกซอกทุกมุมแต่กลับไม่เจอความผิดปกติ แต่สุดท้ายพยานที่เห็นคืนเกิดเหตุก็คือ..ยามกะกลางคืนชื่อ "นายแฟรงก์ บีอัลก์" (Frank Bialk) ที่เห็นความผิดปกติในคืนวันนั้น ที่ได้เห็นลูอิซาเป็นครั้งสุดท้าย และเห็นเจ้านายที่มีท่าทางแปลกๆ เดินวนเวียนไปมาอยู่รอบถังต้มไส้กรอกที่ชั้นใต้ดินของโรงงาน
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจึงได้เข้าไปตรวจสอบโรงงานทันที ก็พบของเหลวหนืดข้นสีน้ำตาลแดง ส่งกลิ่นเหม็นคลุคลุ้งไปทั่ว แต่คิดว่าคงเป็นเศษเนื้อธรรมดาก็ได้ที่ย่อมหลงเหลือติดอยู่ แต่ทันทีที่ได้ระบายของเหลวออกจากถัง...ความสยดสยองก็กระจ่างขึ้น
เพราะได้ค้บพบโครงกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ของกระดูกสัตว์ ที่โผล่ออกมาทีละชิ้นและมีชิ้นหนึ่งกำลังส่องประกายระยิบระยับมันคือ...."แหวนทองวงเกลี้ยงสลักตัวอักษรย่อ L.L" ของลูอิซาแน่นอน พร้อมกับหลักฐานอื่นๆไม่ว่าจะเป็นเศษเสื้อผ้า, ฟันซี่เล็กๆที่หล่นอยู่ข้างถัง, กิ๊บติดผม, และเศษผ้ารัดหน้าอกของลูอิซา ซึ่งเขาได้เอาเสื้อผ้าของลูอิซาทิ้งไปในเตาเผา แต่ด้วยความที่เขาเร่งรีบเกินไป จึงทำให้ยังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุไม่เรียบร้อยดี จึงมีเศษเนื้อของลูอิซายังติดอยู่ที่ก้นหม้อนั้นเอง
จุดจบของเขา
เขาถูกควบคุมตัวในทันที และถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน "ฆาตกรรม" และส่งตัวไปคุมขังที่ "เรือนจำโจเลียต" ประจำรัฐอิลลินอยส์ หลังจากข่าวการจับกุมราชาไส้กรอกกระจายออกไป จึงส่งผลให้ธุรกิจโรงงานแปรรูปต่างๆก็ทยอยปิดตัวลง
เพราะชาวเมืองชิคาโกต่างไม่ต้องการกินเนื้อแปรรูปที่มีส่วนผสมของ "เนื้อมนุษย์" ปะปนอยู่ เขาจึงถูกพิจารณาคดีว่ามีความผิดและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1898 แต่หลังจากนั้น 18 เดือน เขาก็เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1899 ในห้องขัง ด้วยอาการโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในวัย 53 ปีนั้นเอง
ขอบคุณภาพต่างๆจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์