ชีวิตที่ต้องเลือก
ชีวิตที่ต้องเลือก
โดย : อักษราลัย
ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่มีจุดเปลี่ยนด้วยกันทั้งสิ้น จุดเปลี่ยนของคนบางคนอาจนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่สำหรับบางคนจุดเปลี่ยนนั้นอาจหมายถึงการทุกข์ทนขมไหม้กับชีวิตเสียยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น สำหรับนภาจุดเปลี่ยนแรกในชีวิตทำให้เกิดจุดเปลี่ยนอีกมากมายตามมา เธออยากย้อนวันเวลากลับไปที่จุดเปลี่ยนแรกนั้นอีกคราเผื่อว่าทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นวันนี้
.
นภามองแท่งยาวในมือที่มีสองขีดขึ้นนั้น ด้วยดวงตาพร่าเลือนจากม่านน้ำตาที่หลั่งออกมาจนไหลรินหยดเป็นทางลงมาตามร่องแก้ม ย้อยหยดถึงปลายคางจนต้องเอามือปาดออกไปจากใบหน้า มืออีกข้างยกขึ้นแนบลงบนตำแหน่งของท้อง ตอนนี้แน่ชัดแล้วว่ามีผู้สร้างอาการผะอืดผะอมให้ทุกเช้ามาตลอดเดือนที่ผ่านมาอาศัยอยู่ เสียงออดเข้าเรียนในช่วงบ่าย ปลุกเธอจากภวังค์ นภาเก็บแท่งนั้นยัดลงในกระเป๋ากระโปรงนักเรียน ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องน้ำให้ทันกับการเข้าเรียน เมื่อทรุดตัวลงนั่งเธอหันไปทางซ้ายของห้องเรียน สบตากับเขาก่อนจะยิ้มให้แล้วทำสัญญาณมือที่รู้กันว่า เดี๋ยวเจอกันตอนเลิกเรียนในที่ประจำ
.
แดดอ่อนราแสงทาทับยอดไม้ ส่องแสงรำไรดูงดงาม หากแต่ใจของคนสองดวงที่กำลังยืนเผชิญหน้ากันยามนี้กลับรุ่มร้อนทุรนทุราย
"ต้น...ภาท้อง" นภายื่นแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋ากระโปรงส่งให้ชายคนรักตรงหน้า พลางกัดริมฝีปากจนรู้สึกได้ถึงความปร่าของเลือดที่ซึมออกมาจากแรงกัดนั้น
"ทะ ทะ…ท้อง เหรอ" ต้นตะกุกตะกักพูดออกมา สีหน้าซีดขาวราวกระดาษที่เพิ่งแกะออกจากห่อ ทั้งคู่ต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ต้นจะเอื้อมมือมาจับมือของนภาแล้วพูดขึ้นเบา ๆ
"แต่เรายังเรียนกันอยู่ ภารู้ใช่ไหมว่าถ้าเราไม่จัดการอะไร เราจะหมดอนาคตกันทั้งคู่"
"หมายความว่าต้นจะให้ภา..." พูดได้เพียงแค่นั้นนภาก็สะอื้นจนตัวโยนไม่อาจเปล่งคำพูดใด ๆ ออกมาได้อีก ร่างบางค่อย ๆ ทรุดตัวลง ดีที่ต้นคอยสังเกตอยู่จึงรับเอาไว้ได้ทัน
"ภา…อย่าเข้าใจต้นผิดนะ ต้นรักและพร้อมรับผิดชอบภาเสมอ แต่เวลานี้เรายังเรียนไม่จบชั้นมอหก หากเป็นมหาลัยคงจะดีกว่านี้" ต้นพูดพร้อมกับโอบประคองกอดนภาที่ยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้อาดูรอย่างสุดซึ้ง ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบงันกันไป มีเพียงอ้อมกอดที่ถ่ายเทความรักความห่วงใยให้แก่กัน จนนภาหายสะอื้น
"เย็นแล้วภากลับบ้านก่อนแล้วกัน เดี๋ยวแม่เป็นห่วง" นภาพูดพลางลุกขึ้นเอามือปัดกระโปรงนักเรียนให้เข้าที่ ก่อนจะเอาแท่งตรวจใส่ในกระเป๋ากระโปรง
"เดี๋ยวต้นเดินไปส่ง" ต้นเดินเคียงไปกับนภาจากบริเวณหลังโรงเรียนเพื่อไปยังป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนหมือนเช่นทุกวัน จากที่เคยเดินคุยหยอกล้อหัวร่อต่อกระซิก แต่วันนี้บรรยากาศกลับเงียบขรึม ทั้งคู่เดินอย่างเงียบเชียบไร้เสียงสนทนาใด ๆ ในใจต่างคิดถึงเรื่องเดียวกันแต่คนละแง่มุม
.
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากนอนคิดมาทั้งคืน นภาก็ได้ข้อสรุปในใจ ลูกที่อยู่ในท้องย่อมเป็นสิทธิ์เด็ดขาดของเธอ ในเมื่อพ่อของเค้าไม่ต้องการ เธอก็จะยอมแลกเอง อนาคตคงไม่มีความหมายหากไม่มีเด็กคนนี้ หากจะต้องเสียการเรียนในเทอมนี้ไป ค่อยหาทางเรียนศึกษาผู้ใหญ่เอาในอนาคตก็คงได้ นั่นคือสิ่งที่นภาวางแผนไว้ วันนี้เธอไม่มองไม่สบตากับต้นเหมือนเคย ใช่ว่าจะชิงชังกับสิ่งที่ต้นร้องขอให้ทำ เธอเข้าใจต้นดี รู้ถึงเหตุผลของการกระทำ แต่การรู้ใช่ว่าจะทำใจได้
ต้นเป็นลูกชายตนเดียวของนายอำเภอที่มีอนาคตไกลถึงผู้ว่าราชการจังหวัด พ่อของต้นเข้มงวดและคาดหวังเอาไว้มาก นั่นทำให้ต้นอึดอัด อนาคตของต้นถูกวางแผนเอาไว้หมดแล้ว หลังจากจบปีการศึกษานี้ พ่อจะให้บินไปเรียนต่อที่อังกฤษ ตามรอยพี่ชายที่ไปเรียนอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ต้นพยายามสบตากับนภาและส่งสัญญาณนัดคุยกันหลังเลิกเรียน เมื่อนภาเผลอหันไปสบตา เธอพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่คุยเรื่องนี้กับต้นอีก
.
เย็นหลังเลิกเรียน นภายืนเหม่อมองสระปลาดุกหลังโรงเรียนที่ทางโรงเรียนส่งเสริมให้นักเรียนหัดเลี้ยงไว้เพื่อทำเป็นอาหารกลางวัน และส่งขายข้างนอกเพื่อเป็นรายได้เข้าสมาชิกสหกรณ์ แสงแดดรำไรสีส้มอ่อนทับทาลงบนผิวน้ำ สะท้อนประกายวับวาวระยิบระยับ นภาเคยมองว่าสวยเกินพรรณา แต่วันนี้กลับให้อารมณ์เศร้าสร้อย จนทำให้น้ำตาซึมคลอออกมา
"ภา…" เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้นภาหันกลับไปมอง ต้นมายืนอยู่นานแค่ไหนแล้วไม่รู้แต่สีหน้าและแววตานั้นทำให้ใจของเธออ่อนยวบลง
"ต้น มีอะไรจะคุยกับภาเหรอ" เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอิดโรย ใต้ตาที่คล้ำ กับสีหน้าซีดเซียวไม่ต่างกับกระดาษนั้น บ่งบอกทุกอย่างได้ดีโดยที่ต้นไต้องเอ่ยถาม
ต่างคนต่างเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ต้นจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงนักเรียน หยิบแบงค์ที่ถูกม้วนเอาไว้เป็นปึกออกมา
"ต้นเอาเงินเก็บมาให้ เพื่อ…" คำพูดถูกชะงักไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่เงินปึกนั้นจะถูกยัดเข้ามาในมือของนภา เธอมองเงินปึกนั้นด้วยน้ำที่เปียกแพขนตา โดยไม่พูดอะไร ต้นเดินหันหลังจากไป นภาได้แต่มองตามหลังที่เคยโอบกอดด้วยความรู้สึกอบอุ่นนั้นอย่างใจหาย แม้จะไม่เกลียด ไม่โกรธ แต่เหมือนมีความอึมครึมบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างกัน หลังจากวันนั้นนภาก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกับต้นอีกเลย
.
นภาพยายามฝืนกินอาหารเพื่อลดความผะอืดผะอมของอาการแพ้ท้อง และพยายามหาทางบอกแม่ แต่เมื่อมองแม่คราวใดคำพูดก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอทุกที แม่มักกลับบ้านมาด้วยอาการเหนื่อยอ่อน แม่ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสองเพื่อไปขายผักที่ตลาดเช้า กว่าจะกลับเข้าบ้านก็หกโมงเย็น หลังจากเลิกตลาดเช้า แม่ไปจองแผงขายขนมไว้อีกตลาด เพราะการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอและน้องสาวของแม่ ทำให้เธอพูดไม่ออก พ่อของนภาจากไปเมื่อสามปีก่อนด้วยโรคร้าย ลูกสาวสองคนวัยกำลังเรียน ทำให้แม่เหนื่อยมากขึ้น แต่แม่บอกเธอกับน้องเสมอว่า เพื่อลูกแม่ทำได้ ขอให้ลูก ๆ ตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอ แล้วนี่เธอกำลังทำให้แม่ผิดหวัง แม่จะว่ายังไงนะหากเธอบอกไป
จะด้วยบุญหรือบาปก็สุดจะคิด เย็นนั้นหลังเรียนคาราเต้ เมื่อกลับบ้านนภามีอาการปวดท้องอย่างแรง มันปวดบิดอย่างแรงจนเธอต้องเอาสองมือกุมท้องเอาไว้ ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะหิว แต่เมื่อมีเลือดไหลซึมลงมาตรงหว่างขา เธอก็แน่ใจว่าลูกไม่ได้อยู่กับเธออีกต่อไป เธอปวดจนแทบสลบ และมีอาการไข้ขึ้นสูง กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้เธอคิดว่าคงจะตกเลือดตายเสียแล้ว เพราะเธอไม่กล้าบอกแม่ที่เดินมาเคาะประตูว่าเป็นอะไร ได้แต่ตะโกนบอกไปว่ากินข้าวแล้วและจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ คำโกหกนั้นทำให้แม่ยอมเดินไป โดยพูดเพียงว่า
"อย่าหักโหมนอนดึกนักนะลูก" ด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยนั้น ทำเอานภากอดหมอนสะอื้นจนตัวโยน โดยแยกไม่ออกว่าเสียใจกับการสูญเสียหรือรู้สึกผิดต่อแม่กันแน่
‘หลังจากวันนี้ หนูไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจค่ะ หนูสัญญา’ นภาคิดและให้สัญญากับแม่ โดยที่แม่ไม่เคยรู้ เธอมุมานะเรียนหนังสือโดยไม่สนใจเปิดโอกาสให้ชายคนไหนเข้ามาในชีวิตอีก รอยยิ้มของแม่ในวันที่นภาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตในวันนั้น ทำให้นภามีความสุข เธอคิดว่าเธอได้ลบล้างบาปในใจที่ทำเอาไว้โดยที่แม่ไม่เคยรู้ได้แล้ว
……………….
ดร.นภา ในวัยสามสิบห้าปี ยืนรดน้ำต้นไม้รอบบ้านอย่างปลดปล่อยอารมณ์ ดอกไม้สีขาวทั้งปีบ โมก มะลิ ลีลาวดี และแก้ว ที่ปลูกไว้รายรอบบ้านส่งกลิ่นหอมละมุนอย่างที่ชอบ ทำให้สดชื่นและผ่อนคลายจากงานประชุมวิชาการที่ทำเอาเธอปวดหัวมาตลอดวัน ริมฝีปากบางนั้นค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกไปถึงบทสนทนากับน้องสาวเมื่อสักครู่
"ลูกสาวของนิด ตอนนี้อายุได้แปดเดือนแล้ว คงจะกินนมขวดได้แล้ว ถ้าพี่ภายังอยากมีลูก นิดจะยกลูกให้"
"ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ ก็จะมายกยายหนูให้พี่"
เสียงโฮจากปลายสาย แทนคำตอบของเรื่องราว นภารอจนเสียงนั้นเงียบลง โดยไม่เร่งรัด
"ไอ้ดำมันทิ้งนิดไปแล้วพี่ มันไปได้เมียใหม่ในที่ทำงาน แล้วตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ท้อง มันมาเก็บเสื้อผ้าไปเมื่อวาน นิดขอร้องอ้อนวอนยังไง มันก็ไม่สนใจ นิดคนเดียวคงเลี้ยงยายหนูไม่รอด ยายหนูคงมีอนาคตที่ดีกว่าถ้าอยู่กับพี่" นิดเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
"นิดขอ..ขอเงินไปตั้งตัวนะพี่ อย่าว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลยนะ นิดว่าจะไปเมืองนอก คงจะดีกับเราทั้งสองคน รวมทั้งยายหนู พี่ภาคงไม่ว่านิดขายลูกกินนะ"
"พี่ไม่ว่าหรอก ว่าแต่เธอต้องการเงินเท่าไหร่ พี่มีไม่มากหรอกนะ เงินเดือนก็โดนหักใช้ทุนไปบางส่วน" นภาเงียบอึ้งไปหลังจากได้ยินตัวเลขเงินที่น้องสาวต้องการ นั่นหมายถึงเงินเก็บสำรองที่เธอแยกเก็บไว้เผื่อฉุกเฉินจะต้องหมดไป และมันคือสิ่งที่เธอต้องเลือกระหว่างลูกหรือเงิน ลูกที่เธอปรารถนามานาน หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น ยายหนูพิมพาเองก็เป็นเหมือนลูกของนภาอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่นิดรู้ตัวว่ามียายหนู คนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดก็คือเธอ หน้าที่พานิดไปฝากครรภ์และตรวจแต่ละครั้งมีแต่เธอเท่านั้นที่ประคองน้องไป เค้ารางของความแตกแยกในครอบครัวนิดเริ่มมาตั้งแต่นิดเริ่มตั้งท้องอ่อน ๆ แล้ว คนเป็นพ่อแบบไหนกันที่ไม่เคยสนใจพาเมียไปฝากท้อง ไม่เคยซื้อของที่เมียอยากกินมาให้ แถมยังกลับดึกกว่าที่ควรจะเป็น หน้าที่เหล่านี้ตกเป็นของนภาโดยที่เธอเองก็เต็มใจทำ โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่ายายหนูที่เธอเฝ้าฟูมฟักจะกลายมาเป็นลูกสาว ลูกที่เธออยากมี และตั้งใจจะชดใช้ให้กับความผิดในครั้งก่อน
.
หลังจากคิดอยู่เพียงไม่ถึงวันนภาก็ตกลงมอบเงินเก็บสำรองเกือบทั้งหมดที่มีให้กับน้องสาว เพื่อที่ทั้งเธอและน้องจะได้มีชีวิตในสิ่งที่ตัวเองต่างเลือก ไม่มีการตัดสินใด ๆ สำหรับการตัดสินใจยกลูกให้จากนิด เพราะแม่เองก็จากไปกว่าสามปีแล้ว นิดออกเดินทางไปต่างประเทศหลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน นภากับยายหนูพิมพา เข้ากันได้ดี ยายหนูเลี้ยงง่ายกว่าที่คิด ไม่เคยโยเย งอแง ให้หนักใจ จับนั่งตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น น่ารักและเป็นแรงใจยามนภากลับจากทำงานได้เป็นอย่างดี ยายหนูเป็นสิ่งมีค่าที่นภาคิดว่ายอมแลกได้กับทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของเธอหากจะมีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากนิดย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย นภากับนิดติดต่อกันอยู่บ้างนาน ๆ ครั้ง นิดไม่เคยขอคุยกับยายหนูโดยตรง นอกจากจะเห็นกันแวบ ๆ ผ่านการคุยวิดีโอคอลล์กับเธอ จึงทักทายกัน ยายหนูเรียกนิดว่า "น้านิด" ตามศักดิ์ที่ควรเป็นและรักแบบหลานรักน้าตามปรกติ นิดแต่งงานใหม่กับสามีฝรั่งหลังจากไปอยู่ได้ครึ่งปี ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าสี่ปีแล้ว เป็นสี่ปีที่นิดพยายามจะมีลูกใหม่กับสามีฝรั่งที่ทั้งคู่ต่างต้องการโซ่ทองมาคล้องใจ
ตอนนี้ยายหนูกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสอง กำลังน่ารัก ช่างพูด ใคร ๆ ต่างก็หลงรัก เพราะนภาสอนให้พิมพามีทั้งความทันสมัยในแบบเด็กรุ่นใหม่ และมีกิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนโยน แบบคนยุคเก่า นั่นทำให้ใครเห็นต่างก็รัก และเอ็นดูยายหนู พิมพาเป็นทั้งแก้วตาและดวงใจของนภาที่ทำให้ทุกวันของเธอสมบูรณ์และมีความสุขอย่างที่สุด
.
"พี่ภา…" เสียงเรียกปลายสายจากนิดและสีหน้านั้น นภารู้ทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่าง
"ว่าไง มีอะไร"
"นิด…นิดอยากได้ลูกคืน" สิ้นคำบอกจากน้องสาวเหมือนดวงใจถูกกระชากออกไปจากอก นภาชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นิ่งอึ้งไปอย่างทำอะไรไม่ถูก
"ก็ไหนเคยบอกพี่ว่าจะไม่มายุ่ง แล้วทำไม?" เสียงพูดค้างอยู่แค่นั้นทั้งที่อยากจะพูดต่อว่าอะไรอีกหลายคำ แต่คำที่จะเอ่ยกลับจุกอยู่แค่คอหอย เพราะนิดร้องไห้โฮออกมา
"สตีฟอยากมีลูกมากพี่ภาก็รู้ นิดพยายามทำทุกวิธีทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ นิดไม่อยากถูกบอกเลิก นิดอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ พี่ภาต้องช่วยนิดนะ"
.
คำว่า "ครอบครัวที่สมบูรณ์" สะกิดใจนภาอย่างแรง ทั้งนภาและนิดต่างฝันกับคำนี้เหมือน ๆ กัน ตั้งแต่พ่อตายจากไปคำว่าครอบครัวเหมือนลอยไปพร้อมกับควันที่ลอยล่องออกจากป่องเมรุในวันนั้น หลังจากนั้นแทบไม่มีใครเห็นรอยยิ้มจากแม่อีกเลย เว้นวันที่นภาได้รับปริญญาที่แม่ยอมหยุดงานเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับเธอ รอยยิ้มวันนั้นของแม่กว้างและสว่างไสว มันยังกระจ่างชัดในใจของเธอตราบจนทุกวันนี้ นิดกับนภาสนิทกันมากกว่าพี่น้องคู่ไหน ๆ ไม่เคยมีความลับระหว่างกัน ความผิดพลาดในวัยเยาว์คราวนั้น นิดก็รู้เพราะเป็นคนคอยช่วยดูแลตอนที่นภาป่วยเจียนตายคราวนั้น หากเธอรั้งลูกไว้เป็นของเธอแน่นอนเธอย่อมมีความสุข แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับนิด หากนิดจะต้องมีอันแตกแยกอีกครา น้องจะทนได้หรือ เพราะคราวก่อนกว่าน้องจะทำใจก้าวเดินต่อไปได้ นภาต้องประคับประคองและคอยดูแลอยู่นาน นิดไม่ใช่คนเข้มแข็งเท่านภา อาจเพราะเป็นน้องน้อยที่นภาคอยดูแลมาตลอด น้องที่นภายอมให้ทุกอย่างมาเสมอเมื่อน้องอยากได้ เพราะคำว่า "พี่" ในครอบครัวของนภา คือการต้องยอมให้น้อง แต่สิ่งที่น้องอยากได้ในครั้งนี้มันบีบหัวใจเหลือเกิน
.
ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ และไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจนั้นถูกหรือผิด เพราะหากสามารถรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้คงไม่มีใครทำอะไรผิดพลาด นภาหันไปมองพิมพาที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม สายตาเหลือบมองตั๋วเครื่องบินสองใบที่วางตระเตรียมไว้บนกระเป๋าใบเล็ก ข้างประตูมีกระเป๋าเดินทางลายการ์ตูนสีชมพูสำหรับยายหนู ที่วางเคียงกับกระเป๋าใบโตสีฟ้า เธอได้แต่หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอจะถูกต้องและจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีให้กับชีวิตของทุก ๆ คน …