"นายแบบเกย์" ที่แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมนาน 8 ปี
มันเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เกิดขึ้นในคืนหนึ่งของเดือนกันยายน ปี 1999 ด้วยอาการมึนงงและได้เดินไปถึงหน้าโรงพยาบาลในเมืองโตรอนโตและล้มลงหมดสติไป จนหมอได้รีบเข้ามาช่วยเหลือเขา
ส่วนสาเหตุเกิดจากสภาวะขาดน้ำและอ่อนเพลีย แต่พอฟื้นขึ้นมาเขากลับจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลยสักอย่าง งั้นเรามาติดตามชีวิตของเขากันว่ามีที่มาที่ไปยังไงกันแน่
จุดเริ่มต้นของฉายาใหม่
เนื่องจากตัวเขาไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของตัวเองได้ ดังนั้นหมอจึงได้เขียนชื่อของเขาในทะเบียนประวัติคนไข้ว่า "มิสเตอร์โนบอดี้" (Mr.Nobody) ที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถรู้ที่มาที่ไปของตัวเองได้ ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ
สืบหาตัวตนของเขา
ดังนั้นทางโรงพยาบาลเลยต้องทำการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ทว่าตำรวจเองก็ไม่สามารถสืบหาตัวตนของเขาได้ ไม่ว่าจะทีมสืบสวน ทีมกองปราบอาชญากรก็มา หรือแม้แต่ทีมสืบคดีฉ้อโกงก็ไม่เว้น แต่เขาก็ยังยืนยันว่าตัวเขาเองจำอะไรไม่ได้เลย และดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้กำลังโกหกอยู่
สุดท้ายตำรวจก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต โดยหวังว่าจะได้รู้ข้อมูลในตัวเขาและสำเนียงภาษาอังกฤษของเขา แต่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถรู้ว่าเขาน่าจะได้รับการศึกษาที่ดี และคงอยู่ในครอบครัวที่โอเค เพราะเขาสามารถอ่านหนังสือได้ตามปกติ และยังรวมถึงภาษาละตินอีกด้วย จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถระบุว่าเขาเป็นชาวอังกฤษ
เป็นข่าวดังทางโทรทัศน์
ตำรวจแคนาดาจึงได้แฟกซ์ใบหน้าและลายนิ้วมือของเขา ไปให้ตำรวจนิวสกอตแลนด์ยาร์ดช่วยระบุตัวตนของเขา แต่กลับไม่พบข้อมูลของเขาเลยหรือในฐานข้อมูลคนหายของเขาเลย จากนั้นจึงได้ไปค้นหาในฐานข้อมูลลายนิ้วมือในอาชญากรต่อไป แต่ก็ไม่พบบันทึกที่ตรงกันอยู่ดี
สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งของอังกฤษจึงได้ทำรายการตอนพิเศษ ที่มีชื่อว่า "บุคคลผู้สูญหาย" (Missing Man) เพื่อจะได้หาเบาะแสต่างๆจากทั่วประเทศ ไม่ว่าจะหนังสือพิมพ์ทั้งในแคนาดาและอังกฤษ ต่างก็อยากจะรู้ตัวตนของเขา แต่แม้ว่าจะผ่านมาหลายเดือนยังไงก็ยังไม่สามารถพบเบาะแสใดๆเกี่ยวกับตัวเขาเลย ทำให้ ตม.แคนาดามึนตึบ แล้วเขาเป็นใครล่ะนี่ ? และมีสถานะอะไรกันแน่ล่ะ ? ซึ่งถ้าเขาไม่ได้มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คงต้องเนรเทศเขา แต่ปัญหาก็คือไม่รู้จะเนรเทศเขาไปที่ไหน
ได้เป็นพลเมืองชั่วคราว
เมื่อหมดหนทางทาง ตม.จึงให้สถานะพลเมืองชั่วคราวแก่เขา โดยให้ชื่อว่า "ฟิลลิป สตาวเฟน" (Philip Staufen) แล้วทำไม ? ถึงใช้ชื่อนี้ เพราะเขาบอกว่าเคยฝันว่าเห็นคนเรียกชื่อนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้นนี่มันอาจจะเป็นชื่อจริงของเขาก็เป็นได้ ส่วนวันเกิดของเขาก็ระบุให้เป็นวันที่ 7 มิถุนายน ปี 1975 ที่เป็นวันนี้ก็เพราะมันก็มาจากความฝันของเขาเช่นกัน
ด้วยสถานะพลเมืองชั่วคราวนี้จึงทำให้เขาได้รับสิทธิ์ประกันสุขภาพ และได้รับใบอนุญาตทำงานไปด้วยโดยปริยาย และพอหลายปีต่อมาเขาก็ย้ายจากโตรอนโตไปมอนทรีออล และสุดท้ายก็ย้ายมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ แต่เขาก็ยังคงจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม แต่เขาก็เริ่มจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้แล้ว และนับวันเขาก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปด้วย
เริ่มหาทนายความให้ช่วย
แต่ยังไงซะทาง ตม.ก็ยังไม่ได้ละทิ้งในการติดตามเขา เพราะอยากจะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาผู้นี้เป็นใครกันแน่ เพราะกลัวว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อการร้าย ดังนั้นจึงต้องทำให้เขาต้องมาต่อสถานะการเป็นพลเมืองชั่วคราวๆทุกๆครึ่งปี
เพื่อจะได้ยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ว่าเขาจดจำอะไรได้บ้างแล้วหรือยัง และการที่เขาต้องเข้าไปทำเรื่องแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกยุ่งยาก เขาจึงอยากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้หมดไป เขาจึงได้ไปหาทนายความชาวโปรตุเกสในแวนคูเวอร์ ซึ่งมีชื่อว่า "มานูเอล อาเซเวโด" (Manuel Azevedo) เพื่อจะช่วยให้เขาได้รับสถานะพลเมืองถาวร
ทาง ตม.ไม่ให้เป็นพลเมืองถาวร
ดังนั้นทนายความจึงยื่นเรื่องไปยัง ตม. เพื่อให้ออกสูติบัตรแคนาดาเพื่อให้เขา ได้เป็นพลเมืองถาวรของประเทศ แต่ทาง ตม.ก็ย้อนถามกลับมาว่า "แล้วในช่องชื่อบิดา,มารดา จะให้ใส่ชื่อใคร ?" เพราะในทางกฎหมายจะให้ยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ทนายความกลับไม่ยอมแพ้และได้มองว่าเขาเป็นคนดี ทำไม ? แคนาดา ถึงไม่ยอมให้เขาเป็นพลเมืองของเรา
ทนายความยอมค้ำประกัน
จึงทำให้มานูเอลยอมค้ำประกันให้ว่า ชายผู้นี้ไม่มีทางเป็นผู้ก่อการร้ายแต่เป็นพลเมืองที่ดีและไว้ใจได้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นมานูเอลจึงได้ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อที่จะหาทางช่วยเหลือชายผู้นี้
โดยมีลูกสาวชื่อ "นาตาลี" ที่มักจะเดินทางไปอังกฤษในช่วงสุดสัปดาห์อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เกี่ยวกับปูมหลังและประวัติของชายผู้นี้อีกทาง
ทนายความช็อกลูกสาวจะแต่งงานกับชายนิรนามนี้
ในขณะที่ปัญหาของเขายังคาราคาซังอยู่ จู่ๆนาตาลีก็ได้ออกมาบอกกับมานูเอลผู้เป็นพ่อว่า เธอได้รักและดูใจกับมิสเตอร์โนบอดี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว และตัดสินใจว่าจะแต่งงานกัน แต่มันกลับทำให้ผู้เป็นพ่อโมโหเป็นอย่างมาก
เพราะลูกสาวจะไปแต่งกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร ? เพราะถ้าเกิดเขาเป็นคนไม่ดี และถ้าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายล่ะ ? ซึ่งก่อนหน้านี้มานูเอลเป็นคนยืนยันและค้ำประกันให้ไม่ใช่หรอ ? ว่าชายผู้นี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนไม่ใช่หรอ ? แต่พอเธอจะแต่งงานกับเขาพ่อกลับพูดแบบนี้ได้ไง
ทนายความยกเลิกการยื่นเรื่อง
จึงทำให้นาตาลีตัดสินใจตัดขาดจากครอบครัวเพื่อจะไปแต่งงานกับเขา หลังจากที่ได้แต่งงานกันทั้งสองก็ย้ายไปอยู่ที่แฮลิแฟกซ์ (Halifax) จึงทำให้มานูเอลรู้สึกโกรธที่เสียทั้งขึ้นทั้งร่อง แถมยังต้องเสียลูกสาวไปอีก และเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ชิเปรียน สคิด" (Ciprian Skeid)
ด้วยความโกรธของมานูเอล เขาจึงไม่ยอมเดินเรื่องให้กับชายผู้นี้ให้ได้เป็นพลเมืองถาวรอีก จึงทำสถานะของเขาก็ต้องค้างคาเหมือนเดิม และนี่จึงทำให้ประกันสุขภาพและใบอนุญาตทำงานก็หมดอายุไปด้วยพร้อมกัน
นำรายการมาออกอากาศซ้ำ
ดังนั้นนาตาลีจึงต้องทำงานหาเลี้ยงสามี ที่สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง เพราะสามีไม่มีใบอนุญาตทำงานแล้ว และเมื่อหลายปีก่อนนาตาลีเคยไปตรวจสอบข้อมูลที่ยุโรปอยู่หลายครั้ง ดังนั้นด้วยการร้องขอของเธอทั้งในอังกฤษและหลายประเทศ จึงได้นำเทปรายการ "บุคคลผู้สูญหาย" (Missing Man) ที่ถ่ายทำเมื่อหลายปีก่อนนำมาออกอากาศอีกครั้ง
ถูกเปิดเผยว่าเป็นนายแบบเกย์
พอหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนนำนิตยสารเล่มหนึ่ง ไปหาตำรวจนิวสกอตแลนด์ยาร์ด โดยจากข้อมูลที่ระบุในนิตยสารเขาคือชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า "จอร์จ เลอควิต" (George Lecuit) และเป็นนายแบบที่ถ่ายแบบให้กับนิตยสารเกย์ ดังนั้นตัวตนของเขาจริงๆไม่ใช่ "มิสเตอร์โนบอดี้" แต่อย่างใด เมื่อเปิดดูนิตยสารดูก็จะเห็นรูปร่างทุกสัดส่วนของเขาทุกซอกทุกมุมเต็มๆ
ขอให้เขายืนยันตัวตน
เมื่อตำรวจนิวสกอตแลนด์ยาร์ดรู้ ก็รีบแจ้งไปยังเขาและภรรยาของเขาด้วยความดีใจ ที่สามารถรู้ตัวตนในอดีตของคุณแล้ว แต่ทั้งสองกลับไม่อยากรับฟังและบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปว่า "พวกคุณอย่ามารบกวนพวกเราอีก" เพราะตอนนี้ไม่อยากรู้ต่อไปอีกแล้ว
แต่ตำรวจอังกฤษกลับนำเรื่องราวที่พิลึกพิลั่นนี้ แจ้งไปยังตำรวจแคนนาดาและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ได้แจ้งไปยังเขา เพื่อให้เขามายืนยันว่าตัวเขาเป็นชาวฝรั่งเศส ที่ถ่ายแบบเกย์คนั้นจริงหรือเปล่า ? ถ้าเขาหาหลักฐานยืนยันได้ก็จะได้หาวิธีให้เขาอยู่ในแคนาดาได้อย่างถูกกฎหมายต่อไป
ขุดคุ้ยประวัติของเขา
ในช่วงแรกที่เขาได้เป็นพลเมืองชั่วคราวได้ใช้ชื่อว่า "ฟิลลิป สตาวเฟน" (Philip Staufen) ที่มาจากความฝันนั้นเอง
พอแต่งงานก็เปลี่ยนชื่อเป็น "ชิเปรียน สคีด" (Ciprian Skeid)
จนสุดท้ายก็มีคนมาบอกว่าจริงๆเขาคือนายแบบเกย์ชื่อว่า "จอร์จ เลอควิต" (George Lecuit)
ซึ่งทั้ง 3 ชื่อก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันสถานะตัวบุคคลของเขาได้เลย
ถูกจับกุมเข้าคุก
พอวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2004 ทางตำรวจแฮลิแฟกซ์จึงได้เข้าจับกุมเขา ในข้อหาหลอกลวงผู้อื่นด้วยความแสดงข้อความอันเป็นเท็จ จึงทำให้เขาต้องรับโทษจำคุก ทำให้นาตาลีภรรยาเขาต้องพยายามวิ่งเต้น เพื่อช่วยเหลือสามีออกมา เธอร้องห่อร้องไห้ต่อหน้าสื่ออยู่บ่อยครั้ง โดยยืนยันและบอกว่าสามีของเธอเป็นผู้บริสุทธิ์และสูญเสียความทรงจำจริงๆ ทำไม ? พวกคุณถึงทำกับเขาแบบนี้
ได้รับการปล่อยตัว
ทางด้านตัวเขาที่อยู่ในคุกก็ประท้วงโดยการอดอาหาร ที่เกิดจากแรงกดดันจากหลายๆด้าน พออยู่ในคุกนาน 10 วัน ในที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ยอมที่จะลดละ โดยบอกว่าเมื่อไหร่ที่สามารถระบุตัวตนของเขาได้ เขาจะถูกเนรเทศ เพราะถือว่ามาพำนักอาศัยอย่างผิดกฎหมายทันที
วิ่งเต้นขอสัญชาติโปรตุเกส
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเช่นนี้ นาตาลีภรรยาเขาที่ถือสัญชาติแคนนาดาและโปรตุเกส จึงได้ไปเจรจากับทางสถานทูตเพื่อยื่นเรื่องขอสถานะพลเมืองโปรตุเกสให้กับสามีของเธอ แต่ผลก็เหมือนเดิมคือทำไม่ได้
ความจริงถูกเปิดโปง
และสุดท้ายผู้ที่สามารถยืนยันสถานะตัวบุคคลของสามีเธอได้ ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นมาเขาคนนั้นก็คือ "ฟิลลิป สตาวเฟน" ตัวจริงเสียงจริง ซึ่งเขาคือตากล้องที่ถ่ายนายเกย์นั้นเอง และเป็นโปรดิวเซอร์หนังเกย์ และเป็นคนที่ชักนำให้ "มิสเตอร์โนบอดี้" เข้าสู่วงการในสมัยนั้น
และยังได้ถ่ายภาพของเขาตอนเป็นนายแบบเอาไว้เยอะมากๆ และทำให้เขาได้ถ่ายหนังเกย์อีกหลายเรื่อง แถมทั้งสองก็ยังเคยเป็นคนรักที่เคยอาศัยอยู่ด้วยกันมาก่อนด้วย และเขาเองเป็นคนสอนให้มิสเตอร์โนบอดี้ได้มีภาพลักษณ์ของลูกผู้ดี มีการศึกษาสูงก็เพื่อทำให้หนังเกย์นั้นมีกระแสตอบรับที่ดียิ่งขึ้น
พบว่าเขาปลอมพาสปอร์ต
ไม่น่าเชื่อว่าเขาผู้นี้จะเป็นดาราหนังแนวนี้ และเนื่องจากหนังของเขามีข้อจำกัดเรื่องอายุ ดังนั้นจึงได้เก็บสำเนาพาสปอร์ตของเขาเอาไว้ด้วย พอหลายปีผ่านไปในที่สุดก็มีเอกสารที่สามารถนำมาใช้ยืนยันได้ โดยในนั้นระบุว่าชื่อจริงๆในพาสปอร์ตก็คือ "ฌอง ลุค จอร์จ เลอควิต" (Jean-Luc George Lecuit) สัญชาติฝรั่งเศส
แต่ทางสถานทูตฝรั่งเศสตรวจพบว่าพาสปอร์ตของเขานั้นเป็นของปลอม และรู้ด้วยว่าพาสปอร์ตปลอมพวกนี้มาจาก "พวกแก๊งโรมาเนีย" ที่ทางการเคยบุกทลายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เอาล่ะดิ! แล้วแบบนี้มิสเตอร์โนบอดี้เขาเป็นใครกันแน่ ต่างก็โยนเรื่องกันไปมา แต่ปัญหานี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดอยู่ดี
ภรรยารับไม่ได้ขอหย่า
หลังจากมีหลักฐานออกมา จึงทำให้นาตาลีเสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจหย่าขาดกับสามี เมื่อไร้ซึ่งการสนับสนุนจากภรรยาตัวเขาจึงต้องโดดเดี่ยวเคว้งคว้างอยู่ในแคนาดาเพียงลำพัง
ยอมเปิดเผยความจริงสักที
สุดท้ายในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เขาจึงได้ตัดสินใจเข้าไปมอบตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยยอมรับว่าตัวเองโกหกเรื่องความจำเสื่อม และยอมรับว่าชื่อจริงของเขาก็คือ "ชิเปรียน สคีด" (Ciprian Skeid) หลังจากแต่งงานเขาก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเดิมของตนเอง
โดยเขาบอกว่าเขาเกิดที่โรมาเนีย อายุ 36 ปี มีพ่อเป็นทหารขี้เหล้า ถูกส่งไปเรียนสถาบันดนตรีตั้งยังเด็ก เพราะแม่ก็อยากให้เขาเอาดีด้านดนตรี แต่พออายุ 16 ปีความฝันก็พังทลายลง ไม่กี่ปีพ่อก็บังคับให้เข้าไปเป็นทหาร
ยอมรับเป็นชายรักชาย
โดยเขารู้จักรสนิยมของตนเองตั้งแต่เรียนสถาบันดนตรีแล้วว่า ตนเองเป็นพวกชายรักชาย และด้วยสถานะเกย์ ทำให้ตอนอยู่ในค่ายทหารฝึกซ้อม เขาก็จะถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานา
หนีทหาร
เพราะถูกกลั่นแกล้งในค่ายทหาร เขาเลยได้ตัดสินใจหนีทหาร และเพื่อหนีการจับกุมจึงได้ไปซื้อพาสปอร์ตฝรั่งเศสมาจากคนอื่น และหนีไปเป็นนายแบบที่เมืองน้ำหอม จากนั้นก็ย้ายไปอังกฤษและออสเตรีย สุดท้ายก็ถึงแคนาดา ก่อนจะถูกหลอกจนสูญเสียเงินและเอกสารทั้งหมดในบาร์แห่งหนึ่งในโตรอนโต
แกล้งความจำเสื่อมเพื่ออยากลืมอดีต
เขาเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ดันเดินไปโรงพยาบาลตามต้นเรื่องที่กล่าวมา พอฟื้นก็เลยตัดสินใจว่าจะลบอดีตตัวเองทุกอย่าง เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการแกล้งไม่รู้ชื่อนามสกุลของตัวเอง ในฐานะที่เขาเป็นมิสเตอร์โนบอดี้มานานถึง 8 ปี สุดท้ายเขาถึงได้บอกตัวตนและความจริงในที่สุด
ได้รับการยืนยันตัวตนสักที
ผ่านไปไม่นานทางโรมาเนีย ก็สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ และพอปี 2007 เขาก็ได้ถูกเนรเทศกลับบ้านเกิด และก็ได้ขอยื่นเรื่องทำพาสปอร์ตโรมาเนียได้สำเร็จ และในตอนนี้เองที่โรมาเนียได้เข้าร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และนาโต (NATO) อย่างเป็นทางการ จึงทำให้พาสปอร์ตของเขาพิเศษ เพราะเขาสามารถเข้าออก 100 ประเทศในยุโรปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เรื่องราวของมิสเตอร์โนบอดี้ก็จบลงตามนี้
ขอบคุณภาพต่างๆจาก : Google, Wikipedia