‘โจเซฟ เมงเกเล่’ กับการทดลองสุดวิปริตผู้กุมชะตาเหยื่อค่ายกักกัน
คำเตือน! สิ่งที่ท่านกำลังจะรับอ่านอยู่นี้มีเนื้อหาที่โหดร้ายทารุน เกี่ยวกับการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ การสังหารหมู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการทดลองทางการแพทย์โดยมีชีวิตของมนุษย์ที่เป็นเดิมพัน ถ้าคุณพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลย
โจเซฟ เมงเกเล่ (Josef Mengele) นายแพทย์ผู้ที่ควบคุมชะตาชีวิตประจำค่ายเอาช์วิตซ์ (Auschwitz) ซึ่งเป็น “ค่ายกักกันมรณะ” ที่พรากชีวิตชาวยิวไปหลายล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากเนื้อมือของพรรคนาซี เยอรมนี ซึ่งเมงเกเล่เป็นผู้ตัดสินเมื่อเชลยเข้าสู่ค่ายกักกันว่า “ใครจะถูกส่งไปเข้าห้องรมแก๊ส ใช้แรงงาน หรือนำไปทดลองทางการแพทย์” ที่นี้เราต้องย้อนรอยไปก่อนว่าก่อนที่เมงเกเล่จะมาอยู่ ณ จุดนี้เขาได้ทำอะไรมาก่อน
ในปีค.ศ. 1935 เมงเกเล่เสร็จสิ้นการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขามานุษยวิทยาการแพทย์ (การแพทย์ชาติพันธุ์) จากมหาวิทยาลัยมิวนิก นับเป็นก้าวสำคัญในชีวิตของเขา ในช่วงเวลานี้เขามีความหลงใหลในด้านวิทยาศาสตร์และมานุษยวิทยาอย่างลึกซึ้ง
พร้อมกับการที่จะกำลังจบการศึกษาของเขา เมงเกเล่ก็เริ่มสนใจในเรื่องของพันธุกรรม และเริ่มทำการวิจัยเกี่ยวกับพันธุกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นการสืบค้นสาเหตุของความผิดปกติและข้อบกพร่องทางพันธุกรรม ผลงานของเขาได้รับการจับตามองอย่างสูงเนื่องจากความสำคัญทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์
นอกจากนี้ เมงเกเล่ยังผ่านการทดสอบทางการแพทย์ของรัฐ และสนใจในปัญหาทางการเมือง นี้เป็นเวลาที่เขามีโอกาสในการตีความและมองโลกในมุมมองที่หลากหลาย และเขาก็เริ่มมีความสนใจในพรรคนาซี เนื่องจากมีแนวคิดที่ตรงกับเขาในหลายประเด็น โดยรวมแล้ว ชีวิตของเมงเกเล่นี้เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความมุ่งมั่นในการทำงานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ รวมถึงการสนใจในการเมืองและการเมืองอย่างมาก
เมงเกเล่ เริ่มการทดลองทางการแพทย์ด้านต่างๆ ในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งเขาได้ทดสอบระดับความทนทานของร่างกายมนุษย์ด้วยการขังเหยื่อไว้ในห้องกักอากาศความลดความดัน การทดลองแช่แข็ง การทดลองในน้ำเค็ม
จนถึงในปี ค.ศ. 1943 เขาได้รับตำแหน่งนายแพทย์ประจำที่ค่ายมรณะที่ชื่อว่า "เอาซ์วิตซ์" ซึ่งเป็นสถานที่เขาเห็นว่าเหมาะสมในการดำเนินการวิจัยทางการแพทย์โดยใช้มนุษย์เป็นวัตถุประสงค์ โดยเขาเห็นว่าที่นี้เหมาะสมแล้วในการทำการทดลองของเขา ไม่เพียงแต่เขาทำหน้าที่ในการเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครควรมีสิทธิ์ใช้ชีวิตเพื่อรับงานแรงงานหรือใครควรถูกลงโทษด้วยการสังหารทันที แต่เขายังใช้โอกาสนี้ในการคัดเลือกนักโทษที่เหมาะสมสำหรับการทดลองทางการแพทย์อีกด้วยความตั้งใจและความอดทนในการดำเนินงานของเขาในค่ายมรณะ "เอาซ์วิตซ์" ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในสาขาการแพทย์และกลุ่มนักโทษที่ถูกนำมาใช้ในการวิจัยทางการแพทย์ เขาสร้างเสน่ห์ทางวิทยาศาสตร์และก้าวข้ามขีดจำกัดในการเข้าถึงความรู้ในด้านการแพทย์ของมนุษย์ด้วยความสามารถและความท้าทายในการทดลองของเขาในค่ายมรณะนั้น
กระทั่งมาถึงการทดลองเกี่ยวกับฝาแฝด อีวา โมเซส กอร์ และมีเรียม เหยื่อฝาแฝดของเมงเกล่า “พวกเขาเป็นฝาแฝดใช่ไหม?” นั่นคือสิ่งที่ผู้คุมค่ายกักกันถามผู้เป็นแม่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิตของอีวาไปตลอดกาล เพราะคนผู้นั้นได้แยกคู่ฝาแฝดออกจากผู้เป็นแม่ ซึ่งในตอนนั้นพวกเธอไม่มีทางรู้เลยว่านั่นจะเป็นการเจอหน้าของแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากที่อีวาและฝาแฝดถูกกักขังในคืนแรกในค่ายมรณะที่เต็มไปด้วยความสกปรกและความหวาดกลัว สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนในใจของพวกเขา ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็พบกับความเลวร้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่ในห้องที่พวกเขาถูกนำเข้ามา คือ "ศพ" ของเด็กหญิงจำนวน 3 ร่าง ที่ปรากฏด้วยดวงตาที่เบิกโพลง
ในนาทีนั้น อีวาสัญญากับตัวเองว่าเธอจะใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อรักษาชีวิตของเธอและฝาแฝดของเธอให้ปลอดภัย ไม่ว่าความทรงจำถึงคืนนั้นจะกลับมาทำให้เธอเข้าสู่ความหวาดกลัวอีกครั้ง เธอต้องการจะรอดตายและออกไปจากค่ายมรณะนี้อย่างไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
อีวาเล่าเรื่องเมื่อพวกเขาถูกกักขังเป็นชั่วโมง ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับการวัดขนาดของร่างกายของพวกเขาเองเพื่อเปรียบเทียบกัน นี่เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและท้าทายอย่างมากต่ออีวาและฝาแฝดของเธอทั้งคู่ ซึ่งทำให้เธอรู้ว่าความหวาดกลัวและความทุกข์ทรมานที่พวกเขากำลังพบเจอในค่ายมรณะนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีวันลืมและหยามเกียรติของเธอ
อีวาและฝาแฝดถูกมัดแขนและขาทั้งสองข้าง เพื่อเจาะเลือดและนำไปที่ห้อง Lab ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางทีก็เจาะเลือดของพวกเธอมากเกินไปจนเป็นลม เพียงเพราะต้องการทดลองว่าคนจะเสียเลือดได้มากแค่ไหน โดยทีไม่ตาย ซึ่งในตอนนั้นเธอไม่เคยรับรู้เลยว่าเธอถูกใช้เพื่อการทดลองยีน
วันหนึ่งหลังจากที่อีวาและฝาแฝดถูกฉีดยา เธอป่วยหนัก ซึ่งขณะนั้นเมงเกเล่พูดกับเธอว่า แย่จัง เธอยังเด็ก และเธอจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 2 อาทิตย์
อีวาเคยคิดว่าสิ่งที่เมงเกเล่พูดอาจจะถูกต้อง แต่เธอไม่ยอมที่จะตายเด็ดขาด หากเธอตายนั้นคือมีเรียมฝาแฝดของเธอจะต้องถูกฉีดยาให้ตายด้วยเพื่อผ่าร่างกายของพวกเธอทั้งคู่เปรียบเทียบกัน 2 สัปดาห์ให้หลัง อีวาอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย สิ่งที่เธอจำได้คือต้องคลานอยู่บนพื้น เพราะเธอไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว ซึ่งในระหว่างที่เธอคลาน สติของเธอก็เริ่มเลือนลาง ขณะนั้นเธอยังคงบอกกับตัวเองว่าเธอต้องรอด
ในปี ค.ศ. 1947 อีวาและคู่ฝาแฝดของเธอได้รับโชคดีที่สุดเมื่อถูกปล่อยตัวออกจากค่ายกักกันมรณะหลังจากเจอเหตุการณ์ที่แสนวิปริต การปล่อยตัวนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะอีวาและฝาแฝดของเธอเป็นเพียงหนึ่งในคู่ฝาแฝดมากกว่า 1,000 คู่ที่ได้รับการจับตามเป้าหมายของโครงการวิทยาศาสตร์และการทดลองของเมงเกเล่
การทดลองนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่การเจาะเลือดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเจาะน้ำไขสันหลังและการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะโดยไม่ใช้ยาชา หรือแม้กระทั่งการฉีดสารเคมีเพื่อเปลี่ยนสีตาให้เป็นสีฟ้าเพื่อทดลองให้เหยื่อกลายเป็นชาวอารยัน ผลจากการทดลองนี้ทำให้เหยื่อเสียสายตาชั่วคราวหรือถาวรได้
เหตุการณ์เหล่านี้ถูกบันทึกไว้และนำมาใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาและพัฒนาความรู้ทางพันธุกรรม การทดลองอย่างอันบิดเบี้ยวนี้นำไปสู่การเปรียบเทียบอวัยวะระหว่างสภาวะปกติและสภาวะผิดปกติ อย่างไรก็ตามในวงกว้างของสังคมแพทย์ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการทดลองของเมงเกเล่ถูกตัดสินให้เป็นอาชญากรรมและไม่ได้รับการยอมรับ เมื่อถึงตอนสุดท้ายนี้ การทดลองที่ทำโดยเขาถือว่าเป็นการทดลองที่ไม่มีประโยชน์อีกด้วย
และในครั้งหน้าเราจะมาดูจุดจบของโจเซฟ เมงเกเล่กันครับ