อาณาจักรโบราณ ปูรัง-กู่เก๋อ
อาณาจักรปูรัง-กูเก๋อ (ทิเบต: པུ་ཧྲངས་གུ་གེ་, ไวลี: pu hrangs gu ge; จีน: 普蘭-古格王國) เป็นอาณาจักรเล็กๆ บนเทือกเขาหิมาลัยตะวันตก ซึ่งก่อตั้งและเจริญรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 10 ทางตะวันตกของทิเบต
เมืองหลวงเดิมอยู่ที่ปูรัง (ทิเบต: སྤུ་ཧྲེང་, Wylie: spu hreng) แต่ถูกย้ายไปที่ โทรลิ่ง ในหุบเขา ซูเลจ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ภูเขาไกรลาส มันถูกแบ่งออกเป็นอาณาจักรเล็กๆ ประมาณปีคริสตศักราช 1100 โทรลิ่ง ที่ความสูง 12,400 ฟุต (3,800 ม.) เมืองสุดท้ายก่อนเมือง ซาปารัง ในอาณาจักร กูเก๋อ ในขณะนั้นเป็นเมืองหลวง (163 ไมล์จาก Darchen) ก่อตั้งโดยหลานชายของแลงดาร์มา ซึ่งถูกลอบสังหาร ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิทิเบต
ราชอาณาจักร ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของทิเบตตะวันตก เมืองหลวงแห่งแรกคือ ปูรัง และแห่งที่สองคือ ซาปารัง ซึ่งอยู่ห่างจาก โทรลิ่ง ไปทางตะวันตก 12 ไมล์ (19 กม.) ตามแนว ซูเลจ เมืองเก่า ซาปารัง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นซากปรักหักพัง คือ "เทพนิยายเกี่ยวกับถ้ำ ทางเดิน รวงผึ้งในสันเขาสูง ของแหล่งสะสมมหาสมุทรโบราณ" พระราชวังของกษัตริย์ ตั้งอยู่บนเนินเขาตอนบน มีห้องต่างๆ มากมาย ระเบียงและหน้าต่าง ที่มองออกไปเห็นหุบเขา
หลังจากการยึดอาณาจักรโดยลาดักห์ ในปี ค.ศ. 1630 อาคารส่วนใหญ่พังทลายลง ยกเว้นวัดบางแห่ง ที่ยังหลงเหลืออยู่บริเวณด้านล่างของสันเขา เช่นเดียวกับ โทรลิ่ง ผนังของพวกเขา เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ภาพหลัก ล้อมรอบด้วยสัตว์ในตำนาน และลายดอกไม้
อนุสาวรีย์ทางพุทธศาสนาที่ทั้ง ซาปารัง และโทรลิ่ง ปัจจุบันส่วนใหญ่ อยู่ในซากปรักหักพัง ยกเว้นรูปปั้นสองสามชิ้น และภาพจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมาก อยู่ในสภาพดี วาดในสไตล์ทิเบตตะวันตก
ในขณะที่แลงดาร์มา ข่มเหงพุทธศาสนาในทิเบต กษัตริย์เยเช-เออ ผู้สืบเชื้อสายของเขา ซึ่งปกครองอาณาจักรกูเก๋อ ในศตวรรษที่ 10 โดยมีโทรลิ่งเป็นเมืองหลวง มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการฟื้นฟูครั้งที่สอง หรือ "การเผยแพร่ครั้งที่สอง" ของพุทธศาสนาในทิเบต รัชสมัยของอาณาจักรกูเก๋อ เป็นที่รู้จักในเรื่องการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา มากกว่าการพิชิต เขาสร้างอารามโทรลิ่ง ในเมืองหลวงของเขา ในปีคริสตศักราช 997 พร้อมด้วยวัดอีกสองแห่ง ที่สร้างขึ้นในเวลาเดียวกัน อารามทาโบ ในหุบเขาสปิติ ของรัฐหิมาจัลประเทศ และอาราม โคชาร์ (ทางใต้ของ Purang); อารามทั้งสองนี้ใช้งานได้ดี
การเกิดขึ้นของอาณาจักร ปุรัง-กูเก๋อ ทำให้ตำแหน่งของทิเบตตะวันตก ในเอเชียกลางสูงขึ้น ก่อตั้งขึ้นในภูมิภาคปูรัง ทางใต้ของเทือกเขาไกรลาส (Wylie: แก๊ง rin po che) โดยทายาทของสถาบันกษัตริย์ทิเบตตอนกลาง ไคเด้ นีมากอง และทายาทของตระกูลขุนนางอื่น ๆ ผู้นำหน้า ปุรัง-กูเก๋อ คือ ชางชุง โดยอนุมานได้จากคำจารึกบางส่วน ที่ยังคงปรากฏอยู่ในอารามทาโบว่า ชื่อที่ไม่ใช่ของทิเบต ที่ถูกบันทึกไว้ในตอนแรก ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 10 ดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยชื่อทิเบต เมื่อภูมิภาคนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางศาสนาของทิเบต วัดไม้บางแห่งในภูมิภาค และวัดทุรกา (ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง) เป็นเครื่องยืนยัน ถึงแนวทางปฏิบัติแบบตันตระของลัทธิลัทธิ ซึ่งแพร่หลายในพื้นที่ ในสมัยก่อนๆ แต่ไม่พบเห็นในอนุสาวรีย์ ระหว่างรัชสมัยปุรังกูเก๋อ
หลังจากการปกครองของ ไคเด้ นีมากอง พระเจ้า เยเช่-เออ กษัตริย์และนักบวช ได้ปกครองภูมิภาคหิมาลัยตะวันตกทั้งหมด รวมถึงพื้นที่ตอนบนของลาดักห์ พร้อมกับน้องชายของเขา มั่นคง จนกระทั่งถูกแบ่งออก ประมาณปี ค.ศ. 1100 เยเช่ เออ ไม่เพียงแต่ก่อตั้งวัดเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้ขุนนางทิเบตสร้างวัดที่อยู่บริเวณนั้นด้วย นอกจากนี้ เขายังลดรูปแบบการปฏิบัติแทนตริกที่ลึกลับ (ส่วนใหญ่โดยกลุ่มที่ไม่ได้จัดตั้งขึ้น) ซึ่งแพร่หลายในทิเบตในขณะนั้น และช่วยเสริมสร้างความศรัทธาทางพุทธศาสนาในทิเบต ผลงานศิลปะจำนวนมาก ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ เป็นของสะสมของ นาการาจา (หนึ่งในบุตรชายสองคนของเยช่ เออ) อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมของ รินเชน ซังโป (ค.ศ. 958-1055) ในการแปลงานภาษาสันสกฤต และต่อการสร้างวัดในช่วงเวลานี้ ซึ่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ของหลักคำสอนของพุทธศาสนาในทิเบต ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่
ในประวัติศาสตร์อีกฉบับหนึ่ง ว่ากันว่า แลงดาร์มาประสบปัญหาภายนอก ชาวอุยกูร์คากาเนททางเหนือ พังทลายลง ภายใต้แรงกดดันจากชาวคีร์กีซ ในปี 840 และผู้พลัดถิ่นจำนวนมากหนีไปทิเบต
เนื่องจากการแข่งขันและความปั่นป่วน หลังจากการสิ้นพระชนม์ของแลงดาร์มา จึงเกิดความขัดแย้งร้ายแรง ระหว่างกลุ่มคู่แข่งที่อ้างอำนาจ ส่งผลให้จักรวรรดิทิเบตล่มสลาย ช่วงเวลานี้ เป็นที่รู้จักตามประเพณีในชื่อ ยุคแห่งการแตกแยก ซึ่งถูกครอบงำ โดยการกบฎต่อจักรวรรดิทิเบต ที่หลงเหลืออยู่ และการเพิ่มขึ้นของขุนศึก ในภูมิภาคตามมา
เนื่องจากผู้อ้างสิทธิ์ในราชวงศ์ยังเป็นผู้เยาว์ ปัญหาจึงไม่บานปลาย และรักษาสภาพที่เป็นอยู่ไว้จนกระทั่งสงครามกลางเมืองปะทุขึ้น ในปี 866 ในบางเรื่องว่ากันว่า ซาปารัง ถูกทำให้เป็นเมืองหลวงของกูเก๋อโดยนัมเด เออซุง (ไวลี: gnam lde 'od srung) หนึ่งในบุตรชายของ แลงดาร์มา บันทึกอื่นบางเรื่องกล่าวถึงว่า หลานชายสองคนของแลงดาร์มา หนีไปทิเบตตะวันตก ราวปี ค.ศ. 919 หลานชายคนโตคือไคเด นีมิกอน (ไวลี: skyid lde nyi ma mgon) สถาปนาตัวเองที่ปูรัง และพิชิตพื้นที่ขนาดใหญ่รวมทั้งมะยุล (ลาดัคห์) และบางส่วนของ หุบเขาสปิติ หลังจากการสิ้นพระชนม์ อาณาจักรของเขา ถูกแบ่งระหว่างบุตรชายทั้งสามของเขา ออกเป็นอาณาจักรมะยอล กูเก๋อ-ปุรัง และซันสการ์
อย่างไรก็ตาม ในทิเบตตอนกลาง ลูกหลานของราชวงศ์ กลายเป็นหัวหน้าท้องถิ่น โดยแต่ละคน มีพื้นที่เล็กกว่า อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
จากหลักฐานในประวัติศาสตร์ ของอาณาจักรทูโบ (ทิเบตโบราณ) ซึ่งค้นพบในตุนหวง (Dunhuang) ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 นั้น ทิเบตโบราณ แยกกันอยู่เป็นอิสระ มิได้รวมเป็นอาณาจักรเดียว แต่แบ่งเป็น 40 ชนเผ่า ซึ่งต่อมา เกิดการรวมกลุ่มกันเหลือ 12 อาณาจักร ในยุค 12 อาณาจักรนั้น พื้นที่บริเวณอาณาจักรกู่เก๋อนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรชางชุง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ บริเวณอาณาจักรกู่เก๋อ ไปจนถึงลาดักห์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอินเดีย
ซึ่งในสมัยนั้นถือว่า เป็นศูนย์กลางของทิเบต ในขณะที่ดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร หรือทิเบตกลาง เป็นดินแดนไกลปืนเที่ยง และดินแดนคาม-อัมโดะนั้น เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านของทิเบต อาณาจักรแห่งนี้เรียกได้ว่า เป็นอาณาจักรแห่งลัทธิบอน เนื่องจากลัทธิบอนนี้ มีต้นกำเนิดมาจากเขาไกรลาส จนในศตวรรษที่ 7 พระเจ้าซองเซ็นกัมโป รวบรวมดินแดนทิเบตอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ พระองค์ ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนา จนได้ฝังรากลึก ในดินแดนที่ราบสูงแห่งนี้
อาณาจักรชางชุงและลัทธิบอน จึงเสื่อมอำนาจลง และกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของอาณาจักรทูโบอันเกรียงไกร หลังจากเกิดการลอบปลงพระชนม์ พระเจ้าลางทรมา ในปีค.ศ. 842 ระบอบกษัตริย์ในอาณาจักรทูโบ จึงได้ล่มสลายลง เพราะเกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ ระหว่างโอรสสององค์ ในที่สุด ฝ่ายของพระเจ้านัมเดโอซุงนั้น ก็ได้ปกครองดินแดนแถบลาซา ส่วนพระเจ้าตริเดยุมเท็นนั้น ไปปกครองดินแดนแถบยาร์ลุง
ต่อมา ในปี ค.ศ. 905 พระเจ้านัมเดโอซุง ถูกลอบวางยาพิษ พระราชโอรสนามว่า พระเจ้าเพลกอร์เซ็น หลบหนีไปอยู่ในเขตเมืองชิกัทเซ่ แต่ในปีค.ศ. 923 พระเจ้าเพลกอร์เซ็น ก็ถูกปฏิวัติโดยทหาร และถูกปลงพระชนม์ พระราชโอรสองค์โต หลบหนีไปตั้งดินแดนใหม่ แถบเมืองเจียนเซ่ ส่วนพระราชโอรสองค์เล็ก พระเจ้ากยีเดนีมากอน หลบหนีไปในดินแดนทางตอนเหนือ ของทิเบตตะวันตกอันห่างไกล แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ ภายหลัง จึงได้แบ่งอาณาจักรออกเป็นสามเมือง ให้ราชโอรส 3 องค์แยกกันปกครอง แต่ละองค์สถาปนาอาณาจักรใหม่ ได้แก่ อาณาจักรมาร์ยุล หรือ ลาดักห์ อาณาจักรกู่เก๋อ และ อาณาจักรซันสการ์ (บางตำราก็ว่าซานสการ์ และรูต๊อกนั้นอยู่ในอาณาจักรมาร์ยุล ส่วนกู่เก๋อและพูรังนั้น แยกกันเป็นคนละอาณาจักร) โดยองค์ที่สถาปนาอาณาจักรกู่เก๋อ คืดพระเจ้าทาชิกอน
ปี ค.ศ. 1037 อาณาจักรกู่เก๋อถูกพวกเติร์กรุกราน และสังหารกษัตริย์ของกู่เก๋อสิ้นพระชนม์ หลังจากนั้นมา ก็เกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ จนถึงปีค.ศ. 1088 เชื้อพระวงศ์องค์หนึ่ง จึงแยกตัวออกไปยึดอำนาจ และสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ของพูรัง ทำให้อาณาจักรกู่เก๋อ และอาณาจักรพูรัง แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ต่อมา อาณาจักรเหล่านี้ ก็จมอยู่ในสงคราม ทั้งสงครามแย่งชิงอำนาจกันเอง และสงครามจากการรุกรานของเติร์ก
ในปีค.ศ. 1240 อาณาจักรกู่เก๋อ ก็ตกอยู่ในการปกครองของทิเบตกลาง ภายใต้นิกายศากยะ ด้วยการช่วยเหลือของมองโกล ปีค.ศ. 1363 มองโกลเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรกู่เก๋อจึงเข้มแข็งขึ้น จนสามารถแย่งชิงอาณาจักรพูรัง กลับคืนมาจากพวกมัสแตง (ปัจจุบันอยู่ในเนปาล) ในปี ค.ศ. 1378 อีกทั้งยังสามารถยึดอาณาจักรลาดักห์ได้ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 15-16 พุทธศาสนาในทิเบตกลาง หรือเขตเวจี-จ้าง เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด โดยเฉพาะนิกายเกลุก กู่เก๋อ ก็ตกอยู่ใต้การปกครองของนิกายเกลุก จนถึงปีค.ศ. 1624 ซึ่งเป็นการเข้ามาถึงของศาสนาคริสต์ โดยมิชชันนารีชาวโปรตุเกส ได้เดินทางจากรัฐกัวในอินเดีย เข้ามายังอาณาจักรกู่เก๋อ
เนื่องจากกษัตริย์ ที่ปกครองกู่เก๋อในขณะนั้น ไม่ถูกกับผู้นำทางศาสนาและพระอนุชา พระองค์จึงยินยอมให้สร้างโบสถ์ และเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เพื่อค้านอำนาจของผู้นำศาสนาพุทธ จนลามะทนไม่ไหว จึงก่อกบฏ เกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้น พระอนุชา จึงถือโอกาสที่กู่เก๋อ กำลังวุ่ยวายจากสงครามกลางเมืองชักนำกองทัพลาดักห์ ซึ่ง ณ เวลานั้น เป็นพวกมุสลิม เข้ามาโจมตีกู่เก๋อ เพื่อที่จะครอบครองราชบัลลังก์แทน ในมี่สุดกองทัพลาดักห์ ก็สามารถยึดกู่เก๋อ และล้มล้างราชวงศ์กู่เก๋อราบคาบ ในปี ค.ศ. 1682 จากนั้นเป็นต้นมา จนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กู่เก๋อ ก็กลายเป็นอาณาจักรร้าง
ที่มา: wikimapia