อาณานิคมผึ้งล่มสลาย เป็นวันที่ไม่มีโลกต่อไป
หากโลกของเหล่าผึ้งล่มสลายลง สิ่งที่ตามมาคือโลกของเราและผู้คนจะอยู่ได้อีกเพียง 4 ปีนี้เป็นคำพูดของสุดยอดอัจฉริยะ อัลเบิร์ตไอน์สไตน์
อย่างที่เราเคยเรียนกันมาว่าหน้าที่ของผึ้งคือผสมเกสรเพื่อขยายพันธุ์พืช เพราะเป็นนักผสมเกสรมือฉกาจจึงทำให้การมีอยู่ของบรรดาผึ้งสำคัญต่อเกษตรกรรวมไปถึงปากท้องของผู้คน จนสามารถพูดได้ว่าคุณภาพโภชนาการที่ดีที่ผึ้งได้รับคือคุณภาพอาหารที่ดีของเราอีกด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ได้มีข่าวเกี่ยวกับผึ้ง สิ่งที่ข่าวรายงานนั้นคือบรรดาผึ้งผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องอยู่แบบอดๆ อยากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแหล่งอาหารอย่างดอกไม้ค่อยๆ หายไปจากธรรมชาติ ทำให้ผึ้งต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำหวานในเกสรดอกไม้ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต เรื่องน่าตกใจอีกอย่างคือผึ้งที่ล้มตายไม่ได้ทิ้งร่างไว้บริเวณรอบๆ รัง ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วผึ้งที่ตายหายไปไหน แม้จะยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน แต่ก็มีการคาดเดาว่าอาจเกิดจากมลพิษทางอากาศที่ทำให้ความแรงของเคมีจากดอกไม้ลดลงจนผึ้งค้นหาลำบาก รวมถึงความสามารถในการรับรู้และจดจำเส้นทางของผึ้งลดลงซึ่งเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากสารเคมีในยาฆ่าแมลงที่เข้าไปรบกวนสมองของผึ้งส่งผลให้การรับรู้กลิ่นดอกไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารลดลงจนไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้และตายในที่สุด
จริงๆแล้วผึ้งไม่ได้ตั้งใจผสมเกสรเพื่อสร้างอาหารให้กับเรา เพียงแต่ผึ้งต้องการพลังงานจากน้ำหวานเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ถึงอย่างนั้นผึ้งก็ยังถือเป็นแมลงที่สร้างคุณูปการให้แก่โลก ผู้เชี่ยวชาญนิยามภาวะของประชากรผึ้งที่หายไปอย่างรวดเร็วว่า “การล่มสลายอย่างผิดปกติของอาณานิคมผึ้ง” ไม่ใช่แค่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแต่ยังคงทิ้งปริศนาของการตายเอาไว้ เมื่อจำนวนผึ้งลดลงผลผลิตที่ถูกนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ก็น้อยลงด้วยเช่นกัน เพราะผึ้งเป็นแมลงที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการผสมเกสร สามารถแพร่กระจายเกสรได้ในวงกว้างอย่างแข็งแกร่งแบบที่ผีเสื้อและแมลงชนิดอื่นๆ ทำไม่ได้ ส่งผลให้พืชไม่เติบโตตามกลไกธรรมชาติ ราคาอาหารจึงเพิ่มขึ้น ที่เห็นง่ายๆ เลยคือน้ำผึ้งในสหรัฐอเมริกามีราคาแพงกว่าเดิมหลายเท่า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีทำไร่ของเกษตรกรหลายรูปแบบ เกษตรกรบางกลุ่มเลิกปลูกพืชคลุมหน้าดินซึ่งเป็นปุ๋ยธรรมชาติที่เพิ่มไนโตรเจนให้กับดิน พืชคลุมหน้าดินรวมถึงวัชพืชอย่างพืชดอกเป็นแหล่งอาหารสำหรับผึ้ง และเมื่อเกษตรกรหันมาปลูกพืชชนิดเดียว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มากขึ้นเรื่อยๆ แหล่งอาหารของผึ้งก็ลดตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่ผึ้งได้รับโปรตีนและพลังงานจากเกสรรวมถึงน้ำหวานดอกไม้ แต่ในปัจจุบันดอกไม้เองก็เต็มไปด้วยสารพิษที่ตกค้างจากการทำเกษตรกรรม แม้แต่เมล็ดพืชก็ถูกเคลือบด้วยยาฆ่าแมลง หากผึ้งได้รับในปริมาณมากจะทำให้ชักกระตุกและตายไป
ปรสิตในตัวผึ้งก็นับว่ามีส่วนสำคัญในการคร่าชีวิตประชากรผึ้ง Varroa คือไรชนิดหนึ่ง เป็นนักฆ่าแสนอันตรายสำหรับผึ้ง ไรชนิดนี้จะแฝงตัวดูดเลือดและปล่อยไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดอาการติดเชื้อในผึ้ง เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจึงส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอย่างเช่น ไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน นอกจากปรสิตที่เข้ามารุกรานทำลายฝูงผึ้งทั่วโลกแล้วแหล่งอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีก็เช่นกัน สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและยุโรป (EFSA) ระบุว่าการตายของพืชจำนวนมากในยุโรปมีสาเหตุมาจากปุ๋ย Neonicotinoids รัฐสภายุโรปจึงเสนอให้ลดใช้ยาฆ่าแมลง โดยปกติแล้วผึ้งมีระบบคัดแยกตัวที่ป่วยออกจากรัง ทำให้ผึ้งทั้งฝูงมีสุขภาพดี ผึ้งงานจะบินไปยังพืชและขูดยางไม้ที่เราเรียกว่าพรอพอลิส (Propolis) ออกจากใบแล้วนำกลับไปที่รัง พรอพอลิสเป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติ ที่สามารถฆ่าแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อโรคอื่นๆ ภายในรัง แต่ปัจจุบันยาฆ่าเชื้อเหล่านี้กลับกลายเป็นยาพิษสำหรับผึ้งเพราะสารเคมีกำจัดแมลงที่ตกค้างอยู่ในพืช
ลองคิดดูกันนะครับว่าหากผึ้งหายไปจากโลกนี้ ประชากรมนุษย์เองก็ไม่อาจดำรงเผ่าพันธุ์ได้ เพราะแหล่งต้นทางอาหารที่ค่อยๆ หายไป ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าไม่มีอะไรสายเกินแก้ อาจจะยากสักหน่อยแต่อย่างน้อยความเป็นไปได้ก็ไม่เท่ากับศูนย์ คงจะดีไม่น้อยถ้าเราหันมาทำการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี รักษาความสมดุลทางธรรมชาติ อาจช่วยยืดอายุทั้งผึ้งและผู้คน รวมถึงส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับลูกหลานในอนาคต
ทุกมีความคิดเห็นอย่างไรคอมเม้นท์ได้นะครับ