รีวิวหนังสือ สิ่งที่ใช่จะมาในเวลาที่เหมาะสม
"สิ่งที่ใช่จะมาในเวลาที่เหมาะสม" วลีนี้น่าจะเป็นคุ้นเคยของใครหลายคน เพราะให้ความรู้สึกกับเราในแง่บวก ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะทุกคนต่างก็พยายามพัฒนาตัวเองโดยหวังจะเห็นความก้าวหน้าในชีวิตกันทั้งนั้น หากชีวิตยังมีอะไรที่ยังไปไม่ถึงเป้า ก็แสดงว่าสิ่งนั้นยังไม่ถึงเวลาสำหรับเรา
หมอจริง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจาก The Queen's Medical Center สหรัฐอเมริกา ได้ทำการรวมบทความจากเพจและ Youtube : หมอจริง DR JING โดยนำงานวิจัยมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆผ่านหนังสือเล่มนี้ โดยสำนักพิมพ์ DOT
ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองครีเอเตอร์
- ได้เรียนรู้ว่าคำว่าคิดบวก คือการมองเห็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น แม้อยู่ในเหตุการณ์ที่อาจไม่ค่อยดีนัก คนคิดบวกมักเป็นคนที่อารมณ์ดี ปรับตัวได้ดี ไม่เศร้า สุขภาพดี และมีอายุยืนยาว ต่างกันกับโลกสวย นิยามของโลกสวยคือ การมองเห็นแต่ด้านดี โดยพยายามไม่มองข้อเสียเลย เราจึงเห็นว่าคนโลกสวยมักเป็นคนที่เชื่อคนง่ายอาจถึงขั้นโดนหลอก
- ได้เรียนรู้ว่าความเครียด ความกดดัน ถ้ามีแต่พอดีเราเรียกว่า Healthy Stress เพราะมันช่วยกระตุ้นให้เราอ่านหนังสือสอบหรือทำงานส่งตามกำหนด แต่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เสียสุขภาพทั้งกายและใจ ทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหรือไม่มีสมาธิในการทำงาน
- ได้เรียนรู้ว่าในสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจ จงทำในสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายในสถานการณ์ที่ทำให้เรากังวล อะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตที่เราจะรู้ผลเมื่อเวลามาถึง
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าเริ่มถามตัวเองว่าเขาคือคนที่ใช่ไหม คำตอบคือเขาอาจจะใช่หรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่ใช่ อาจถึงเวลาที่เราต้องปล่อยเขาไป เพราะถ้าเขาคือคนที่ใช่ เราจะเจอคนที่ทำให้รู้สึกว่าคนที่ใช่....จะไม่ยาก
- ได้เรียนรู้ว่าการเมตตาตัวเองคือการมองเห็นว่าตัวเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราไม่ต้องสมบูรณ์แบบก็ได้ เพราะคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทำถูกใจตัวเองไปได้ทุกอย่าง เราให้อภัยตัวเองได้ ชื่นชมตัวเองบ้างก็ได้ โดยไม่ต้องทุบตีตัวเองตลอดเวลา
- ได้เรียนรู้ว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครทำอะไร ใครมีอะไรครอบครอง แต่อยู่ที่ว่าเราทำอะไร แล้วเราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่มั้ย แต่ละคนมีทางของตัวเอง อย่าวิ่งตามใคร ความสุขของเขาอาจไม่ใช่ความสุขของเรา อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่ละคนมีชีวิตที่ต่างกัน มันจะมีคนที่ดีกว่าเราในแต่ละด้านเสมอ
- ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องใหญ่ในวัยเด็กอาจกลายเป็นเรื่องเล็กในวัยผู้ใหญ่ หากใครกำลังเจอเรื่องเครียดในตอนนี้ อาจลองถามตัวเองดูว่าถ้าเราอายุมากขึ้นอีก 10 ปี เราจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เราอาจพบว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อย่างที่เราคิดอยู่ตอนนี้ก็ได้
- ได้เรียนรู้ว่าสิ่งสำคัญของการให้อภัยคือเราต้องเป็นเจ้าของอารมณ์ของเราเอง เหตุการณ์ในอดีตจบไปแล้ว แต่เรายังได้รับผลกระทบจากการกระทำของเขาอยู่ เขาไม่ได้อยู่ทำร้ายเราแล้ว แต่การฉายภาพในอดีตต่างหากที่ยังทำร้ายเราอยู่
- ได้เรียนรู้ว่าการให้อภัยไม่ได้แปลว่าเรายอมรับสิ่งที่เขาทำ แต่เป็นการปลดปล่อยใจเราออกจากความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ในสิ่งที่เขาทำ คนที่ได้ประโยชน์คนแรกจากการให้อภัยคือตัวเราเอง เหมือนคำคมที่เคยกล่าวไว้ว่าเราไม่ได้ให้อภัยเพื่อคนอื่น แต่เราให้อภัยเพื่อตัวเองได้รู้สึกดีขึ้นและก้าวเดินไป
- ได้เรียนรู้ว่าอย่าลืม...เรามีค่าได้โดยไม่ต้องมีคู่ หากเราเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกไว้กับอีกคนหนึ่ง เวลาที่คนคนนั้นทิ้งเราไป เราจะรู้สึกไร้ค่าทันที ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เราต้องร้องขอจากคนอื่นหรือวัดจากทรัพย์สินที่เรามี เพราะเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง
- ได้เรียนรู้ว่าหากไม่พร้อมจะบอกปฏิเสธอาจใช้คำว่าขอคิดดูก่อน โดยไม่ต้องบอกเหตุผลก็ได้เราเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องตอบตกลงทุกอย่าง และคนที่ปฏิเสธคนอื่นไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนใจร้ายเสมอไป ไม่อย่างนั้นอาจเจอสถานการณ์ทำนองเอ็นดูเขา...เอ็นเราขาด เราไม่สามารถรับผิดชอบความรู้สึกของคนอื่นได้ เรามีหน้าที่รับผิดชอบความรู้สึกของเรา คนอื่นก็เช่นกัน
- ได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าตอนนี้เราจะอยู่ในวัยไหน จงใช้ช่วงเวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเมื่อเวลาผ่านไปจะไม่มีวัยไหนที่เราย้อนกลับมาใช้ได้อีกเลย
- ได้เรียนรู้ว่าการใช้คำถามปลายเปิด เช่น เธอคิดว่าอะไรทำให้เกิดเหตุกาณ์แบบนี้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี อาจช่วยให้ผู้ที่ถามเราได้ฉุกคิดถึงด้านอื่นและเห็นวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเขาเอง ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่าเรื่องราวแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลของเราอาจไม่ได้ผลกับเขาก็ได้
- ได้เรียนรู้ว่าคนที่มองแต่ด้านลบในเหตุการณ์หนึ่งมีแนวโน้มหงุดหงิดง่าย เพราะมองไม่เห็นด้านดีในเหตุการณ์นั้น อันที่จริงไม่เป็นไรเลยที่เราจะมีความรู้สึก จะมีอารมณ์ต่างๆ เราไม่ต้องปฏิเสธอารมณ์ แค่จัดการกับมันอย่างเหมาะสมก็พอ
ครีเอเตอร์มองว่าหนังสือเล่มนี้ได้ให้แรงบันดาลใจ กำลังใจและความหวังในการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ท่ามกลางการแข่งขันในสังคมที่ดุเดือด การปลอบประโลมหรือให้กำลังใจเป็นสิ่งที่ขาดแคลนกับคนที่พยายามอย่างหนัก เพราะคนเราไม่ค่อยให้ค่ากับความพยายามที่ล้มเหลว แต่จะให้ค่ากับความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงมากกว่า โดยมองว่าความพยายามที่ล้มเหลวนั้นเป็นความพยายามที่ไม่ชาญฉลาด
แต่ความเป็นจริงชีวิตคนเรามีเหตุปัจจัยมาประกอบหลากหลาย จึงไม่สำคัญเลยว่าคนพยายามที่ล้มเหลวจะต้องล้มเหลวอย่างนั้นไปตลอด ดังนั้น กำลังใจที่ให้เหตุผลอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเลยทีเดียว นี่คือเหตุผลที่หนังสือหมวดบทความเป็นที่นิยมมากขึ้นตามชั้นวางร้านหนังสือในปัจจุบัน