ตำนาน “กำเนิดข้าว” ในนิทานพื้นบ้านอินโดเซีย พืชสวรรค์โผล่เหนือหลุมศพเทพธิดา
ครั้งหนึ่ง ปัตหราคุรุ จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ เหนือเทพเจ้าทั้งหลาย กำลังสร้างวิมานของพระองค์ขึ้นใหม่ จึงมีเทวบัญชา ให้ทวยเทพเจ้าบนสวรรค์ นำหินก้อนใหญ่ ๆ มาองค์ละก้อน สำหรับจะสร้างรากฐานของวิมาน เทพทุกองค์รับว่า จะปฏิบัติตามเทวโองการ ยกเว้นเทพงูองค์เดียว
เมื่อเทพ ซึ่งเป็นสื่อข่าวมาหา เทพงูก็โคลงศีรษะอย่างเศร้าสร้อยและกล่าวว่า “ท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าไม่แขนไม่มีขา ข้าพเจ้าจะขนหินได้อย่างไร” ขณะที่พูด น้ำตา 3 หยดใหญ่ ๆ ก็ไหลลงมาที่แก้ม เมื่อหยดน้ำตานั้นตกถึงพื้น ก็กลายเป็นไข่สีขาวจำนวน 3 ฟอง เทพซึ่งเป็นผู้สื่อข่าว ก็บอกกับเทพงูว่า “นำไข่ 3 ฟองนี้ ไปถวายพระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วทูลให้ทรงทราบอย่างถี่ถ้วน ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดังนั้น เทพงู จึงอมไข่ไว้ในปากอย่างระมัดระวัง ออกเดินทางไปยังวิมานพระผู้เป็นเจ้า ระหว่างทางก็พบกับนกอินทรีใหญ่ นกอินทรีถามว่า “จะไปไหน…เทพงู” เทพงูตอบไม่ได้ เพราะอมไข่ไว้ในปาก
นกอินทรีใหญ่ถามซ้ำถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็โกรธมาก ตรงเข้าจิกศีรษะเทพงู เทพงูเจ็บมากร้องลั่นถึง 2 ครั้ง เมื่ออ้าปากร้องแต่ละครั้ง ไข่ก็หล่นลงมาทีละฟอง เมื่อไข่กระทบพื้นก็แตกออก มีลูกหมูออกมาฟองละตัว แม่วัวตัวหนึ่ง รับเอาไปเป็นลูกบุญธรรม และเลี้ยงดูมาด้วยกันกับลูกตน ลูกของแม่วัวนั้นชื่อ “เลมบูกูมารัง” ลูกวัวตัวนี้เป็นตัวผู้ เมื่อโตขึ้นเป็นวัวที่ชั่วร้าย มีฤทธิ์อำนาจมาก เป็นศัตรูอันร้ายกาจ แก่เทพเจ้าและมนุษย์
เทพงูเสียใจ ที่เสียไข่ไป 2 ฟอง แต่เคราะห์ยังดี ที่อมไว้ได้อีก 1 ฟอง จึงนำไข่ฟองสุดท้ายนั้น ไปถวายพระผู้เป็นเจ้า แล้วทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้น พระเป็นเจ้า ตรัสสั่งให้ดูแลไข่ฟองนั้น จนกระทั่งฟักเป็นตัวเสียก่อนแล้วจึงนำมาถวาย ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตาม ที่ออกมาจากไข่ฟองนั้น
เทพงูนำไข่ฟองนั้น กลับไปยังที่อยู่ และระวังรักษาเป็นอย่างดี ในที่สุด ตอนปลาย ๆ เดือนนั้นเอง ไข่นั้นก็เกิดแตกออก เป็นเด็กหญิงสวยงามคนหนึ่ง เทพงู รีบพาไปเฝ้าพระเป็นเจ้า พระองค์ก็ทรงรับไว้เป็นธิดาของพระองค์ ประทานชื่อว่า “เทวีศรี”
เทวีศรี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเจ้าหญิงในพระราชวัง ได้รับความรักและความทะนุถนอม อย่างที่ธิดาของพระผู้เป็นเจ้าควรจะได้รับ
เวลาผ่านไปหลายปี เทวีศรีก็เจริญวัยขึ้น เป็นหญิงสาวที่น่ารัก เธอนุ่มนวล อ่อนโยน มีจิตใจเมตากรุณา สมกับเป็นสาวงาม ใคร ๆ ที่รู้จักเธอ ก็รักเธอกันทั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าเอง ก็แสดงความรักต่อเธออย่างยิ่งยวด ประเพณีมีอยู่ว่า พ่อจะแต่งงานกับลูกสาวของตนเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเธอเป็นเพียงธิดาบุญธรรมก็ตาม
เทพทั้งหลายกลัวว่า ถ้าพระเป็นเจ้าละเมิดประเพณีนี้ อาณาจักรจะพังพินาศ ดังนั้น จึงลอบมาประชุมกันลับ ๆ แล้วลงความเห็นว่า ต้องฆ่าเทวีศรีเสีย การตัดสินใจอย่างนี้ ทำให้เทพทุกองค์เศร้าสร้อยมาก แต่คิดเสียว่า เป็นวิธีเดียว ที่จะรักษาอาณาจักรให้พ้นภัย
ดังนั้น เทพจึงเอายาพิษ ใส่ลงไปในผลไม้ ซึ่งนางเทวีศรีโปรดมาก แล้วนำไปให้เธอ พอเธอกินผลไม้นั้น ไม่ทันไรก็ล้มป่วย อ่อนเพลียลงทุกวัน ๆ และในที่สุดก็ตายลง ดูประดุจก้านอันบอบบางของดอกไม้แรกแย้ม ที่ค่อย ๆ เหี่ยวเฉาทีละน้อย แล้วก็ร่วงลงพื้นดิน
ศพของเทวีศรี มีพิธีกรรมอันมโหฬาร ฝังไว้ที่ข้างพระเจดีย์ยอดสามชั้น มีเทวดาอยู่เฝ้าหลุมศพ 1 องค์ คอยรดน้ำทุกวัน เพื่อให้เกิดดอกไม้งอกงาม รอบหลุมศพ ไม่ช้าก็ปรากฏว่า มีพืชประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนเลย งอกขึ้นมาที่หลุมศพ พืชนี้ เป็นพันธุ์ไม้สวรรค์ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ข้าว มันเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และออกรวงหลายรวง เมื่อถึงเวลา ก็กลายเป็นสีเหลือง และมีเมล็ดข้าวมากมาย
เมื่อพระเป็นเจ้า ทอดพระเนตรเห็นสิ่งอัศจรรย์นี้ ก็ตรัสกับเทพบริวาร ให้นำเมล็ดข้าว ลงมายังโลกมนุษย์ ไปประทานแก่พระราชา ผู้ครองอาณาจักปชาจรัน โดยมีเทวบัญชาว่า
“จงบอกกับพระราชาว่า เมล็ดพืชเหล่านี้ เป็นของขวัญจากเรา ขอให้ประชาชนของพระราชาปลูกพืชนี้ และระวังรักษาให้จงดี แล้วต่อไป จะไม่มีใครหิวโหยอีกเลย เพราะข้าวนี้ เป็นอาหารสำหรับชีวิต”
พระราชาแห่งปชาจรัน มีความสุขมาก ที่ได้รับของขวัญอันพิเศษจากสวรรค์ พระองค์ทรงแจกจ่ายเมล็ดข้าวแก่ประชาชน เทพบริวารที่ลงมาจากสวรรค์ ก็สอนประชาชน ให้หว่านข้าวนั้นในทุ่งนา และบนเนินเขา ซึ่งตกแต่งไว้เป็นขั้น ๆ สอนให้เกี่ยวข้าว นวดข้าว
ยังมีเทพธิดาบนสรวงสวรรค์องค์หนึ่ง ลงมายังโลกมนุษย์ สอนให้หญิงสาวทุกคน รู้จักหุงข้าว และใช้ข้าว ทำอาหารอร่อย ๆ อย่างอื่น อีกมากมายหลายวิธี หลังจากนั้น ประชาชนชาวปชาจรัน ก็ไม่ขาดแคลนอาหารอีกต่อไป ต่างอยู่อย่างสงบ และเป็นสุขสบายมาหลายปี
แต่วันหนึ่ง มีพ่อค้าชั่วคนหนึ่งจากเมืองอื่น มาค้าขายที่เมืองปชาจรัน ได้เห็นข้าว และได้ชิมข้าวอันแสนวิเศษนี้เข้า ก็อยากจะซื้อเอาไปให้หมด แต่พระราชาไม่ทรงอนุญาต รับสั่งว่า “ข้าวนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่ของของเรา เป็นของเทวดาท่าน เพราะมาจากหลุมพระศพพระเทวีศรี ดังนั้น เราจึงขายให้ท่านไม่ได้”
คำตอบนี้ ทำให้พ่อค้านั้นโกรธมาก เขาจึงไปยังถ้ำของวัว เลมบูกูมารัง วัวชั่วร้าย มีฤทธิ์เดชเวทมนตร์มาก พ่อค้าไปขอให้ทำลายข้าว ในอาณาจักรปชาจรันให้หมด เลมบูกูมารัง ก็ลงมือทันที มันเป่ามนตร์ให้เกิดพายุใหญ่ ทำลายต้นข้าว ให้หักพังยับเยิน ลงดับพื้นดิน
เมื่อพระเป็นเจ้าเห็นเช่นนั้น ก็ส่งเทวดาหนุ่มองค์หนึ่ง ชื่อพระสุลันจนะ ให้มาช่วยรักษาต้นข้าวไว้ พระสุลันจนะ เป่ามนตร์ให้พายุนั้นสลายไป แล้วช่วยพยุงต้นข้าวอ่อน ๆ ให้ตั้งต้นขึ้นได้อีก แล้วเลมบูกูมารังก็เรียกน้องชาย ซึ่งแม่เลี้ยงไว้ ให้มาช่วยกันทำลายต้นข้าว น้องทั้งสอง ก็คือลูกหมูสองตัว ตอนนี้เติบโตเป็นหมูใหญ่ที่ดุร้าย มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ร้ายแรง ระหว่างสัตว์กับพระสุลันจนะ
พวกสัตว์ ป่าวร้องให้หมูป่าหลายร้อยตัว มาเหยียบย่ำต้นข้าว แต่พระสุลันจนะ ก็ทำให้เกิดหมอกหนาทึบไปหมด จนพวกหมูหลงทาง แล้วส่งหนูนับพัน มากัดกินต้นข้าว เทวดาโปรยยาพิษไปตามทางเดินของพวกหนู หนูก็ล้มลงตายหมด พี่น้องผู้ชั่วร้าย จึงเรียกนกนับล้าน มาจิกเมล็ดข้าว แต่เทวดา ก็เป่ามนตร์ขับไล่นกให้ตื่นกลัว หนีไปหมด
ในที่สุด วัวชั่วตัวนั้น ก็เรียกสัตว์ร้ายในป่าออกมาให้หมด สั่งให้ทำลายเมืองทุกเมือง หมู่บ้านทุกแห่งในอาณาจักรนั้น ประชาชนทั้งหมด แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็มาช่วยพระสุลันจนะ พระสุลันจนะ สั่งให้ขุดหลุม วางกับดักสัตว์ และผูกตาข่ายไว้ตามยอดไม้
ทันใดนั้น กองทัพสัตว์ป่า นำโดยเลมบูกูมารัง ก็วิ่งเผ่นโผนออกมาจากป่า หักโค่นต้นไม้มาตลอดทาง แต่ตกลงไปติดกับในหลุมพราง และติดอยู่ในตาข่ายมากมาย
เลมบูกูมารัง เห็นกองทัพของมันเสียที แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ มันร้องท้าเทพองค์นั้นว่า “พระสุลันจนะ อย่าเพิ่งคิดว่าเราแพ้นะ เราขอท้าให้ท่าน ออกมาสู้กับเรา แล้วดูซิว่า ใครจะแข็งแรงกว่ากัน”
เทพหนุ่ม ออกไปเผชิญหน้า กับคำท้ายทายอย่างองอาจกล้าหาญ ยืนเท้าสะเอว คอยทีให้วัวชั่วร้ายนั้น จู่โจมเข้ามา เลมบูกูมารัง ลับเขาของมัน เข้ากับลำต้นไม้ แล้วกระโจนเข้าใส่พระสุลันจนะ ด้วยพลังอันร้ายแรง แต่เทพหนุ่ม กระโดดหลบฉาก เอานาทีสุดท้าย
พอวัวหนุ่มโถมเข้าใส่ เทพก็ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปขัดขาวัว วัวก็ล้มโครมลงกับพื้นดิน มันรีบผุดลุกขึ้นโดยเร็ว แล้วโถมเขาสู้อีก แต่ก็ล้มพลาดลงอีกครั้งหนึ่ง มันโจนเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พระสุลันจนะว่องไวกว่ามันทุกครั้งไป
ในที่สุด เทพก็ฉวยตีนวัวได้ข้างหนึ่ง แล้วหวี่ยงเจ้าวัวร้าย หมุนติ้วอยู่ในอากาศ จนเลมบูกูมารัง ทนต่อไปไม่ไหว ต้องร้องขอความกรุณา เทพก็ยอมไว้ชีวิต ถ้าวัวกับหมูร้ายสองตัว สัญญาว่า จะป้องกันรักษานาข้าวตลอดไป
สัตว์ทั้งสามยอมให้สัญญา ประชาชนชาวปชาจรัน ก็โห่ร้องกึกก้อง ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสาม ก็เฝ้าดูแลรักษานาข้าวอย่างซื่อสัตย์ แล้วนาข้าว ก็ไม่ถูกรบกวนอีกเลย ประชาชนปชาจรัน ก็อยู่เย็นเป็นสุข มีข้าวอันเอร็ดอร่อย เป็นอาหารประจำชีวิต ตลอดมา