รีวิวหนังดัง THE HUNGER GAMES : The Ballad of Songbirds and Snakes เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม
ภาคแยกของแฟรนไชส์ที่สร้างจากนวนิยายขายดี THE HUNGER GAMES ที่ครั้งนี้จะเป็นการพูดถึงชีวิตของ Coriolanus Snow สมัยวัยรุ่นหนุ่มก่อนจะก้าวสู่ผู้นำประเทศที่โหดเหี้ยมในวัยอาวุโส ภาคนี้จะเป็นการสะท้อนเราได้เห็นว่าตัวละครรายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร บอกเลยว่าเดือดพอสมควร
Francis Lawrence รับหน้าที่การกำกับการแสดงเช่นเคย การันตีจากผลงานของสี่ภาคที่ผ่านมาแล้ว บอกเลยว่าภาคนี้จะเป็นการดำเนินเรื่องที่กระชับกว่า และได้ข้อสรุปครบในภาคนี้เลย ตลอดความยาว 157 นาที ก็สามารถที่จะเล่ารายละเอียดได้พอสมควร
เรื่องย่อ
Dr.Volumnia Gaul และ Dean Casca Highbottom ได้จัดพิธีเก็บเกี่ยวหรือ The Hunger Games ครั้งที่ 10 โดยทั้ง 12 เขต ต้องส่งบรรณาการเขตละ 2 คน เข้าร่วมสู้ในสนามแข่งนี้ เพื่อเป็นการลงโทษแต่ละเขตที่ก่อกบฎต่อรัฐบาล Capital
Coriolanus Snow หนึ่งในนักศึกษาที่หวังจะได้รางวัล Plint ก็ต้องเป็น mentor ให้กับผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่าง Lucy Grey Baird จากเขต 12 ให้ชนะการแข่งขันนี้ เริ่มต้นจากการทำให้เธอดัง เป็นที่ชื่นชอบของคนดู ปั้นให้เธอเป็นดาวดัง เพิ่มเรตติ้ง เมื่อนั้นถึงจะมี sponsor ให้การสนับสนุนในการแข่ง
การเอาชนะของ Coriolanus Snow ไม่ใช่แค่หวังกอบกู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลหรือยกระดับฐานะคนในบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อตัว Lucy เองด้วย เพราะเขาเริ่มมีใจเสน่หาเธอบ้างแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้ Snow ตระหนักและเรียนรู้ที่จะมีอำนาจ ไม่ไว้ใจใคร และเลือดเย็นมากขึ้นทุกวัน เพื่อเอาตัวเองให้รอดจากการพ้นผิด และหวังจะประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ
นักแสดงนำ
- Tom Blyth รับบทเป็น Coriolanus Snow
- Rachel Zegler รับบทเป็น Lucy Gray Baird
- Viola Davis รับบทเป็น Volumnia Gaul
- Peter Dinklage รับบทเป็น Dean Casca Highbottom
- Josh Rivera รับบทเป็น Sejanus Plinth
- Hunter Schafer รับบทเป็น Tigris
- Ashley Liao รับบทเป็น Clemensia Dovecote
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังเดินเรื่องกระชับและมีประเด็นให้ลุ้นชวนน่าติดตามตลอดเวลา เพราะการแข่งขันจะได้เปรียบก็ต้องมีการโกง และการโกงก็ต้องไม่ให้ถูกจับได้ ไม่ว่าจะเป็นคนลงสนามหรือ mentor ที่คอยเชียร์ก็สามารถเป็นคนเจ้าเล่ห์ได้ เพียงเพื่อเอาตัวรอด
2.เราจะได้เห็นการเอาตัวรอดของแต่ละคนด้วยความจำเป็นบางอย่าง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องความดีความชั่ว แต่เพราะความจำเป็น ไม่อย่างนั้นอาจมีโทษถึงประหารชีวิตได้ นี่คือแก่นหลักของเรื่องที่ครีเอเตอร์ชื่นชอบมากๆ มันคือชีวิตสีเทาที่สะท้อนความเป็นจริงของผู้คนที่ไม่อาจปฏิเสธ
3.หนังสะท้อนให้เห็นอีกอย่างด้วยว่าต่อให้เป็นผู้ดีมีชาติตระกูล ความสง่างามก็หายไปได้เมื่อต้องเอาตัวรอด เป็นฆาตกรมือใหม่ นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความชาชินจนคุ้นเคย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวเมื่อชีวิตถลำลึกลงไปในครรลองแบบนั้น
4.แน่นอนว่าทั้ง Mentor และบรรณาการจากทั้ง 12 เขต ส่วนใหญ่มักไปกันไม่ได้ เพราะความขัดแย้งทางการปกครองและเกลียดชังกันเข้าไส้ สิ่งนี้หนังก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี รวมถึงการต่อสู้ประชิดตัวที่โหดขึ้น รุนแรงขึ้นและไม่เดินเรื่องช้าเหมือน 4 ภาคก่อนหน้า ถือเป็นการสร้างจุดแข็งของภาคแยกนี้ให้ดูสนุกกว่าสมัยของแคตนิส เอเวอร์ดีน
5.ความน่ารักของ Rachel Zeger ที่รับบทเป็น Lucy Grey Baird โดดเด่นไม่แพ้ใคร แม้บทบาทจะน้อยกว่า Tom Blynth ที่รับบทเป็น Snow ก็ตาม แต่ความสามารถยังคงได้รับการมองเห็น โดยเฉพาะฉากร้องเพลงที่ตัวหนังทำให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นการยัดเยียดแต่อย่างใด และก็ไม่ต้องทำให้เป็น Musical หรือร้องเพลงแทนการสนทนาด้วย
6.แง่คิดที่ได้จากเรื่องนี้มีหลายประเด็นให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมและอินได้ง่าย โลกคือสนามแข่ง เตือนให้ทุกคนตระหนักว่า Capital เป็นผู้ชนะ นี่คือเหตุผลที่ทำไม THE HUNGER GAMES จึงถูกจัดขึ้นในทุกๆปี มันคือเหตุผลทางการเมือง ส่วนกำไรทางพาณิชย์ที่ได้ก็ช่วยหล่อเลี้ยงเกมนี้ให้อยู่สืบต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน อีกแง่คิดหนึ่งที่น่าสนใจคือ"สิ่งที่เรารักจะทำลายเราได้มากที่สุด" มันสอนเราว่า...อย่าไว้ใจใคร แม้แต่คนที่เรารัก