นิทานประจำถิ่น ท้าวปาจิตกับนางอรพิม
“ท้าวปาจิต-นางอรพิม”ซึ่งเป็นตำนานของ “เมืองพิมาย”(อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชของไทยในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดขึ้นในยุคขอมเรืองอำนาจ ในสุวรรณภูมิทวีปแห่งนี้ ราวพุทธศตวรรษที่๑๕-๑๖(ยุคนั้นยังไม่มีราชอาณาจักรสยาม หรือประเทศไทยของเราแต่อย่างใด) ซึ่งยังพอมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ให้สามารถศึกษาค้นคว้าได้จนถึงทุกวันนี้ และเรื่องนี้ ก็มีการบอกต่อ และเล่าเป็นตำนานนิทานพื้นบ้าน สืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ ซึ่งมี “ท้าวปาจิต” ได้เกิดเป็นโอรสของ “พระเจ้าอุทุมราช” กับพระอัครมเหสี "สุวรรณเทวี" กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครธม แห่งราชอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมากที่สุดในยุคนั้น
เมื่อเจริญวัยเป็นหนุ่ม (พระชันษาประมาณ ๑๕ ปี) พระบิดาก็ให้เลือกคู่ครอง โดยการให้ทหารไปประกาศเรียกหญิงสาว บรรดามีในมหานคร และหัวเมืองประเทศราชทั้งหลายนั้น มาให้ท้าวปาจิตเลือกเป็นคู่ครอง
สาวๆ ที่มานั้น มีทั้งลูกสาวเสนา อำมาตย์ ข้าราชการ ลูกพ่อค้า ชาวนา ชาวไร่ มากันจนหมดเมือง แต่ท้าวปาจิตไม่สนใจเลยแม้สักคนเดียว จึงมิได้คล้องมาลัยให้สาวคนไหนแต่อย่างใด พระเจ้าอุทุมราช ทรงกลุ้มพระทัย จึงได้ให้โหรทำนายโชคชะตาราศี และเนื้อคู่แก่พระโอรส
โหรหลวงตรวจดูดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิด แล้วกราบทูลว่า เนื้อคู่ของท้าวปาจิตยังไม่เกิด ขณะนี้อยู่ในครรภ์หญิงชาวนาผู้หนึ่ง ในเขตเมืองพิมาย อันเป็นเมืองประเทศราชของนครธม ซึ่งอยู่ทางทิศพายัพของพระนครธม โดยท้าวปาจิต จะต้องเดินทางไปหาหญิงผู้นั้นแ ละอภิบาลครรภ์ ตลอดจนอบรมและเลี้ยงดูกุมารีด้วยพระองค์เอง ซึ่งจะสามารถสังเกตได้ง่ายว่า หญิงคนนั้นกำลังมีครรภ์ และมีเงากลดกางกั้นอยู่เหนือศรีษะ ไม่ว่าจะเดินไปไหน และทำอะไรอยู่กลางแจ้งก็ตาม
ท้าวปาจิตไม่รอช้า รีบเร่งเสด็จออกเดินทาง ไปตามคำทำนายของโหร จนกระทั่งมาถึงเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตไม่แน่ใจ จึงกางแผนที่ออกดู ที่ตรงนั้นเรียกในภายหลังว่า บ้านกางตำรา และเพี้ยนเป็น บ้านจารตำรา ท้าวปาจิตข้ามถนนเพื่อเข้าเขตเมือง บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านถนน แล้วเดินมาตามทาง ถึงหมู่บ้านหนึ่งมีต้นสนุ่นมาก ได้ชื่อว่า บ้านสนุ่น เลยบ้านสนุ่น ก็มาถึงท่าน้ำใหญ่ ปัจจุบันเรียก บ้านท่าหลวง
แต่ปรากฎว่าเป็นทางผิด จึงไปอีกทางหนึ่งถึงบ้านสำริด พบหญิงครรภ์แก่ชื่อ “ยายบัว” กำลังดำนาอยู่ เหนือศรีษะของนาง มีเงาคล้ายกลดกั้นอยู่ ก็แน่ใจว่าใช่ตามคำทำนาย จึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นใคร มีความประสงค์อะไร และแสดงความตั้งใจว่า จะอยู่ช่วยทำนาให้ จนกว่าจะคลอดลูก หากลูกคลอดออกมาเป็นชาย จะยกย่องให้เป็นน้องชาย แต่ถ้าเป็นหญิง จะขอนำไปเป็นมเหสี ซึ่งยายบัวและสามีชื่อ “นายมี” ก็ตกลง และพระองค์ได้ขอร้อง ไม่ให้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ให้ใครทราบ แม้แต่ลูกที่กำลังจะคลอดออกมาก็ตาม
ท้าวปาจิต อาศัยอยู่กับยายบัวและนายมีเรื่อยมา โดยช่วยทำงานหนักทุกอย่าง ทั้งๆ ที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ พระองค์ไม่เคยตกระกำลำบาก และลงมือทำเองให้เหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย ทั้งดำนา เลี้ยงโคกระบือ เกี่ยวข้าว นวดข้าว
ยายบัวครบกำหนดคลอด จึงได้ไปตามหมอตำแยมาทำคลอด (หมู่บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่า บ้านตำแยในปัจจุบันนี้) ทารกในครรภ์ของยายบัว ก็คลอดออกมาเป็นทารกเพศหญิง ตรงตามคำทำนายของโหร ยายบัวตั้งชื่อให้ว่า “อรพิน” แต่ในภาษาท้องถิ่นอีสาน จะเรียกว่า “อรพิม” ทารกหญิงนั้นมีหน้าตาน่ารัก สวยงาม และมีผิวพรรณผ่องใส เป็นที่พอใจแก่ท้าวปาจิตยิ่งนัก
ท้าวปาจิตต้องทำงานหนักและช่วยดูแล ตลอดจนอบรมสั่งสอนนาง ตั้งแต่เป็นเด็ก จนกระทั่งโตเป็นสาวแสนสวย โสภายิ่งนัก ครั้นนางเจริญวัยเป็นสาวสวย ก็ได้ผูกสมัครรักใคร่กับท้าวปาจิตเช่นเดียวกัน จนในวันหนึ่ง ท้าวปาจิตได้บอกถึงฐานะ และตัวตนของพระองค์ให้นางทราบ และขออนุญาตนางบัว นายมี และนางอรพิมว่า ตนจะกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตน เพื่อยกขันหมากจากพระนครธม มารับนางอรพิมไปอภิเษกสมรสตามราชประเพณี ที่พระนครธมต่อไป
เมื่อมาถึงนครธม ท้าวปาจิตได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล ต่อพระเจ้าอุทุมราช พระราชบิดาและพระราชมารดา พระองค์จึงให้จัดขบวนขันหมากอย่างดี และมีจำนวนรี้พลมากมาย เดินทางไปเมืองพิมาย โดยที่หารู้ไม่ว่า บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางอรพิม นั่นคือ “พระเจ้าพรหมทัต” กษัตริย์ผู้ครองเมืองพิมายได้ทราบข่าวความงามของนาง จึงได้ให้ “พระยาราม” และเหล่าทหาร ไปนำตัวนางมาไว้ในพระราชวัง
นางอรพิมสุดที่จะขัดขืนได้ จำต้องมา แต่นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ามิใช่ท้าวปาจิตแล้ว ผู้ใดแตะต้องตัวนาง ก็ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ ดังนั้น พระเจ้าพรหมทัต จึงแตะต้องตัวนางมิได้ โดยพระเจ้าพรหมทัต พยายามเอาอกเอาใจต่างๆ นานา และจะพยายามเข้าใกล้นางอรพิม แต่เมื่อเข้าใกล้ตัวนางเมื่อไหร่ ก็รู้สึกร้อนเป็นไฟ จึงได้ถามนางอรพิม นางได้กราบทูลว่า ให้รอพี่ชายมาก่อน
กระบวนขันหมากของท้าวปาจิต ยกออกจากนครธมมาหลายคืนหลายวัน จนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่ง (อยู่ในตำบลงิ้ว ในปัจจุบันนี้) ท้าวปาจิตให้ทหารหยุดกระบวนขันหมาก เพื่อให้ทหาร และสัตว์พาหนะได้พักและบริโภคน้ำ
ชาวบ้านเห็นผู้คนมากันมากมาย จึงเข้ามาไต่ถามว่า มาทำไมและจะไปไหน พวกทหารตอบว่า จะไปบ้านสำริด เพราะพระโอรสกษัตริย์แห่งเมืองขอม จะแต่งงานกับสาวบ้านนี้ ชาวบ้านจึงถามชื่อหญิงคนนั้น ทหารบอกว่าชื่อนางอรพิม ชาวบ้านจึงเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าพรหมทัต ได้นำตัวนางเข้าไปไว้ในปราสาทเมืองพิมายเสียแล้ว
ซึ่งทั้งพระเจ้าอุทุมราชและท้าวปาจิต ทรงตกพระทัยเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะท้าวปาจิต โกรธมากถึงกับโยนทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้และขันหมาก ทิ้งลงแม่น้ำหมด (ที่ตรงนั้นเรียกว่า “ลำมาศ”หรือ “ลำปลายมาศ” ที่ไหลไปสู่ลำน้ำมูล จนทุกวันนี้) ส่วนรถทรง ก็ตีล้อดุมรถและกงรถจนหัก ทำลายหมด ชาวบ้านนำมากองรวมกันไว้ จนเรียกที่ตรงนี้ว่า บ้านกงรถ
เมื่อพระทัยเย็นลงแล้ว ท้าวปาจิต ก็ได้ขออนุญาตพระบิดา ไปตามนางกลับคืนมาตามลำพัง ด้วยพระองค์เอง ดังนั้นพระเจ้าอุทุมราชและข้าทหารทั้งหลาย จึงเดินทางกลับนครธมไปก่อน ส่วนท้าวปาจิต รีบไปพบยายบัว และนายมี แล้วปลอบโยนทั้งคู่ว่า พระองค์จะใช้สติปัญญา นำนางอรพิมออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย และได้มอบทรัพย์จำนวนหนึ่ง และม้าให้นางบัวและนายมี หลบไปอยู่ที่อื่นสักพักหนึ่งก่อน เพื่อความปลอดภัย
แล้วพระองค์ ก็ปลอมตัวเป็นลูกชายยายบัว เข้าไปตามหาน้องสาวชื่อ อรพิม โดยได้ไปบอกนายประตูเมืองพิมายว่า จะขอเข้าไปเยี่ยมน้องสาว นายประตูถามว่าจะพบใคร ท้าวปาจิตตอบว่า นางอรพิม ซึ่งจะเป็นพระมเหสี ของพระเจ้าพรหมทัตในไม่ช้านี้ นายประตูจึงพาไปพบนางอรพิม
ครั้นเมื่อนางพบหน้าท้าวปาจิต นางก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก จนนางร้องออกมาว่า “อ้อ! พี่มา!...”๓ ครั้ง (คำนี้เพี้ยนเป็น “พิมาย” อันเป็นชื่อเมืองหรืออำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ในปัจจุบันนี้นั้นเอง)
พระเจ้าพรหมทัต เสด็จมาหานางอรพิม และได้มาพบเห็นท้าวปาจิตอยู่กับนางอรพิม จึงถามว่าเป็นใคร? นางตอบว่า เป็นพี่ชายของนางเอง พระเจ้าพรหมทัตถามว่า ทำมาหากินอะไร? ทำไร่ทำนา หรือค้าขายอะไร?
ท้าวปาจิตตอบว่า ค้าขายทางไกล ทราบว่าน้องสาว จะอภิเษกสมรส เป็นพระมเหสีของพระองค์ จึงมาอวยพรให้ และอยากรู้จักกับพระองค์ และให้พระองค์รู้จักตนด้วย พระเจ้าพรหมทัตดีใจอย่างมาก เพราะนางอรพิม จะได้ยอมเป็นพระมเหสี อย่างที่เคยลั่นวาจาไว้เสียที จึงสั่งให้หาเหล้ายาอาหาร มาเลี้ยงดูท้าวปาจิตอย่างดี ท้าวปาจิตจึงดื่มเพียงเล็กน้อย
แต่พระเจ้าพรหมทัต ถูกนางอรพิมมอมเหล้าเสียจนเมามาย จนเสียสติ ถึงขั้นลวนลามนางอรพิม ต่อหน้าต่อตาท้าวปาจิต ท้าวปาจิต จึงใช้พระขรรค์ฟันคอพระเจ้าพรหมทัตขาด สิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั้น แล้วจึงอุ้มนางอรพิม หนีออกมาทางประตูลับ
ท้าวปาจิตและนางอรพิม บุกป่าฝ่าดงอย่างทุลักทุเล และยากลำบาก จนเดินทางมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง พอดีเป็นเวลารุ่งสว่าง ได้พบนายพรานคนหนึ่ง ชื่อ “พรานนกเอี้ยง” ซึ่งออกมาเที่ยวล่าเนื้ออยู่ พรานนกเอี้ยง เห็นนางอรพิมสวยงามมาก ก็นึกรักนาง จึงใช้หน้าไม้ยิงท้าวปาจิต ถึงแก่ตาย แล้วก็ฉุดพานางไป นางจึงทำเล่ห์กลว่า มีกำลังน้อย เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมาก จะเดินทางไปไม่ไหว ถ้ามีรถหรือเกวียน หรือช้างม้าให้นางนั่งไป นางก็ยินดีจะไปด้วย
พรานหลงเชื่อ จึงไปหากระบือมาให้นางขี่ ตัวนายพรานจึงนั่งข้างหน้า คอยบังคับกระบือ ส่วนนางอรพิมนั่งข้างหลัง พอได้โอกาส นางก็ใช้พระขรรค์ของท้าวปาจิต แทงนายพรานตาย แล้วนางจึงรีบกลับมาที่ศพของท้าวปาจิต นางร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพช ทุกขเวทนายิ่งนัก จน“พระอินทร์”เกิดความสงสารจึงได้ชวนเอา “พระเวสสุกรรม” แปลงกายเป็น “งู” กับ “พังพอน”สู้กันให้นางได้เห็น
เมื่อพังพอนตาย งูก็ไปกัดเปลือกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยว แล้วพ่นใส่บาดแผลพังพอน พังพอนจึงฟื้นขึ้นมา แล้วก็ต่อสู้กันต่อไป ครั้นงูตาย พังพอนก็ทำเช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองผลัดกันตายผลัดกันฟื้นเช่นนี้ เป็นเวลาพอสมควรแล้วหายไป
นางอรพิมซึ่งเฝ้าสังเกตอยู่ เห็นหนทางที่จะทำให้ท้าวปาจิตฟื้น จึงไปเอาเปลือกไม้นั้นมาเคี้ยว พ่นใส่บาดแผลท้าวปาจิตเช่นกัน ท้าวปาจิตจึงฟื้นขึ้นมาได้อีก แล้วทั้งคู่ ก็ได้ช่วยกันเก็บเปลือกไม้นั้น ติดตัวไปเท่าที่จะนำไปได้ แล้วออกเดินทางต่อไปยังนครธม
หลังจากรอนแรมกันมาเป็นเวลาพอประมาณ ก็มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งกว้างใหญ่มาก ไม่มีเรือแพหรือขอนไม้ จะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ จึงนั่งปรึกษาหาหนทางอยู่ ขณะนั้น มีเถรคนหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียก “เถรเรือลอย” เพราะเถรลงเรือไปบิณฑบาต ตามแม่น้ำเป็นประจำ เถรพายเรือผ่านมา
ท้าวปาจิตขอร้อง ให้ช่วยส่งข้ามฟากให้ด้วย เถรเห็นนางอรพิมสวยงามมาก ก็คิดจะพานางไปกับตน จึงบอกว่าเรือลำนี้ ขึ้นได้ครั้งละ ๒ คนเท่านั้น มิฉะนั้นเรือจะล่ม ท้าวปาจิตจำต้องให้นางอรพิม ไปกับเถรก่อน เถรเจ้าเล่ห์ พานางลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ท้าวปาจิตจะเรียกอย่างไรก็มิได้หยุด จึงต้องพลัดพรากกันอีกครั้งหนึ่ง นางอรพิมจำต้องคิดอุบายหนีจากเถรให้ได้ จนกระทั่งมาพบต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง ซึ่งสูงมากและมีลูกดกเต็มต้น และมีผลงาม ๆ น่ากินทั้งนั้น
นางบอกเถรว่า อยากกินมะเดื่อ ให้เถรปีนขึ้นไปเก็บมาให้ เลือกเอาลูกที่งามที่สุด อร่อยที่สุด สุกที่สุด ซึ่งจะอยู่บนยอดสูงๆ เถรหลงเชื่อ ปีนต้นไม้ไปหาลูกมะเดื่อที่นางต้องการ นางจึงรีบเอาหนาม มากองสุมไว้โคนต้นมะเดื่อนั้น เพื่อไม่ให้เถรสามารถลงมาได้นั้นเอง แล้วนางก็รีบลงเรือ พายหนีไปตามหาท้าวปาจิต
ก่อนไป นางได้สั่งไว้เป็นวาจาสิทธิ์ว่า ให้เถรอยู่บนต้นมะเดื่ออย่าไปไหน เถรจึงตายอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง ก่อนเถรตายได้แช่งให้มีแมลงหวี่ มาเกิดในลูกมะเดื่อทุกลูกไป (จึงปรากฏว่าว่า ลูกมะเดื่อ มีแมลงหวี่อยู่จนทุกวันนี้) นางอรพิม พายเรือกลับมาหาท้าวปาจิต แต่ไม่พบ จึงจอดเรือแล้วขึ้นฝั่ง เที่ยวตามหาท้าวปาจิตตามสถานที่ต่างๆ อย่างยากลำบาก และตัวคนเดียว จนพระอินทร์เกิดความสงสาร จึงลงมาประทานแหวนให้วงหนึ่ง พร้อมกับบอกนางว่า ถ้าสวมไว้ที่นิ้วชี้ จะกลายร่างเป็นชาย แต่ถ้าถอดออกสวมนิ้วอื่นจะกลายเป็นหญิงดังเดิม
นางอรพิมดีใจมาก จึงได้ควักนมทั้งสองข้างออกมา แล้วปาเข้าป่า กลายเป็นต้น "นมนาง" จากนั้นนางจึงจิกแก้มอันอวบอิ่มจิ้มลิ้มเป็นพวง แล้วเหวี่ยงทิ้งไป กลายเป็นต้น "แก้มอ้น" และควักโยนีขึ้นปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ"
นางจึงสวมแหวนที่นิ้วชี้ จึงกลายร่างเป็นชาย แล้วเดินติดตามหาท้าวปาจิตต่อไป พบใครที่ไหนก็สอบถามว่า เห็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไหม? รู้จักคนชื่อท้าวปาจิตไหม? สอบถามจนทั่วแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเห็นเลย นางจึงร่อนเร่ไป โดยอยู่ในเพศชายตามลำพัง จนกระทั่งมาถึงเมืองหนึ่ง ชื่อ “เมืองครุฑราช” ซึ่งมีลูกสาวชื่อ “แตงโม” เป็นหญิงสาวสวยงามและนิสัยดี ของเศรษฐีคนหนึ่ง พึ่งจะเสียชีวิตลง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย
นางจึงขออาสารักษา และก็สามารถทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้ เศรษฐีและภรรยาดีใจมาก จะยกสมบัติและให้แต่งงานกับลูกสาวของตน แต่นางอรพิมไม่ยอม ขอเดินทางตามหาญาติต่อไป ซึ่งลูกสาวเศรษฐี ก็ขอติดตามไปด้วย จนกระทั่งมาถึง “เมืองจัมปากนคร”
โดยที่เมืองจัมปากนคร ที่นางอรพิมมาถึงนี้ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเมือง มีพระราชธิดาสวยงามมากชื่อ “ปทุมวดี” แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตาย หมอคนใดก็ช่วยไว้ไม่ได้ ชาวเมืองพากันร้องไห้อาลัยรักนางอยู่ นางอรพิมรู้เข้า ก็อยากจะลองช่วยนางดู จึงให้คนพาไปเฝ้าพระมหากษัตริย์ ทูลขออนุญาตรักษา เมื่อพระองค์อนุญาต นางอรพิมได้ใช้เปลือกไม้ที่ได้จากป่า คราวรักษาท้าวปาจิต มาเคี้ยวพ่นใส่พระราชธิดา จนฟื้นขึ้น
พระมหากษัตริย์และพระญาติทั้งหลาย ดีใจมาก ปรึกษากันว่า จะให้นางอรพิมอภิเษกกับพระธิดา แต่นางอรพิมบ่ายเบี่ยงว่า ขอเวลาสักปีหรือสองปี ให้ได้บวชเรียนและศึกษาศิลปศาสตร์ให้จบก่อน พระมหากษัตริย์จำต้องยอมตามใจนาง
นางอรพิมจึงขอลาไปตามหาท้าวปาจิต ด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ว่าคงจะไม่พบกันเป็นแน่แล้ว นางได้ไปบวชเป็นพระ อยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย จนมีความรู้แตกฉานมาก พระในวัดและลูกศิษย์ตลอดจนชาวบ้าน ต่างก็ยกให้เป็นพระสังฆราช (น่าจะเป็นตำแหน่งเจ้าอาวาสในปัจจุบัน)
ซึ่งนางอรพิม ได้ให้สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่ง แล้วเขียนภาพเล่าเรื่องของนางกับท้าวปาจิต ที่ฝาผนังโบสถ์ไว้ เริ่มตั้งแต่แต่ท้าวปาจิต ได้อาศัยอยู่กับยายบัว จนถึงตอนนางมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ซึ่งแต่ละตอนละเอียดครบถ้วนกระบวนความ และนางยังสั่งไว้ว่า หากมีผู้ใด ที่มาดูภาพเขียนฝาผนังแล้วร้องไห้ ก็ให้คนเฝ้าโบสถ์ รีบไปบอกให้ตนรู้ทันที
วันหนึ่งท้าวปาจิต เดินทางรอนแรมมาจนถึงเมืองนี้ ได้ขอเข้าพักอาศัยในโบสถ์ แล้วนอนหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ครั้นตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบ ๆ เห็นภาพเขียนบนฝาผนังโบสถ์ จึงได้ลุกขึ้นไปเดินดูโดยรอบ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องราวของตนกับนางอรพิม จึงทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้น คนเฝ้าโบสถ์เห็นดังนั้นจึงรีบนำความไปเล่าให้พระสังฆราชรู้
พระสังฆราช จึงให้นำท้าวปาจิตไปพบ ท้าวปาจิตได้สอบถามความเป็นมาของรูปเขียน พระสังฆราชตื่นเต้นดีใจและมีความสุขมาก แต่ข่มใจไว้ จึงได้เล่าความจริงให้ฟังและบอกว่า ตนคือนางอรพิม จากนั้น ก็ได้ถอดแหวนออกจากนิ้วชี้ แล้วสวมที่นิ้วนางแทน แล้วก็กลายรูปเป็นหญิงตามเดิม
ทั้งสองต่างโผเข้าสวมกอดกัน ร่ำไห้ด้วยความยินดี และตื้นตันใจเป็นที่สุด แล้วนางอรพิมก็บอกความจริงกับทุกคน และขอลาชาววัดและชาวบ้าน เดินทางกลับพระนครธม ตลอดจนได้ขออนุญาตจากเจ้าเมืองจัมปากนคร และเศรษฐีเมืองครุฑราช ให้ยกลูกสาวให้กับท้าวปาจิตแทน ซึ่งทุกคนต่างก็ตกลงและยินดียกให้เป็นมเหสีของท้าวปาจิต ผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท แห่งราชอาณาจักรขอมนครธมนั้นเอง
เมื่อกลับถึงนครธม พระเจ้าอุทุมราช และพระราชมารดา ตลอดจนพระประยูรญาติ และชาวพระนครทั้งหลาย ต่างปลื้มปิติ และมีความยินดีเป็นอย่างมาก จึงจัดให้มีพระราชพิธีอภิเษกสมรส ให้กับท้าวปาจิตและพระมเหสีทั้งสาม
หลังจากนั้น ท้าวปาจิต และพระมเหสีทั้งสาม ก็ได้มาปกครองที่เมืองพิมาย อันเป็นหัวเมืองประเทศราชของนครธม แทนพระเจ้าพรหมทัต ที่พึ่งจะสิ้นพระชนม์ไป โดยพระองค์ได้จัดให้มีพิธีพระราชทานเพลิงและจัดให้สร้างปราสาท ไว้เป็นอนุสรณ์แก่พระเจ้าพรหมทัต ที่สวรรคตแล้วนั้นด้วย สร้างปรางค์เป็นหอสูงกลางใจเมือง ชื่อปรางค์พรหมทัต อยู่ห่างจากปราสาทหินพิมายประมาณ ๑๐๐ เมตร ชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่า รูปสลักหินที่อยู่ในปรางค์พรหมทัต ในปราสาทหินพิมายนั้น คือรูปของพระปาจิตและนางอรพิม”
โดยพระองค์ได้ทำการปกครองบ้านเมือง ด้วยทศพิธราชธรรม และนำความร่มเย็นเป็นสุขให้กับเมืองพิมาย อยู่เป็นเวลาหลายปี
ครั้นเมื่อพระเจ้าปทุมราช พระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคต พระองค์ก็ได้เสด็จกลับพระนครธม และได้รับการอภิเษก ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรขอมแทน โดยพระองค์และพระมเหสีทั้งสาม ได้ทำการปกครอง และทำนุบำรุงบ้านเมือง และประเทศราชทั้งหลาย ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดีกันโดยทั่วหน้า สืบมาจนสิ้นอายุขัย
อ้างอิงจาก: แหล่งที่มาของข้อมูล