ดอนแกวกอง เกาะแห่งความตาย (บ้านหนองจันทร์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม)😱😱😱
ฟังแค่ชื่อ ก็น่ากลัวไม่น้อย และคิดว่า คงไม่มีใครอยากเข้าไปสัมผัส หรือเที่ยวชม อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ทุกวันนี้ สถานที่นั้น ยังคงอยู่เป็นหลักฐานยืนยัน หากใครไปสอบถามชาวนครพนมดู พวกเขาจะให้ความกระจ่างเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเกาะแห่งความตายนี้ เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ของจังหวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า“ดอนแกวกอง”
ตำนาน และประวัติความเป็นมา เกี่ยวกับดอนแกวกอง มีบันทึกอยู่ในพงศาวดารเมืองนครพนม ฉบับพระยาจันทร์โง่นคำ มีข้อความดังนี้ “เดิมพระบรมราชาเมืองนครพนม เจ้าเมืองนครพนม มีบุตรชายชื่อว่า ท้าวกู่แก้ว บุตรหญิงชื่อ นางสุวรรณทอง และบุตรเขยชื่อ นายคำสิงห์ (บุตรเพี้ยรามแขก)” ขณะที่ท้าวกู่แก้ว มีอายุได้ ๑๕ ปี พระบรมราชาผู้เป็นบิดา ส่งไปถวายเป็นมหาดเล็ก ที่เมืองจำปาศักดิ์ เวลาผ่านไป ๒ ปี พระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนม ก็ถึงแก่กรรม ทางเวียงจันทน์ จึงได้ตั้งนายคำสิงห์ บุตรเขย เป็นพระบรมราชาครองเมืองนครพนมแทน
ครั้นข่าวล่วงรู้ไปถึงท้าวกู่แก้วว่า บิดาถึงแก่กรรม และพี่เขยได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองแทน จึงเกิดความไม่พอใจท้าวกู่แก้ว และไปกราบลาเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน โดยเดินทางเข้ามาในเขตลำเซบั้งไฟ เพื่อเกลี้ยกล่อมเอาท้าวเพี้ย ชาวลำน้ำเซ กะตากกาปอง เมืองวังเชียงรม ผาบัง คำเกิด คำม่วน พากันไปขัดขวางพระละครคำสิงห์(ท้าวคำสิงห์) ท้าวกู่แก้ว ได้สร้างเมืองขึ้นที่บ้านแก้วเหล็ก ริมห้วยน้ำยมเรียกว่า เมืองมหาชัยกองแก้ว
ฝ่ายท้าวคำสิงห์หรือพระละครคำสิงห์ เจ้าเมืองนครพนมคนใหม่ทราบข่าว จึงแจ้งไปขอกำลังจากกรุงศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทน์) แต่ทางเวียงจันทน์ไม่สนับสนุน เพราะเป็นเรื่องของญาติพี่น้อง พระละครคำสิงห์ จึงแต่งกรรมการขึ้น เอาพลาย ๒ เชือก, นอ ๒ ยอด, เงิน ๔๐ แผ่น, เดินทางไปขอกำลัง จากเจ้าพาพูซุนยวน(เมืองญวน)
เจ้าพาพูซุนยวน ให้กำลังมา ๖,๐๐๐ คน เคลื่อนพลมาต่อสู้กับพวกลำน้ำเซ โดยมีนายไชย เมืองนครพนม ได้อำลาเจ้าพาพูซุนยวนเดินทางก่อน เพื่อเตรียมกองกำลังออกไปสมทบ ตีขนาบกองทัพกู่แก้วมิให้ทันตั้งตัว ในระหว่างเดือน ๑๒ ถึงเดือนอ้าย กองทัพเจ้าพาพูซุนยวน มาถึงเมืองคำเกิด และตั้งทัพอยู่ที่นั่นคอยกองกำลังเมืองนครพนม ออกมาสมทบ ข่าวกองทัพเจ้าพาพูซุนยวน ล่วงรู้ไปถึงท้าวกู่แก้ว จึงรีบแต่งเอาเครื่องราชบรรณาการ โดยเอาช้างพลายหนึ่ง นอยอดหนึ่ง ไปพบแม่ทัพญวนที่เมืองคำเกิด แอบอ้างเป็นนายไชย เมืองนครพนม ฝ่ายญวนก็หลงเชื่อ จึงมาตีเมืองนครพนม ท้าวกู่แก้ว ได้เกณฑ์ไพร่พลที่เป็นชายฉกรรจ์ได้ ๓,๐๐๐ คน สมทบกับกองกำลังญวน รวมเป็น ๙,๐๐๐ คนยกมาตีเมืองนครพนมแตก
พระละครคำสิงห์ ข้ามลำน้ำโขง หนีไปอยู่ดงเซกาข้างตะวันตก แล้วแต่งกรมการเมือง ไปขอกำลังจากเจ้าเมืองเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองเวียงจันทน์เห็นว่า ขืนปล่อยไว้ จะเป็นการชักศึกเข้าเมือง จึงได้ให้พระยาเชียงสา เป็นแม่ทัพมาช่วย โดยตั้งค่ายอยู่ที่บ้านหนองจันทน์ (ใต้เมืองนครพนมในปัจจุบัน) อีกค่ายหนึ่ง ตั้งอยู่ที่บ้านธาตุน้อยศรีบุญเรือง แล้วจัดไพร่พลทั้งสองค่าย กระจายออกเป็นปีกกา โอบเข้าหากัน
ฝ่ายทัพญวน ที่ตั้งค่ายอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้เอาไม้ไผ่ มาจัดทำสะพานเป็นแพลูกบวบ เพื่อจะยกข้ามแม่น้ำโขง มาโจมตีทัพพระยาเชียงสา เมื่อนำไม้ไผ่มามัดเป็นแพลูกบวบ (ไม้ไผ่ที่มัดเป็นแพกลมๆ) ยาวขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง คาดคะเน พอจะไต่ข้ามถึงฝั่งขวาได้ แล้วก็เตรียมทหารลงแพ เมื่อพร้อมแล้ว ก็ถ่อหัวแพทางเหนือออก ส่วนทางใต้ผูกติดไว้กับฝั่ง พอหัวแพถึงฝั่งขวา แล้วจะใช้สะพานลำเลียง ให้ทหารไต่ข้ามโขง
ขณะที่ทหารแกว กำลังผลักแพไม้ข้ามโขงอยู่นั้น พระยาเชียงสา แม่ทัพเวียงจันทน์ ได้ใช้ปืนใหญ่ ยิงตัดสะพานแพลูกบวบ ขาดเป็นท่อนๆ แล้วยกกำลังพลจำนวน ๑๐,๐๐๐ คน เข้าสู้รบกับพวกแกว กลางลำน้ำโขง ถึงขั้นตะลุมบอนกัน ทหารญวนที่เสียเปรียบ และมีกำลังน้อยกว่า เลยถูกยิง ฟัน แทง ตายตกน้ำเกลื่อนกลาด ในที่สุดก็แตกพ่าย ศพพวกแกว ที่เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้ กองทัพถมเป็นกองพะเนิน เลยได้ชื่อเรียกกันตั้งแต่บัดนั้นว่า“ดอนแกวกอง”
ฝ่ายพระยาเชียงสา แม่ทัพเวียงจันทน์ หลังจากขับไล่พวกแกวแตกพ่ายไป จึงได้ไกล่เกลี่ยให้ท้าวกู่แก้ว และพระละครคำสิงห์คืนดีกัน โดยเอาครอบครัวพระละครคำสิงห์ ขึ้นไปอยู่เวียงจันทน์ ให้สร้างเมืองใหม่ ขึ้นที่บ้านเหวินหวาย อยู่ทางทิศใต้ของเวียงจันทน์ มีกำลังผู้คนชายหญิงน้อยใหญ่รวมทั้งสิ้น จำนวน ๓,๕๐๐ คน พร้อมกับเกลี้ยกล่อมท้าวกู่แก้ว มาเป็นพระบรมราชา ครองเมืองนครพนมดังเดิม
พระบรมราชา(กู่แก้ว) ได้ย้ายเมืองข้ามโขง มาอยู่ฝั่งขวา ตรงปากห้วยบังกอ และมีบุตรชายจำนวน ๘ คน มีนามดังต่อไปนี้ ท้าวอุทธัง, ท้าวพรหมมา, ท้าวศรีวิไช, ท้าวอุ่นเมือง, ท้าวเลาคำ, ท้าวราช, ท้าวแก้วมณีโชติ และท้าวพรหมบุตร ส่วนบุตรหญิงจำนวน ๘ คน มีชื่อเรียกดังนี้ นางแท่นคำ, นางแท่นแก้ว, นางคำเภา, นางมิ่ง, นางต่อม, นางคำพั่ว, นางเยา และนางแมะ
พระบรมราชากู่แก้ว อยู่ในราชการ ๑๒ ปี ครั้นลุจุลศักราช ๑๑๔๐ ปีจอ ฉอศก เจ้าพระวอ เอากำลังกรุงเทพฯ ขึ้นมาตีเวียงจันทน์แตก พระบรมราชา(กู่แก้ว) จึงพาครอบครัว ไปตั้งค่ายกวนหมู่ได้ ๕ เดือน ก็ถึงแก่กรรมที่นั่น ท้าวพรหมาผู้เป็นบุตรคนโต ได้ครองเมืองแทน และพาครอบครัวบ่าวไพร่ ไปสร้างเมืองใหม่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เริ่มจากบ้านหนองจันทร์ขึ้นไป และให้ชื่อเมืองว่า“นครพนม”
มีท้าวพรหมา ดำรงตำแหน่งเป็นพระบรมราชา ครองเมืองนครพนมเป็นคนแรก ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ“พรหมประกาย ณ นครพนม” และ“พรหมสาขา ณ นครพนม” มาจนกระทั่งบัดนี้
ฝ่ายท้าวอุทธังได้เป็นอุปราช และท้าวศรีวิไชเป็นราชวงศ์ เรื่องราวของดอนแกวกองที่กลายเป็นอดีต เหตุการณ์ทำนองเดียวกัน ได้เกิดขึ้นอีก เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กล่าวคือ ครั้งมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๘ ทหารญี่ปุ่นเข้าครอบครอง และปลดอาวุธพวกฝรั่งเศส ในพื้นที่อินโดจีน อันประกอบด้วยประเทศลาว เขมร และเวียตนาม (แกว) แต่ให้มีเอกราช พอมากลางปีนั้น ญี่ปุ่นถูกปรมาณู ถล่มที่เกาะฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ จนญี่ปุ่น ต้องประกาศยอมแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตร และยอมยกกองทัพ ออกจากพื้นที่อินโดจีนกลับไป แต่ลาว เขมร และเวียตนาม ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสของแต่ก่อน จึงเกิดการสู้รบไปทั่วอินโดจีน
สมัยที่ญี่ปุ่นครองอินโดจีนอยู่นั้น รัฐบาลลาว ได้ขอร้องให้ญี่ปุ่น ช่วยส่งคนญวนกลับคืนสู่ประเทศบ้านเกิดของเขา เพราะต่างก็ได้รับเอกราชแล้ว โดยฝ่ายเวียตนามก็เห็นชอบด้วย พากันอพยพคนญวนจากหลวงพระบาง และเวียงจันทน์ หลายหมื่นคน มารวมไว้ที่เมืองท่าแขก(อยู่ตรงข้ามกับจังหวัดนครพนมในปัจจุบัน) เพื่อรอเดินทาง กลับคืนสู่ประเทศเวียตนาม เพราะมีทางเดินเชื่อม ติดต่อไปยังประเทศเวียตนามอยู่ที่เมืองท่าแขก
เมื่อญี่ปุ่น เป็นฝ่ายแพ้สงคราม ก็ถอยกลับไป โดยยังมิได้จัดการตามที่ลาวขอร้อง แต่ลาวกับญวน ก็ยังทำการสู้รบกับฝรั่งเศสกันอยู่ตลอด ในช่วงนี้ ฝรั่งเศสอยู่ตามตำบล หมู่บ้านและป่าดง ส่วนคนลาวและคนญวน จะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น เวียงจันทน์ ท่าแขกและสุวรรณเขต
การสู้รบ ได้ดำเนินอยู่ประมาณ ๑ ปี พอถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ เมื่อท่าแขกก็แตก เพราะฝรั่งเศสได้รุกหนัก ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน โดยฝรั่งเศส ได้เอาเครื่องบินรบ มาทิ้งระเบิดทำลายอย่างหนัก ทหารที่รักษาเมืองท่าแขกเห็นว่า สู้ไม่ไหวแล้ว ก็ปล่อยให้ประชาชน อพยพเข้ามาฝั่งขวา
ขณะที่เรืออพยพ กำลังลอยอยู่เต็มแม่น้ำโขงนั่นเอง เครื่องบินของฝรั่งเศส ๒ ลำ ก็บินมาดิ่งหัวลงยิงกราด วกเวียนไปมาอยู่หลายเที่ยว ทำให้เกิดเพลิงไหม้ เรือรั่วจมน้ำ มีคนจมน้ำตายนับเป็นจำนวนพันๆ คน พวกที่ว่ายน้ำมาถึงฝั่งไทยก็มาก
ครั้งนั้น ผู้ที่เสียชีวิต ศพลอยไปตามกระแสน้ำในลำน้ำโขง ส่วนมากเป็นคนญวนอพยพ น้ำพัดพาไปติดค้าง อยู่ที่บริเวณเนินโคก หรือดอนแกวกองอีกเป็นครั้งที่สอง นับเป็นโศกนาฏกรรมน่าประหลาด ที่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ในสถานที่ และชนชาติเดียวกัน ถึงสองครั้ง
ชาวนครพนมที่มีอายุมาก ได้เผยถึงเหตุการณ์ในอดีตว่า ขณะที่เครื่องบินรบของฝรั่งเศส กำลังบินดิ่งหัวลง ยิงกราดเรืออพยพ ในลำน้ำโขง อย่างวกเวียนไปมาอยู่นั้น ชาวนครพนม ได้พากันไปยืนดูอยู่บริเวณริมฝั่งโขง หน้าเมืองนครพนม ด้วยความตื่นเต้นและตกใจ เสียงปืนและปลอกกระสุน ได้ปลิวข้ามมาตกยังฝั่งไทย ถูกบ้านเรือนคนไทย เสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้รับอันตราย
เจ้าหน้าทางราชการ ได้นั่งรถยนต์ ออกประกาศให้ประชาชน หลบวิถีกระสุน อย่าไปยืนดู เกรงว่าอาจจะเกิดอันตราย แต่ก็ไม่มีใครยอมฟังเสียง พอรถเจ้าหน้าที่ผ่านไป ก็พากันออกไปดูอีก ถึงแม้จะเสี่ยงอันตรายก็ยอม ด้วยเหตุการณ์อย่างนี้หาดูยาก
ปัจจุบัน ดอนแกวกอง ยังเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในแม่น้ำโขง ค่อนมาทางฝั่งไทย ตั้งอยู่ในเขตท้องที่บ้านหนองจันทร์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ลงไปทางทิศใต้ มีอาณาเขตติดต่อกับเทศบาลเมืองนครพนม ตรงบริเวณหัวดอนแกวกอง ได้มีหาดทราย งอกยาวขึ้นมาทางทิศเหนือ จนจดท้ายเมืองนครพนมยาวออกไปทางชายฝั่งน้ำโขงโดยตลอด ชาวเมืองนครพนม นิยมเรียกว่าหาดแกวกองบ้าง หาดหนองจันทร์บ้าง เพราะเริ่มต้น มาจากบ้านหนองจันทร์
อ้างอิงจาก:
https://youtu.be/ee_Bk3EHY5w?si=0O_hdgsRFAaV7enF
https://shorturl.asia/bdaW0