หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องเล่าพื้นบ้าน การแข่งขันสร้างปราสาทระหว่างหญิงกับชาย ที่ “พิมาย–พนมวัน”

โพสท์โดย ประเสริฐ ยอดสง่า

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เหล่าผัวเมีย ที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เกิดความบาดหมางไม่เข้าใจกัน จนเกิดเป็นการทะเลาะกันบ่อยครั้ง  ผู้ชายชอบวางอำนาจ ถือว่าตัวมีร่างกายกำยำ กำลังที่แข็งแรงกว่า ทำตัวเป็นเจ้านายในครัวเรือน เอาเปรียบผู้หญิงอยู่เสมอ

เหล่าผู้หญิง จึงมารวมตัวเพื่อปรึกษากัน ครั้นจะลงโทษไม่ให้ฝ่ายชายเข้าบ้าน ไม่ให้ร่วมหลับนอนด้วย ก็กลัวว่าจะถูกใช้กำลังบังคับ ซึ่งในสมัยนั้น ยังไม่มี พ.ร.บ.ข่มขืน กระทำชำเราภรรยาของตัวเอง โดยไม่ยินยอม ก็อาจจะพลาดท่าเสียทีได้ แถมอาจกลายเป็นกระสอบทรายอย่างไม่มีเหตุผล เผลอ ๆ ก็ใช้เป็นเหตุอ้างไปหากิ๊กเพิ่มเติม

ครั้นจะไม่ยอมทำอาหารให้ ผู้ชายก็คงออกไปหากินเองได้ตามไร่นาป่าเขา ไอ้ที่จะเดือดร้อน ก็คงเป็นลูกเด็กเล็กแดง ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะพากันอดอยากไปด้วย

เมื่ออดรนทนไม่ไหว เหล่าหญิงในหมู่บ้าน จึงรวมตัวกันประกาศขอประลองกำลัง ท้าทายฝ่ายชายด้วยการแข่งขันสร้าง "ปราสาทหิน"  

ฝ่ายชายผู้โอหังก็รับคำท้า โดยทั้งสองฝ่าย ต่างกรีดเลือดสาบานว่า ถ้าหากฝ่ายของตนพ่ายแพ้ ก็จะยอมเป็นเบี้ยล่าง เป็นทาสให้ใช้งานเหมือนวัวควาย แต่หากฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแพ้ก็จะต้องเป็นนางทาสประจำบ้าน ให้โขกให้สับกันไปตลอดกาล โดยตกลงกันว่า ถ้าฝ่ายใดสร้างปราสาทหินเสร็จก่อน ต้องส่งสัญญาณ โดยปล่อยโคมไฟให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าให้อีกฝ่ายเห็น

กลุ่มหญิงรู้ตัวดีว่า ศึกสร้างปราสาทแข่งกับชายในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จึงขอแยกออกไปสร้างปราสาทในที่ไกลบ้าน โดยอ้างเหตุผลว่า ถ้าผู้ชายอยู่ใกล้จะทำให้เสียเปรียบ เพราะจะได้ยินคำนินทาถากถางว่าร้าย ข่มขู่ดูแคลน จะพาลทำให้เสียสมาธิ  ฝ่ายชายก็รีบตกลงเป็นมั่นเหมาะ เพราะก็คงอยากจะรีบแข่งขันให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว จะได้มีข้าทาสเอามาใช้ให้หนำใจ

ฝ่ายหญิงจึง จึงระดมพลตั้งแต่เด็กยันแก่กันทั้งหมู่บ้าน เดินทางไปยังเมืองวิมายปุระ แล้วก็เริ่มสร้างปราสาทหินขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬาร ฝ่ายชาย ที่อยู่ในหมู่บ้านรัตนปุระ ก็เร่งสร้างปราสาทหินที่มีขนาดเล็กกว่า เพราะไม่รู้จะสร้างใหญ่ไปเพื่ออะไร เพราะไม่ได้ตกลงเรื่องขนาดกันเอาไว้

เพียงยกแรกฝ่ายชายก็เป็นต่อหลายขุม เพราะผู้หญิงทำอะไรก็คิดมาก ชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่ประมาณตัว ไม่ชอบวางแผน เลยคิดกันว่า จะสร้างปราสาทหินให้ออกมาใหญ่โต กว่าพวกผู้ชาย ฝ่ายหญิงละเมียดละไมในการแกะสลัก ประดิดประดอย ส่วนฝ่ายชาย ก็สร้างไปก่อเรียงหินขึ้นไปแบบลวก ๆ กะว่าให้ถึงยอดก่อน แล้วค่อยกลับมาแกะสลักลวดลายกันทีหลัง

เวลาผ่านไปหลายปี ปราสาทหินของฝ่ายชาย ก็สร้างเรียงขึ้นไปจนถึงส่วนยอด จึงเริ่มแกะสลักกลุ่มบัวยอดปราสาท ให้สวยงามเป็นอันดับแรก เอาฤกษ์เอาชัย ประกาศศักดาข่มขวัญ ซึ่งก็ได้ผล ฝ่ายหญิงเห็นยอดปราสาทที่ฝ่ายชายก่อขึ้นมา ก็ให้ตกใจ เสียขวัญกันไปยกใหญ่ ก็พวกผู้ชายเขาร่วมมือร่วมใจกัน งานนี้พวกเราไม่รอดอย่างแน่นอน

แต่ในหมู่ของสตรี ก็มี “สติปัญญา” เป็นอาวุธหลายเล่มเกวียน พวกเธอจึงปรึกษากันว่า เราพลาดมากันแล้ว ที่ก่อปราสาทให้ใหญ่จนเกินตัว ฝ่ายชาย อีกไม่กี่เดือนก็คงจะสร้างเสร็จ จึงพากันคิดออกอุบาย มัดโครงไม้ไผ่ขึ้นเป็นปราสาท ห่อหุ้มด้วยผ้าขาว วาดสีลวดลายเหมือนจริงไปบนผ้า ทำให้ดูเป็นปราสาทหินสีขาว มองเห็นได้อย่างเด่นชัดมาแต่ไกล แล้วรีบปล่อยโคมไฟลอยขึ้นบนท้องฟ้า ในค่ำคืนนั้น ยังไม่พอ ฝ่ายหญิงยังจัดงานเฉลิมฉลอง จุดพลุไฟสว่างไสว ส่งเสียงแตรดนตรีประโคมดังสนั่น แล้วมาเต้นฟ้อนรำกัน ที่ลานหน้าปราสาท เป็นที่สนุกสนาน เพื่อให้ดูสมจริงสมจัง

ฝ่ายชาย เห็นโคมลอยและเสียงดนตรีงานฉลอง ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนัก จึงส่งหนุ่มน้อยหน้ามน มาเป็นสปาย แอบย่องไปดูฝ่ายหญิงว่า สร้างปราสาทเสร็จแล้วจริงหรือ ชายหนุ่มวัยละอ่อน ก็แอบล่องเรือขึ้นมา ถือโอกาสนี้ มาหาสาวคนรัก ที่ต้องแยกกันมานาน เพราะต่างคน ต้องมาช่วยฝ่ายของตัวเอง ในการแข่งขัน

หนุ่มมาเจอสาวเป็นยาม ที่ประตูเมืองอยู่พอดี จึงเข้าไปโอบกอดฟัดเหวี่ยงด้วยความคิดถึง หันไปเห็นปราสาทขาวแต่ไกล ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ จึงคิดจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่สาวเจ้าผู้เป็นที่รักและคิดถึง ก็ได้ขัดขวางไว้ โดยพิศวาสโอ้โลม ให้หนุ่มคนรักเชื่อสนิทใจว่า ปราสาทของฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วจริง ๆ

เมื่อความรักของหนุ่มสาว ได้เข้ามาเป็นตัวแปรตามในการแข่งขัน ตัวแปรหลักก็ต้องผันแปรตาม (ตามระเบียบวิธีวิจัย) กลุ่มหนุ่มน้อย จึงเดินทางกลับมายังหมู่บ้าน แล้วแจ้งข่าวกับหัวหน้าฝ่ายชายว่า ปราสาทฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้ว ตามที่ได้ให้สัญญาณโคมลอยแล้วจริง ๆ

เมื่อฝ่ายชายผู้เข้มแข็ง ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม  มือไม้อ่อนระทวยรวยแรงลง ด้วยเพราะสิ้นกำลังใจและกำลังกาย ด้วยเพราะต้องมาพ่ายแพ้ต่อฝ่ายหญิง จึงหันหน้าไปหาไหเหล้า "อุสาโท" มาดื่มเพื่อย้อมใจ ไหนๆ ก็จะต้องกลายไปเป็นขี้ข้าภรรยาตัวเอง ตามที่สาบานกันไว้ ศักดิ์ศรีและความหยิ่งทระนงตามนิสัยชาย ได้มลายหายไปจนสิ้น

ช่างชายบางคน ก็ยังคงแกะสลัก แบบ “ไว้ลาย” ตามทับหลัง ไม่ยอมหยุด ด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ก็หยุดสร้าง และไม่คิดจะแกะสลักกันต่อไปอีกแล้ว หลายคนประชดประชัน ด้วยการขึ้นไปรื้อหินที่สร้างขึ้นไปแล้ว พังมันลงมาซะเลย ไหน ๆ ก็แพ้แล้วนี่หว่า

เมื่อไม่มีการแข่งขันแล้ว กลุ่มหนุ่มน้อยก็พาเพื่อนชาย รีบไปหาคนรักที่เมืองวิมายปุระ หลังจากทำใจยอมแพ้ แต่เมื่อไปถึงก็พบว่า ฝ่ายหญิงยังสร้างปราสาทไม่เสร็จ ในทีแรกก็คงคิดจะโกรธ แต่ก็โกรธไม่ลงแล้ว จะโกรธไปเพื่ออะไร ในเมื่อคนที่พวกเขารัก ทั้งแม่ น้องสาวและคนรัก ต่างก็ต้องมาตกระกำลำบาก  สร้างปราสาทแข่งขัน เพียงเพื่อต้องการให้ชายรู้สำนึกว่า ควรจะให้เกียรติ ดูแลทะนุถนอม เอาใจใส่พวกเธอบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายไม่อยากจะทำ แต่ก็คงหลงลืมไปเยอะบ้าง หลังจากได้อยู่กินเป็นผัวเมียมานานจนเคยตัว

เพื่อไม่ให้เหล่าชายผู้ใหญ่ ที่ยังคงระทมอยู่ที่รัตนปุระ ต้องมารับรู้ว่าโดนฝ่ายหญิงลวง ชายหนุ่มทั้งหลาย เลยตัดสินใจมาช่วยเหล่าหญิงคนรัก สร้างปราสาทหินใหญ่จนสำเร็จ มิให้เหล่าคนรักของตนจะต้องผิดคำสัตย์สาบาน กลายเป็นปราสาทที่มีลวดลาย แกะสลักงดงามไปทุกส่วน เป็นดั่งอนุสรณ์แห่งความรักและความเข้าใจ ที่กลับคืนมาของหญิงและชาย ในขณะที่ปราสาทหินแห่งรัตนปุระ ถูกทิ้งให้พังทลายไม่สมบูรณ์ เป็นซากแห่งอดีตของความขัดแย้ง และความไม่เข้าใจกัน   

เมื่อความเข้าใจกลับคืนมา เหล่าชายบ้านรัตนปุระจึงยอมรับผิด ไม่คิดโกรธเคือง ในอุ

บายเล่มที่ร้อยหนึ่งของฝ่ายหญิง ที่ทำไป เพราะอยากจะสอนให้พวกเขาเป็นชายสมชาย และที่สำคัญ “ความรักและความคิดถึง” เมื่อยามต้องห่างไกลกัน ของทั้งสองฝ่าย คงได้ช่วยละลายความบาดหมางที่มีอยู่ในใจ จนมลายหายไปจนสิ้น ปราสาทหินพนมวัน จึงหยุดสร้างและไม่เคยสร้างต่อ นับแต่วันที่ความรัก ได้กลับคืนมาสู่บ้านรัตนปุระอันอบอุ่น ตั้งแต่นั้นมา

ปราสาทหินพนมวัน เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย สร้างขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ 15 ในสมัยเกาะแกร์ - บาแค็ง เป็นปรางค์ 5 หลัง แล้วมาถูกสร้างทับในยุคใกล้เคียงกันอีก รวมเป็นอาคารอิฐทั้งหมด 10 หลัง

ทางด้านทิศตะวันออกมี บาราย หรือสระน้ำขนาดใหญ่ประจำชุมชน เรียกว่า "สระเพลง" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงใช้ประโยชน์ได้อยู่

ในเขตที่ดอนของเมือง เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมา ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะบังเอิญในตอนขุดค้น เมื่อประมาณปี 2533 ก็ได้พบกับโครงกระดูกมนุษย์ ใต้ฐานปราสาทประธาน ที่มีร่องรอยของพิธีกรรม การฝังศพแบบตั้งใจฝัง ไม่ใช่การฆาตกรรม ซึ่งคงไม่มีใคร ไปตามจับฆาตกร เพราะคงตายไปนานแล้วเหมือนกัน

โครงกระดูกประมาณว่า อายุในราว 2,000 - 2,500 ปี โดยดูจากภาชนะขัดมันดำ ที่เขาเรียกกันอย่างกิ๋บเก๋ว่า ภาชนะแบบพิมายดำ ที่ถูกนำมาฝังรวมอยู่กับศพตามความเชื่อ เพื่อให้ผู้ตายนำเอาไปใช้ในโลกหน้า

ชุมชนโบราณพนมวัน มีเส้นทางน้ำ เชื่อมต่อไปยังลำน้ำขนาดใหญ่มานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ขนาดของลำน้ำก็ลงไปมาก ลำน้ำนี้แหละ คือถนนมิตรภาพโบราณ ที่เชื่อมชุมชนเมืองพนมวัน กับชุมชนเมืองพิมายเข้าด้วยกัน

ชุมชนเมืองพนมวัน เปลี่ยนแปลงไปหลายยุคหลายสมัย เพราะมีผู้คน เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายครั้ง คงเป็นเพราะเมืองพนมวันเป็นที่ดอน ตั้งอยู่กลางไร่นา น้ำท่วมขนาดใหญ่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ

จนมาถึงในราวพุทธศตวรรษที่ 16 จึงเริ่มมีการสร้างปราสาทแบบหินทรายขึ้น ซ้อนทับไปบนจุดเดิมที่เคยมีอาคารอิฐ ตั้งอยู่ในสมัยก่อนหน้า คงเพราะเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ย หรือยันตรมณฑลเป็นมงคล จึงไม่ยอมย้ายที่ไปสร้างจุดอื่น อิฐของปราสาทเก่า ได้กลายมาเป็นส่วนประกอบของปราสาทหลังใหม่ บางส่วนก็สร้างทับไปเลย

แผนผังของปราสาทหินพนมวัน มีรูปแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย จึงน่าจะสร้างในยุคไล่เลี่ยกัน คือในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะร่วมแบบบาปวน

รูปแบบของปราสาทประธาน เป็นแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 3 เท่า มีจารึกที่เสาประตูทางทิศใต้ ก็เป็นชื่อของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ที่สร้างเทวาลัย ถวายแด่เทพเจ้า แต่ก็ไม่ชัดว่า ถวายบูชาเทพเจ้าองค์ใด

ห่างไปประมาณ 300 เมตร ทางทิศตะวันออก มีร่องรอยของฐานอาคาร ที่มีการจัดวางหินศิลาแลงกรุเป็นผนังอย่างสวยงาม มีซุ้มประตู สลักหินทรายขนาดเล็กอยู่ 4 ด้าน เรียกกันแต่เดิมว่า เนินนางอรพิมพ์ หรือ เนินอรพิม ตามนิทานเรื่อง พระเจ้าพรหมทัตและนางอรพิม อันเป็นที่มาของชื่อเมืองพิมาย ที่เล่าว่า มาจากคำอุทานของนางอรพิมว่า พี่มาแล้ว

เมื่อมีการขุดแต่งฐานอาคารดังกล่าว ก็ให้แปลกใจ เพราะเป็นฐานอาคาร ที่มีระเบียบแบบแผน มีการแกะสลักฐานศิลาแลง สวยงามและสมบูรณ์ มีซุ้มประตู ที่รูปสลักหินทรายแดง ประดับประตูสวยงามทั้ง 4 ด้าน แต่ก็แตกหักสูญหายไปมาก

เนินอรพิม น่าจะเป็นอาคาร พลับพลาลงสรง ในรูปแบบพิเศษ ที่ไม่เคยพบในที่อื่นๆ ของประเทศไทย ด้านบนเป็นอาคารไม้ มีบ่อน้ำวนล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน โดยผันน้ำมาจากบารายสระเพลง ที่อยู่ใกล้ ๆ ใช้เป็นเรือนสำหรับรับรองเจ้านาย หรือเป็นวังของผู้ปกครองเมืองพนมวัน แล้วก็เป็นพลับพลาพระตำหนัก รับเสด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หรือผู้แทนพระองค์ ที่น่าจะเดินทางมาถึงปราสาทพนมวัน ในยุคพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อถวายพระพุทธรูปพระชัยพุทธมหานาถ

คงเพราะเนินอรพิม มีรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัย แตกต่างไปจากปราสาทหินพนมวัน ที่ดูทรุดโทรม จึงดูน่าจะเป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อกษัตริย์ มากกว่าเป็นเทวาลัยแห่งเทพเจ้า

แม้ไม่ทราบว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 มีประวัติอย่างไรบ้าง แต่ปราสาทที่มีชื่อของพระองค์ จารึกอยู่นี้ กลับมีร่องรอยของการสร้างไม่เสร็จอย่างรุนแรง ปรากฏไปทั่วปราสาท

 ขั้นตอนในการสร้างปราสาทพนมวัน คงเริ่มต้นจากการรื้ออาคารอิฐ ในยุคก่อนหน้า ออกไปพร้อม ๆ กับการสร้างใหม่ ชุมชน ก็คงมาตั้งอยู่ใกล้กับบาราย ส่วนครัวเรือนของเหล่าช่างแขนงต่าง ๆ ก็น่าจะมาตั้งบ้านเรือน ใกล้กับสถานที่ก่อสร้าง เพราะปรากฏร่องรอยของเตาเผา ภาชนะดินเผา อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

การก่อสร้าง คงยากลำบากไม่น้อย เพราะแถบนี้ ไม่มีภูเขาหินทราย จึงต้องไปเอาหินทรายมาจากที่ไกล แล้วขนมา จึงใช้หินทรายแดงที่มีคุณภาพต่ำ ผสมกับหินทรายสีขาวเทา เพราะแหล่งวัตถุดิบที่ใกล้สุด มีหินทรายทั้งสองสีผสมกัน ช่างคงแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่เป็นแรงงาน ในการขนย้ายหินมาจากภูเขา ที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนที่ประกอบหิน ส่วนที่ขัดผิวหน้าโกลนหิน ส่วนช่างแกะสลักลวดลายส่วน เช่น หน้าบัน ทับหลัง เชิงชาย เสาลายลูกมะหวด รากฐานของปราสาท จะอัดทราย แล้วปูพื้นด้วยศิลาแลงชั้นหนึ่ง แล้วนำหินทรายสีขาวเทา ที่มีความแข็งแรง มาเป็นฐานชั้นบน

ช่างในส่วนที่ทำระเบียงคดและโคปุระ ก็ได้ขึ้นเสาหน้าต่าง เจาะรูเสาเป็นเดือย เพื่อเตรียมใส่เสาลายลูกมะหวด แต่ก็ยังใส่ไม่หมด เพราะในส่วนหลังคา ยังไม่ได้สร้างขึ้นไป

การก่อสร้างดูสะเปะสะปะ หินทรายใหญ่เล็กคนละสี ก็มาเรียงกัน สลับไปมาเป็นผนังได้ ในทางทิศใต้ แต่ในส่วนอื่น ๆ กลับก่อผนังระเบียงได้เพียงบางส่วน

ปราสาทประธาน ก็มีร่องรอยการแกะสลักเสาขอบประตู เป็นลายก้านต่อดอก ในหลายจุด แกะสลักทับหลังได้เพียงสองถึงสามชิ้นเท่านั้น เรือนยอดปราสาท ก็น่าจะก่อขึ้นไปจนสำเร็จ จนถึงบัวกลุ่มยอดปราสาท ส่วนฐาน ก็มีการขัดโกลนหิน ให้ผิวหน้าเสมอกัน เพื่อเตรียมแกะสลักเป็นฐานเขียง

หลังการสร้างไม่นาน ส่วนเรือนปราสาทประธาน คงพังถล่มลงมา หลังจากนั้น จึงมีการสร้างปรางค์น้อย ที่นำวัสดุของปราสาทประธาน ที่พังลงมานั่นแหละ เอามาทำ แล้วจึงมีการนำพระพุทธบาทหินทรายแดง มาประดิษฐานไว้ ในสมัยต่อมา

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หรือผู้แทนพระองค์ ก็น่าจะเสด็จมาที่พนมวันสักครั้งหนึ่ง จึงเกิดการสร้างพลับพลาชัยวรมัน ที่เนินนางอรพิมขึ้น แล้วจึงถวายพระชัยพุทธมหานาถ และพระพุทธรูป หรือพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวรองค์ต่าง ๆ ของนิกายวัชรยานตันตระ ไว้ในตัวปราสาท ที่ทิ้งร้างและสร้างไม่เสร็จ มาในยุคก่อนหน้า

จากการขุดค้นทางโบราณคดี โดยกรมศิลปากร ทำให้เรารู้ว่า ปราสาทหินพนมวัน สร้างขึ้นจนเป็นยอดปราสาทโดยสมบูรณ์ แต่ก็พังทลายแบบถล่มลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ชิ้นส่วนรูปสลัก ที่มีอยู่ไม่มากนักกระทบกันจนแตกหัก เรือนยอดปราสาทแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็ก จนยากที่จะซ่อม หน้าบัน ก็มีหลงเหลือจนเกือบครบทุกด้าน มีทั้งที่ยังไม่เริ่มแกะสลัก ไปจนถึงแกะสลักเสร็จแล้ว

เรือนปราสาทที่พังถล่มลง และชิ้นส่วนประกอบ ของสถาปัตยกรรมทั้งหมด ถูกนำมาเรียงไว้บริเวณลานด้านนอก ทางทิศตะวันตก มีบัวกลุ่มยอดปราสาท ที่สมบูรณ์สวยงาม รวมทั้งเครื่องประดับ เครื่องบน รูปสลักเชิงชาย หน้าบัน และร่องรอยชิ้นส่วนศิลปกรรม ส่วนที่สลักไว้ก็สวยงามจริง ๆ ส่วนที่จะไม่สลัก ก็ไม่แกะสลักเอาเลย สร้างแบบค้าง ๆ คาเอาไว้

โพสท์โดย: ประเสริฐ ยอดสง่า
อ้างอิงจาก:
https://youtu.be/ocaw-5NMmYs?si=J09dCbQyaZvVDy6p
เรื่องเล่าพื้นบ้าน การแข่งขันสร้างปราสาทระหว่างหญิงกับชาย ที่ “พิมาย–พนมวัน”
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: เป็ดปักกิ่ง
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
คอลเลกชัน Squishmallows ของ Sabrina Dausman ใหญ่ที่สุดในโลก
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ลีน่า จัง" ร่ำไห้ ซัด! "หนุ่ม กรรชัย" ทำลายชีวิต..พิธีกรดังโต้กลับ ไม่ให้ค่า!!ชินนารา มาดินกูโลวา: ผู้พิชิตข้อจำกัดทางกายภาพ โดยการยิงธนูด้วยเท้าตำรวจออกหนังสือด่วน เน้นเข้มงวดกับ ‘เจ้าหนี้นอกระบบ’ ที่ข่มขู่ทวงเงินหมื่น หากพบเจอให้จับกุมทันที!
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
ไม่ได้โม้! ซุปเปอร์บอน น็อค โจ ณัฐวุฒิ ชนะยก 1จีนเจน Z ปรับตัวเข้ากับ "เศรษฐกิจของเลียนแบบ" ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจชายส่งอาหารชาวจีนวัย 55 ปี เสียชีวิตหลังทำงาน 18 ชั่วโมงต่อวัน ทิ้งครอบครัวไว้ในความยากลำบากP.Diddyไม่กล้ากินอาหาร!กลัวถูกวางยาในคุก!
ตั้งกระทู้ใหม่