พระราชินีองค์สุดท้ายแห่งมองโกเลีย ผู้ถูกประหารชีวิตโดยคอมมิวนิสต์ (สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล)
หลังจากที่สมเด็จพระราชินีทเซนดิน ดองด็อกดูลามสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1923 สิริพระชนมายุ 47 พรรษา ในช่วงนั้นบอดจ์ ข่าน ซึ่งเป็นร่างอวตารของจอว์ซาน ดัมบา คูทักต์ องค์ที่ 8 (His Holiness the 8th Jebtsundamba Khutughtu) ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่สามในลำดับชั้นทางศาสนาพุทธแบบทิเบต โดยลำดับที่หนึ่งและที่สองคือ ทะไลลามะและปันเชนลามะ ตามลำดับ ทำให้ดังนั้นจึงมีการขนานนามพระองค์ว่า "บอจโด ลามะ" พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของพระพุทธศาสนาสายทิเบตในเขตมองโกเลียส่วนนอก แต่การปกครองมองโกเลียของบอดจ์ ข่านนั้นไม่ราบรื่น พระองค์ต้องเป็นกษัตริย์แต่เพียงในนาม ทรงต้องเป็นประมุขภายใต้รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต นายกรัฐมนตรีบาลินกิน เซเร็นดอร์จ (Balingiin Tserendorj) เป็นนักการเมืองที่มาจากพรรคประชาชนมองโกเลีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต เซเร็นดอร์จสืบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากดามดินบาซาร์ (Damdinbazar) บอดจ์ ข่าน ต้องอยู่ภายใต้กำมือของนักการเมืองคอมมิวนิสต์แนวหน้าทั้งหลาย ที่เข้ามาแย่งชิงอำนาจกันก่อนที่เซเร็นดอร์จจะได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก
บอดจ์ ข่านทรงเสียพระทัย ที่สมเด็จพระราชินีทเซนดินสิ้นพระชนม์ จึงทรงใช้พระชนม์ชีพที่เหลืออยู่อย่างลำพัง แต่ก็ทรงรู้ว่ามีความจำเป็นที่ต้องรับพระมเหสีใหม่ พระองค์ทรงปล่อยให้มองโกเลีย อยู่ภายใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ ราชสำนักของพระองค์ หวังจะรักษาให้สถาบันกษัตริย์ ยังคงอยู่ในมองโกเลียต่อไป โดยมองว่า การอภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณีอีกครั้ง จะทำให้ประชาชนมีความศรัทธา และเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ ของวัฒนธรรมมองโกล และวัฒนธรรมแบบพุทธศาสนาสายทิเบต ข้าราชสำนักแห่งจอว์ซาน ดัมบา คูทักต์ องค์ที่ 8 จึงออกเดินทางไปสืบเสาะหาว่าที่พระราชินีพระองค์ใหม่ เพื่อให้บอดจ์ ข่านทรงเลือกนางเป็นมเหสีแต่ในนามเท่านั้น ในฤดูร้อน ปี 1923 พวกเขาจึงเสาะหาหญิงสาวจากเผ่าคัลคามองโกล (Khalkha Mongolia) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในมองโกเลีย บอดจ์ ข่านนั้นเป็นชาวทิเบตที่ได้มาปกครอง จึงต้องหาสตรีชาวมองโกลมาคู่บัลลังก์ ซึ่งอดีตพระราชินีทเซนดินเป็นชาวมองโกล และมีชาติกำเนิดเป็นหญิงรับใช้ ในที่สุดเหล่าข้าราชสำนักก็เลือกเด็กสาวมา 15 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 18 – 20 ปี และก็เลือกเด็กสาวอายุ 19 ปีผู้งดงามที่สุด อีกทั้งเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง นางชื่อว่า เกอเนอพิล (Genepil) เกอเนอพิลเกิดในปี 1905 นางแต่งงานอยู่แล้วและมีบุตรแล้ว ซึ่งข้าราชสำนักผู้นั้น ก็ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้แก่บอดจ์ข่าน
จากคำบอกเล่าของบุตรสาวของเกอเนอพิล ระบุว่า แม่ของนาง ถูกนำตัวมายังพระราชวังบอดจ์ข่าน ในเวลากลางคืน ซึ่งนางก็คงต้องยอมรับชะตากรรม ที่จะต้องอภิเษกสมรสกับข่าน เกอเนอพิลทราบว่าจอว์ซาน ดัมบา คูทักต์ องค์ที่ 8 นั้นทรงมีพระชนมายุ 53 พรรษาแล้ว พระองค์ทรงเกือบตาบอดแล้วและขยับพระองค์ไม่ได้ ทรงประชวรจนอ่อนแออย่างมาก เกอเนอพิลทราบว่า อีกไม่นานก็คงได้ออกจากวัง และได้กลับไปหาสามีคนแรก ที่ถูกพรากจากมา เมื่อเกอเนอพิลทราบว่า ต้องอภิเษกสมรสจริง นางก็คัดค้านอย่างหนัก และทูลขอองค์ข่าน ให้อนุญาตให้เธอกลับบ้านบิดามารดา ตามธรรมเนียมของมองโกเลีย องค์ข่านไม่มีทางเลือก จึงต้องอนุญาตส่งนางกลับไป เกอเนอพิล ได้กลับมายังกระโจมของบิดามารดา แต่ต่อมา ข้าราชสำนัก ก็กลับมาหานางอีกครั้ง และวิงวอนขอให้เกอเนอพิล กลับไปที่พระราชวัง และเตือนให้เกอเนอพิล ทำตามจิตสำนึกในความรักชาติบ้านเมือง ข้าราชสำนักบอกว่า ประเทศของเธอ และพระมหากษัตริย์ของเธอนั้นต้องการเธอ และสุดท้ายเกอเนอพิลก็ยอมแพ้ที่จะดึงดัน เพราะหน้าที่ต่อประเทศชาตินั้น สำคัญสำหรับเลือดขุนนางของนาง
การอภิเษกสมรสได้จัดขึ้น และมีการสถาปนาเกอเนอพิล ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล เป็นพระมเหสีองค์ที่สองของบอดจ์ ข่าน ด้วยความหวังที่จะฟื้นฟูเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ของนายกรัฐมนตรีบาลินกิน เซเร็นดอร์จ แต่ถึงกระนั้น ในมองโกเลีย อำนาจของราชวงศ์ก็หมดสิ้นไปแล้ว เวเร็นดอร์จเอง ไม่ได้คิดต่อต้านราชวงศ์แต่บอดจ์ ข่านทรงไร้รัชทายาท การสืบบัลลังก์คงเป็นที่สิ้นสุด และคงใช้วัฒนธรรมการสืบหาร่างอวตาร มาครองราชย์อีกคงใช้ไม่ได้ ในยุคปัจจุบัน สหภาพโซเวียต ควบคุมมองโกเลียเสมือนเมืองขึ้น สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล ทรงอยู่ในฐานะพยาบาลที่คอยพยาบาลบอดจ์ ข่านขณะทรงพระประชวรหนัก จนบอดจ์ ข่านสวรรคตในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1924 สิริพระชนมายุ 55 พรรษา เซเร็นดอร์จได้เป็นหัวหน้าคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากที่คณะกรรมการก่อนหน้านี้ “ทำผิดพลาด” ในการผสมผสานรัฐธรรมนูญ ตามแนวคิดกฎหมายยุโรป และกฎหมายระหว่างประเทศ คณะกรรมกาธิการของเซเร็นดอร์จ ได้รับแรงกดดันจากสหภาพโซเวียต ซึ่งให้มีการอนุมัติรัฐธรรมนูญ ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นเสียอีก รัฐธรรมนูญใหม่ ทำการยุบเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ และจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ เซเร็นดอร์จ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ในประเทศมองโกเลีย ที่เป็นคอมมิวนิสต์
นับตั้งแต่การปฏิวัติมองโกเลียในปี 1921 ประเทศจึงตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของสหภาพโซเวียต กองทัพโซเวียตประจำการในประเทศมองโกเลียเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลยังคงดำเนินตามแนวคิดคอมมิวนิสต์ต่อไปและไม่มีวันหวนคืนไปสู่ระบอบกษัตริย์ เซเร็นดอร์จแม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็ไม่ค่อยพอใจที่สหภาพโซเวียตใช้อำนาจกดดัน แต่เขาก็ไม่มีอำนาจในการต่อต้านโซเวียต โดยเฉพาะโซเวียตพยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาในมองโกเลียด้วยการทำลายวัดวาอาราม เซเร็นดอร์จมองว่า แนวคิดของโซเวียตใช้ไม่ได้กับวัฒนธรรมมองโกล ชาวมองโกลยังศรัทธาในศาสนาพุทธและมีวัฒนธรรมชนเผ่า สหภาพโซเวียตต้องการทำลายรากวัฒนธรรมเดิมเหล่านี้ จึงขัดแย้งกับเซเร็นดอร์จ แต่เขาก็สุขภาพทรุดโทรมและชรามากจนกระทั่งตายในปี 1928
สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล ทรงกลับมายังกระโจมของตระกูล ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่า ทรงอภิเษกสมรสใหม่ หรือกลับมาอยู่กับสามีเก่า พระนางได้รับอนุญาตให้ใช้พระอิสริยยศเดิมได้ และมีชาวมองโกเลีย ให้ความเคารพนับถือพระนาง ในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เมื่อข่านสวรรคต พวกคอมมิวนิสต์ที่สนับสนุนโดยโซเวียต ก็เลิกเสแสร้งที่ทำทีเคารพกษัตริย์อีก จึงหันมาต่อต้านระบอบเก่าทั้งหลาย สหภาพโซเวียต กดดันให้ทำลายล้างระบอบเก่าเสียสิ้น หลังจากเซเร็นดอร์จ ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านการทำลายวัฒนธรรมชนเผ่ามองโกล และปกป้องทรัพย์สินส่วนตัวของประชาชนได้ตายลง พวกคอมมิวนิสต์รุ่นใหม่จึงเหิมเกริมขึ้น
ด้วยสถานะทางราชวงศ์ ของสมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล จึงทำให้พระนางตกเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่ต้องกำจัด เพื่อป้องกันการฟื้นฟูระบอบเก่า พระราชินีถูกจับกุมในปีค.ศ. 1937 บุตรสาวของเธอที่ชื่อ เซเร็นคาน (Tserenkhand) จดจำได้ถึงเหตุการณ์ที่แม่ของเธอหายตัวไปได้ เธอเล่าว่า "พวกเขาจับตัวแม่ไปในตอนกลางคืน แม่ไม่ได้เข้ามาปลุกพวกเรา แต่แม่ทิ้งเศษชิ้นน้ำตาลไว้ที่หมอนของเรา ฉันยังคงจดจำช่วงเวลานั้นซึ่งเรายังเด็กมาก เรามีความสุขที่ตื่นมาเจอก้อนน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารอันโอชะในตอนนั้น" (โดยที่ไม่รู้ว่าแม่ได้หายตัวไปแล้ว) สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิลทรงถูกจับกุมโดยผู้นำโดยพฤตินัยของมองโกลคือคอร์ลูกิน ชอยบัลซาน (Khorloogiin Choibalsan) ที่ถูกขนานนามว่า “สตาลินแห่งมองโกเลีย” และโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) แห่งโซเวียตได้ออกคำสั่งให้รัฐบาลมองโกลทำการฆ่าล้างผู้ต่อต้านให้หมดทั้งพวกคอมมิวนิสต์ด้วยกันที่เป็นศัตรูต่อระบอบ พวกพระสงฆ์และพวกขุนนางราชวงศ์ สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิลรวมทั้งครอบครัวของพระนาง ทั้งบิดามารดาของพระนางได้ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเสียสิ้นในปีค.ศ. 1938 มีประชาชน พระลามะ ชาวบรูยัต ชาวคาซัคถูกสังหารในเหตุการณ์ครั้งนี้ราว 20,000 ถึง 35,000 คน ด้วยข้อหา “เป็นศัตรูของการปฏิวัติ”
ครอบครัวบางส่วน รวมถึงธิดาของพระนางที่รอดมาได้ และได้เล่าเรื่องราวของราชินีองค์สุดท้ายให้โลกรู้ แม้หลักฐานจะตกทอดมาเพียงเล็กน้อย ภาพของหญิงนิรนามที่ระบุว่า เป็นชนชั้นสูงมองโกเลีย ในวันแต่งงาน ที่ผ่านสายตาชาวโลกมานาน ก็ได้ถูกเปิดเผยว่า เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล ผู้ถูกสังหารโดยระบอบคอมมิวนิสต์ และภาพนี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจไอคอน ด้านการแต่งกายให้แก่ภาพยนตร์เรื่อง สตาร์ วอร์ (Star Wars) ในฉลองพระองค์ ของพระราชินีแห่งดาวนาบู (Queen of Naboo) คือ แพดเม่ อามิดาลา (Padme Amidala) นั่นเอง