ภักตปุระ เป็นเมืองในมุมตะวันออก ของหุบเขากาฐมาณฑุ
ภักตปุระ (เนปาลีและสันสกฤต: भक्तपुर; แปลว่า "เมืองแห่งผู้ศรัทธา") หรือที่รู้จักในชื่อท้องถิ่นว่า คโวปา (Khwopa) เป็นเมืองในมุมตะวันออก ของหุบเขากาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุประมาณ 13 กิโลเมตร แม้จะเป็นเมืองที่เล็กที่สุดในเนปาล แต่กลับมีประชากรหนาแน่นที่สุด และเป็นหนึ่งในสามเมืองหลัก ของหุบเขากาฐมาณฑุ ร่วมกับกาฐมาณฑุและลลิตปุระ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม นิวาร และเป็นที่รู้จักในด้านอาหารและงานฝีมือ นอกจากนี้ ภักตปุระ ยังได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวปี ค.ศ. 2015
ประวัติศาสตร์ภักตปุระ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ลิจฉวี แม้จะถูกกล่าวถึง ว่าเริ่มก่อตั้งในศตวรรษที่ 12 แต่ก็เคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคลิจฉวีแล้ว เมืองนี้ เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกาฐมาณฑุ ในสมัยราชวงศ์มัลละ และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคนี้ ด้วยการค้าระหว่างอินเดียและทิเบต หลังจากถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรกอร์ขา ในปี ค.ศ. 1769 เมืองนี้ก็เข้าสู่ช่วงซบเซา จนกระทั่งได้รับการฟื้นฟู ในช่วงปี ค.ศ. 1980 ด้วยความช่วยเหลือ จากโครงการพัฒนาโดยเยอรมนีตะวันตก
วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ภักตปุระ เป็นศูนย์รวมประเพณีและเทศกาล เช่น เทศกาลบิสกา จาตรา (Biskā Jātrā) และไก จาตรา (Gai Jātrā) นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อในฐานะ "เมืองแห่งดนตรีและการเต้นรำ" เนื่องจากมีการเต้นรำแบบดั้งเดิมกว่า 200 ประเภท อาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ "จูจูเดา" (Juju Dhau) หรือโยเกิร์ตจากนมควาย ภักตปุระ ยังเป็นที่รู้จักในด้านงานเครื่องปั้นดินเผา และหัตถกรรมแบบดั้งเดิม และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979
นิรุกติศาสตร์
ชื่อ "ภักตปุระ" พบครั้งแรกในจารึกปี ค.ศ. 928 โดยเป็นการแปลจากชื่อเดิมในภาษานิวารว่า "คโพริง" (Khopring) ซึ่งหมายถึง "หมู่บ้านข้าวสุก" ส่วนชื่อ "คโวปา" (Khwopa) ซึ่งเป็นชื่อในภาษานิวาร ปรากฏครั้งแรกในต้นฉบับ ปี ค.ศ. 1004 หลังจากการยึดครองโดยกองทัพกอร์ขา ในปี ค.ศ. 1769 ชื่อเมืองถูกเรียกว่า "ภัตกาวน์" (Bhatgaon) ซึ่งเป็นคำแปลในภาษาฮินดูสถานี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1930 นายกรัฐมนตรีจุดธะ ชุมเชร์ รานา ได้ประกาศให้ใช้ชื่อเดิม "ภักตปุระ" ซึ่งหมายถึง "เมืองแห่งผู้ศรัทธา"
ตำนานและประวัติยุคโบราณ ตำนานกล่าวว่า หุบเขากาฐมาณฑุ เคยเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ก่อนที่โพธิสัตว์มัญชุศรีจะตัดภูเขา เพื่อระบายน้ำออก นักธรณีวิทยายืนยันว่า หุบเขานี้ เคยเป็นก้นทะเลสาบจริงจากร่องรอยธรณีวิทยา ชุมชนยุคแรก ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานคือเผ่าโกปาลและมหิศปาล ตามมาด้วยการปกครองของราชวงศ์กีราต หลักฐานทางจารึกในยุคลิจฉวี ยังยืนยันว่า มีชุมชนนิวารอาศัยอยู่ ก่อนที่ลิจฉวีจะมาถึง เชื่อว่าชนเผ่าเจปู (Jyāpu) ในปัจจุบันคือลูกหลานของชาวกีราต และภาษานิวารมีรากฐานจากภาษาของชาวกีราต
สรุป ภักตปุระ เป็นมากกว่าเพียงเมืองโบราณ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และศรัทธา ซึ่งยังคงมีชีวิตชีวาผ่านเทศกาล อาหาร และงานฝีมือ ทำให้เป็นหนึ่งในมรดกที่ทรงคุณค่าของเนปาล
ภัคตปุระ: พงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์ ยุคโบราณแห่งราชวงศ์ลิจฉวี
ประวัติศาสตร์ของภัคตปุระ ย้อนกลับไปถึงสมัยราชวงศ์ลิจฉวี โดยมีการค้นพบจารึกจากปี ค.ศ. 594 ในเขตโกมาริ, ตุลาจะ และทาลาโก ซึ่งถูกจารึกในรัชสมัยของพระเจ้าอัมศุวรมะ จารึกเหล่านี้แสดงให้เห็นโครงสร้างสังคมและการปกครอง โดยแยกความแตกต่างระหว่างชุมชน 'ดรังคะ' (draṅga) ที่มั่งคั่งกับ 'ครามะ' (grāma) ที่มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึง 'มาขโพรึง' (Mākhopring) ว่าเป็นส่วนย่อยของ 'โขพรึง' (Khopring) ทั้งนี้ ฮิติ (hiti) หรือรางน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของภัคตปุระก็มีมาตั้งแต่ยุคลิจฉวี และเชื่อกันว่าสร้างขึ้นโดยราชินีในตำนาน ตุลารานี (Tulā Rāni) ผู้สร้างคลองราชกุโล (Rajkulo) สำหรับส่งน้ำเข้าสู่เมือง
การก่อตั้งและการรวมเมืองโดยพระเจ้าอนันทเทวะ
ในศตวรรษที่ 12 พระเจ้าอนันทเทวะ (1146–1167) ได้รวมชุมชนต่าง ๆ เช่น มาขโพรึง ให้เป็นเมืองภัคตปุระ และสถาปนาศาลหลวงตรีปุระราชกุละ (Tripura Rājkula) พร้อมประกาศให้เป็นเมืองหลวงของเนปาล พระองค์ยังได้สร้างศาลเจ้าแม่มารตฤกา (Matrika) ทั้งแปดแห่ง และศาลเจ้าตรีปุราสุนทรี (Tripura Sundari) ซึ่งจัดวางตามแนวคิดของมณฑลศักดิ์สิทธิ์
ความขัดแย้งราชวงศ์แ
ละการปกครองโดยเทวลเทวี
ในศตวรรษที่ 14 เกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้น เทวลเทวี (Devaladevi) พระขนิษฐาของพระเจ้ารุทรมาลละ (Rudra Malla) ได้ขึ้นปกครองในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนหลานสาวของพระนาง คือ ราชลักษมีเทวี (Rajaldevi) หลังจากที่หนีการรุกรานของสุลต่านเดลีที่แคว้นติรุหุต (Tirhut) พระนางยังได้บูรณะเมืองภัคตปุระ หลังจากถูกทำลายจากการบุก ของชัมศุดดิน อิลยาส ชาห์ แห่งเบงกอล ในปี ค.ศ. 1349
การปฏิรูปในยุคพระเจ้ายายสถิติมาลละ (1355–1395)
พระเจ้ายายสถิติมาลละ (Jayasthiti Malla) พระสวามีของราชลักษมีเทวี ได้ฟื้นฟูความมั่นคงและปฏิรูปหลายด้าน โดยจัดระเบียบระบบวรรณะตามอาชีพ ส่งเสริมการใช้ภาษาเนวาร์ในงานราชการและวรรณกรรม และทรงรจนาพงศาวดาร โคปาลราชวามศาวลี (Gopal Raj Vamshavali) ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
พระเจ้ายักษมาลละและก
ารแตกแยกของอาณาจักร (1428–1481)
พระเจ้ายักษมาลละ (Yaksha Malla) พระนัดดาของพระเจ้ายายสถิติมาลละ ได้เสริมสร้างป้อมปราการและสถาปนาประเพณีการบำรุงรักษาเมืองประจำปีในเทศกาลสิทินักษะ (Sithi Nakha) หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1481 อาณาจักรถูกแบ่งแยก โดยพระโอรสองค์โต รายามาลละ (Raya Malla) ปกครองภัคตปุระ ส่วนพระโอรสองค์อื่น ๆ ตั้งอาณาจักรใหม่ที่กาฐมาณฑุและบาเนปา
พงศาวดารนี้ สะท้อนถึงการเดินทางผ่านยุคสมัยของภัคตปุระ ตั้งแต่รากฐานโบราณ จนเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญในประวัติศาสตร์เนปาล
ภัคตปุระ: พงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์
ราชวงศ์ลิจฉวี และการกำเนิดเมืองประวัติศาสตร์ ของภัคตปุระเริ่มจากยุคราชวงศ์ลิจฉวี โดยมีจารึกตั้งแต่ปี ค.ศ. 594 สะท้อนถึงโครงสร้างสังคมและการชลประทานโบราณ ที่เชื่อว่า สร้างโดยราชินีตุลารานี (Tulā Rāni) เพื่อส่งน้ำเข้าสู่เมืองผ่านคลองราชกุโล (Rajkulo)
พระเจ้าอนันทเทวะและการรวมอาณาจักร ในศตวรรษที่ 12 พระเจ้าอนันทเทวะ (1146–1167) สถาปนาเมืองภัคตปุระเ ป็นศูนย์กลางการปกครองและสร้างศาลตรีปุระราชกุละ (Tripura Rājkula) พร้อมจัดวางศาลเจ้าแม่มารตฤกา (Matrika) ตามคติศักดิ์สิทธิ์
การฟื้นฟูเมือง ภายใต้เทวลเทวี หลังจากการรุกรานของชัมศุดดิน อิลยาส ชาห์ ในปี ค.ศ. 1349 เทวลเทวี (Devaladevi) ได้บูรณะเมือง และฟื้นฟูความมั่นคงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
การปฏิรูป ยุคพระเจ้ายายสถิติมาลละ พระเจ้ายายสถิติมาลละ (1355–1395) ปรับปรุงระบบวรรณะ ส่งเสริมการใช้ภาษาเนวาร์ในราชการ และทรงรจนาพงศาวดารโคปาลราชวามศาวลี (Gopal Raj Vamshavali)
การแบ่งแยกอาณาจักร ในยุคพระเจ้ายักษมาลละ พระเจ้ายักษมาลละ (1428–1481) สร้างป้อมปราการและจัดเทศกาลสิทินักษะ (Sithi Nakha) แต่หลังสวรรคต อาณาจักรถูกแบ่งระหว่างรายามาลละ (Raya Malla) ที่ครองภัคตปุระ และพระโอรสองค์อื่น ที่ปกครองกาฐมาณฑุและบาเนปา
พงศาวดารนี้ สรุปการเดินทางผ่านยุคสมัยของภัคตปุระ ตั้งแต่รากฐานโบราณ จนเป็นศูนย์กลางการเมือง และวัฒนธรรมของเนปาล
ประวัติเมืองภัคตปุระ
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1769 ภัคตปุระถูกโจมตี และหลังจากพ่ายแพ้อย่างหนัก เมืองจึงยอมจำนนต่ออาณาจักรกอร์ขา ที่ต่อมา ได้ก่อตั้งเป็นอาณาจักรเนปาล
ยุครานา
หลังพ่ายแพ้ในปี 1769 ภัคตปุระ สูญเสียความสำคัญทางการเมืองและวัฒนธรรม ให้แก่กาฐมาณฑุและลลิตปุระ พ.ศ. 1792 พันเอกเคิร์ก แพทริก แห่งบริษัทอินเดียตะวันออก ได้เยี่ยมชมและบันทึกว่า เมืองนี้ มีสภาพดีกว่ากาฐมาณฑุและลลิตปุระ ต่อมาในปี 1847 พระราชา Rajendra Bikram Shah ถูกคุมขังที่นี่ และ Dhir Shumsher Rana นายกเทศมนตรี ได้รื้อพระราชวังเก่า เพื่อสร้างอาคารสไตล์อังกฤษ
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1833 และ 1934
ภัคตปุระ ได้รับความเสียหายหนักที่สุด ในหุบเขากาฐมาณฑุ โดยแผ่นดินไหวปี 1833 คร่าชีวิตผู้คนกว่า 200 ราย และทำลายบ้านเรือนกว่า 2,000 หลัง ส่วนแผ่นดินไหวปี 1934 ทำลายอาคารกว่า 6,224 หลัง รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมกว่า 177 แห่ง
ศตวรรษที่ 20 และโครงการพัฒนา
หลังสิ้นสุดยุครานาในทศวรรษ 1950 ภัคตปุระถูกละเลยจากการพัฒนา ทำให้กลายเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดในเนปาล ปัญหาน้ำสะอาดรุนแรงขึ้นเมื่อคลอง Rajkulo พังเสียหาย ในปี 1970 โครงการพัฒนาภัคตปุระโดยเยอรมนีตะวันตกช่วยบูรณะโครงสร้างเมืองและฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว
แผ่นดินไหวปี 2015
แผ่นดินไหวขนาด 7.8 แมกนิจูดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2015 ทำลายมรดกทางวัฒนธรรม 116 แห่ง รวมถึงจัตุรัสพระราชวังภัคตปุระอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม Chyasilin Mandap ที่สร้างใหม่ด้วยเทคโนโลยีป้องกันแผ่นดินไหวในปี 1990 ยังคงอยู่รอด
ข้อมูลประชากร
ในปี 2021 ภัคตปุระมีประชากร 79,136 คน โดยร้อยละ 90 เป็นชาวเนวาร์ ชุมชนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมของเมือง
















