เมตตา เป็นอาการทางใจที่ไม่คิดแค้น ไม่อยากให้ใครเจ็บปวด
อภัยจริง
จะโล่ง
เหมือนยกภูเขาออกจากอก
แกล้งยอมยกโทษให้
จะเก็บกด อึดอัด
หงุดหงิด ขัดแย้งกับตัวเอง
นี่คือสิ่งที่สามารถสำรวจตัวเองได้
พระพุทธเจ้าสอน
ให้ ‘อภัยไว้ก่อน’ แบบครอบจักรวาล
คือยังไม่ต้องมีเรื่อง
ก็ทำจิตให้เปิดแผ่ ไม่อยากเบียดเบียนใคร
อย่างที่เรียกว่า ‘แผ่เมตตา’
แต่การมีเมตตานั้น
ต่างกับการ ‘ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่โต้ตอบ’
เมตตา เป็นอาการทางใจ
ที่ไม่คิดแค้น ไม่อยากให้ใครเจ็บปวด
ขณะที่การ ‘ป้องกันตัว’ และ ‘บทลงโทษ’
เป็นสิ่งที่ชาวพุทธก็ยังทำอยู่
เพื่อไม่ให้ต้องได้ชื่อว่าอยู่อย่างดูดาย
เหมือนเช่นที่พระพุทธเจ้า
ทรงตั้งเงื่อนไขไม่ให้บางคนบวช
เพราะบางคนบวชเข้ามาแล้ว
รังแต่จะก่อความปั่นป่วนยุ่งเหยิง
และแม้บวชเข้ามาแล้ว
ก็ไม่ได้ปล่อยให้ทำตามใจชอบ
ทรงวางกฎกติกาไว้ชัดเจนว่า
ทำผิดแค่ไหน
ลงโทษสถานเบา
ขั้นทำให้อาย
ทำผิดแค่ไหน
ลงโทษสถานกลาง
ขั้นเลิกคบ เลิกคุย เลิกยุ่งเกี่ยวด้วย
ทำผิดแค่ไหน
ลงโทษสถานหนัก
ขั้นประหารจากความเป็นพระ
และถึงแม้จะบวชอย่างถูกต้อง
ถึงแม้จะรักษาวินัยครบทุกข้อ
ท่านก็ไม่เลี้ยงแบบทะนุถนอม
ดังคำที่ท่านตรัสไว้กะพระอานนท์ คือ
“อานันทะ ดูก่อน อานนท์
เราจักไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างทะนุถนอม
ประดุจช่างปั้นหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่
แต่เราจักกระหนาบแล้วกระหนาบอีก
ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก
ผู้มีมรรคผลเป็นแก่นสารเท่านั้น
จึงจักทนอยู่ได้”
สรุปคือเมตตาในทางพุทธ
แท้จริงคือจิตที่หวังดี ไม่คิดเบียดเบียน
แต่ก็ไม่ใช่ ‘ยอมให้ทุกอย่าง’
ดังที่หลายคนเข้าใจผิดและพูดๆกันครับ!





















