รีวิวประสบการณ์จริง: รู้ทันวัณโรค จากอาการไอธรรมดา สู่การเป็นผู้ป่วยติดเตียง
รีวิวประสบการณ์จริง: รู้ทันวัณโรค จากอาการไอธรรมดา สู่การเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการ ไอเรื้อรัง และ อ่อนเพลีย จะเปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล…
จากคนที่เดินได้ปกติ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงเพียงแค่ 15 วัน
จากคนที่ใช้ชีวิตตามปกติ กลายเป็นคนที่หลับไปหลายวันโดยไม่รู้ตัว
และจากแค่การป่วยวัณโรค กลายเป็นการต่อสู้เพื่อฟื้นคืนร่างกายของตัวเอง
วันนี้ฉันอยากแชร์ประสบการณ์นี้ให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อให้ตระหนักว่า วัณโรคไม่ได้ไกลตัว และมันสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้ภายในเวลาอันสั้น
จุดเริ่มต้น – แค่ไอ หรืออะไรร้ายแรงกว่านั้น?
ฉันเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักลดลงแบบไม่มีสาเหตุ ในช่วงปลายปี 2566 แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันจะร้ายแรง จนกระทั่งวันที่ 3 มกราคม 2567 ฉันต้องแอดมิตเข้าโรงพยาบาล
ในช่วงแรก ฉันยังสามารถเดินได้ แต่แล้วอาการเริ่มแย่ลง วันที่ 10 มกราคม แพทย์ส่งตัวฉันไปอีกโรงพยาบาล และจากนั้นฉันก็… หลับไป
ฉันไม่ได้รู้สึกตัวเลย 3 วันเต็ม ตื่นขึ้นมาอีกทีในวันที่ 13 มกราคม ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าฉันหลับไปนานขนาดนี้ มันเหมือนฉันถูก "ตัดขาด" จากโลกภายนอก ไม่มีความทรงจำของช่วงเวลานั้นเลย
หลังจากรับการรักษาในโรงพยาบาลจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2567 ฉันได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน แต่ฉันรู้สึกว่า… ร่างฉันเองยังไม่แข็งแรง
แอดมิตครั้งที่ 2
ฉันกลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงเดือน อาการของฉันกลับทรุดลงอย่างหนัก วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ฉันต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง และครั้งนี้มัน รุนแรงที่สุด
ฉันเริ่มเห็นภาพหลอน เพ้อ แยกไม่ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน ฉันกลัวไปหมด ทุกอย่างดูสับสนและหลอนประสาทไปหมด
27 กุมภาพันธ์ ฉันเข้าสู่ภาวะหมดสติ…
9 มีนาคม แพทย์ต้องเจาะคอเพื่อช่วยหายใจ เพราะความดันของฉันลดลงเหลือ 20 และอัตราการหายใจอยู่ที่ 25 ครั้งต่อนาที ซึ่งถือว่าอันตรายมาก
ฉันอยู่ในภาวะ "กึ่งหลับกึ่งตาย" จนกระทั่งวันที่ 11 มีนาคม ฉันรู้สึกตัวอีกครั้ง
ตอนนั้นฉันเหมือนคนที่เพิ่งฟื้นคืนชีพ ทุกอย่างดูแปลกไปหมด ฉันรู้สึกอ่อนแอมาก และร่างกายของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในที่สุด ฉันออกจากโรงพยาบาลวันที่ 21 มีนาคม 2567 แต่ความทุกข์ของฉันยังไม่จบเพียงเท่านี้…
จากคนเดินได้ปกติ สู่ผู้ป่วยติดเตียงใน 15 วัน
ช่วงเวลาที่ฉันหลับไปและอาการทรุดหนัก ทำให้กล้ามเนื้อของฉันฝ่อลงจนเดินไม่ได้
ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2567 ฉันเดินไม่ได้อีกเลย…
ฉันกลายเป็น ผู้ป่วยติดเตียง ทุกอย่างต้องพึ่งพาคนอื่น ฉันรู้สึกสิ้นหวัง และคิดว่าชีวิตนี้อาจไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
แอดมิตครั้งที่ 3
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ฉันพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ร่างกายของฉันยังไม่แข็งแรงพอ และสุดท้ายฉันก็ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งในวันที่ 14 เมษายน 2567 ครั้งนี้ฉันแอดมิตอยู่ในโรงพยาบาลนาน 1 เดือนเต็ม ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567ฉันต้องพยายามฝึกเดินใหม่เหมือนเด็กหัดเดิน ทุกก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก และฉันรู้สึกว่าขาข้างซ้ายของฉันแทบไม่มีความรู้สึก
แต่ฉันไม่ยอมแพ้…
ฉันพยายามกายภาพบำบัด ฝึกเดินทีละนิด จนในที่สุด วันที่ 4 มิถุนายน 2567 ฉันสามารถเดินได้อีกครั้ง แม้จะยังไม่คล่องแคล่ว แต่ฉันก็รู้ว่าฉันมาไกลกว่าที่คิด
ตอนนี้อาการของฉันดีขึ้นถึง 90% แล้ว แม้ว่าเท้าซ้ายจะยังมีอาการชาอยู่บ้าง แต่ฉันก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์นี้
1. วัณโรคไม่ใช่แค่ "ไอ" แต่มันทำลายร่างกายของคุณได้ทั้งระบบ
ใครที่คิดว่าวัณโรคเป็นแค่โรคไอ คิดใหม่เถอะ เพราะฉันคือหลักฐานว่ามันสามารถทำให้คุณเกือบตายได้จริง ๆ
2. อาการทรุดหนักอาจทำให้หมดสติได้นานหลายวัน
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายจะ "ชัทดาวน์" ไปเองแบบนี้ และฉันก็โชคดีที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
3. จากคนปกติสู่ผู้ป่วยติดเตียง ใช้เวลาแค่ 15 วัน
เพียง 15 วัน ฉันจากคนที่เดินได้ปกติ กลายเป็นคนนอนติดเตียง และต้องฝึกเดินใหม่ทั้งหมด
4. กำลังใจสำคัญที่สุดในการฟื้นตัว
การฟื้นตัวของฉันเป็นไปได้เพราะฉันมีความหวัง ฉันไม่ยอมแพ้ และฉันบอกตัวเองเสมอว่าฉันต้องเดินได้อีกครั้ง
วัณโรคเปลี่ยนชีวิตฉัน แต่ฉันก็เปลี่ยนตัวเองได้เช่นกัน
วัณโรคพรากชีวิตปกติของฉันไปหลายเดือน ฉันต้องเจ็บปวด ต้องทรมาน ต้องผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา แต่ในที่สุด ฉันก็กลับมายืนได้อีกครั้ง
ฉันอยากให้ทุกคนที่อ่านเรื่องนี้ อย่าประมาทกับวัณโรค ถ้าคุณมีอาการไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย หรือรู้สึกผิดปกติ รีบไปหาหมอ อย่าปล่อยให้มันลุกลามจนเกินเยียวยาเหมือนที่ฉันเคยเป็น
วัณโรครักษาหายได้ แต่ต้องไม่ปล่อยให้มันสายเกินไป
และที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะตกอยู่ในจุดที่เลวร้ายแค่ไหน จงเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านมันไปได้
✦ วันนี้ฉันรอดมาได้ และฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันจะช่วยให้คุณ "รู้ทันวัณโรค" ก่อนที่มันจะสายเกินไป
หมายเหตุ: รูปภาพการรักษาภายในโรงพยาบาลไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่าย ทางเราจึงใช้รูปจากแหล่งอื่นมาเป็นภาพประกอบแทน
















