วิตามินที่กินเสริมกัน รู้ไหมเขาสังเคราะห์มาจากอะไร?
หลายคนคงเคยสงสัยว่าแคปซูลวิตามินที่เราทานกันทุกวัน มีที่มาอย่างไร? แล้วสารอาหารเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นมาได้อย่างไร? บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับกระบวนการผลิตวิตามินเสริมที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวัน รวมถึงแหล่งที่มาของวิตามินแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ บีรวม ซี ดี อี และแร่ธาตุอย่างซิงค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรา
วิธีการผลิตวิตามินเสริมที่ขายในตลาดปัจจุบัน
การผลิตวิตามินเสริมในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
1. การสกัดจากแหล่งธรรมชาติ (Natural Extraction)
วิธีการนี้เป็นการนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผ่านกระบวนการสกัดเพื่อให้ได้วิตามินบริสุทธิ์ เช่น การสกัดวิตามินอีจากน้ำมันพืช หรือการสกัดวิตามินซีจากผลไม้ตระกูลส้ม วิธีนี้มักให้วิตามินที่มีโครงสร้างเหมือนที่พบในธรรมชาติ แต่มีข้อจำกัดด้านปริมาณวัตถุดิบและต้นทุนการผลิตที่สูง
การศึกษาโดย Dwyer และคณะ (2022) พบว่าวิตามินที่สกัดจากแหล่งธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการดูดซึมดีกว่าวิตามินสังเคราะห์บางชนิด โดยเฉพาะในกลุ่มวิตามินอี และวิตามินเอ[1]
กระบวนการสกัดจากธรรมชาติมีหลายขั้นตอน:
- การคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพสูง
- การทำความสะอาดและเตรียมวัตถุดิบ
- กระบวนการสกัด (มักใช้ตัวทำละลายอินทรีย์)
- การทำให้บริสุทธิ์ (Purification)
- การทำให้เข้มข้น (Concentration)
- การทำให้แห้ง (Drying)
2. การสังเคราะห์ทางเคมี (Chemical Synthesis)
วิธีการนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดในอุตสาหกรรมการผลิตวิตามินเสริม เนื่องจากสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก ควบคุมคุณภาพได้สม่ำเสมอ และมีต้นทุนต่ำกว่าการสกัดจากธรรมชาติ การสังเคราะห์ทางเคมีเป็นการสร้างโมเลกุลวิตามินขึ้นมาใหม่ในห้องปฏิบัติการ โดยอาศัยปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน
กระบวนการสังเคราะห์วิตามินทางเคมีประกอบด้วย:
- การเตรียมสารตั้งต้น (Precursors)
- การทำปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอนเพื่อสร้างโครงสร้างโมเลกุลพื้นฐาน
- การเติมหมู่ฟังก์ชันที่จำเป็น
- การทำให้บริสุทธิ์
- การตรวจสอบคุณภาพและความบริสุทธิ์
ตามการวิจัยของ Suzuki และคณะ (2023) วิตามินที่สังเคราะห์ทางเคมีส่วนใหญ่มีโครงสร้างโมเลกุลเหมือนกับวิตามินที่พบในธรรมชาติ แต่อาจมีความแตกต่างในด้านไอโซเมอร์ (โครงสร้างที่มีสูตรโมเลกุลเดียวกันแต่การจัดเรียงตัวต่างกัน) ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในร่างกาย[2]
3. การหมักด้วยจุลินทรีย์ (Fermentation)
วิธีนี้ใช้จุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรียหรือยีสต์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ผลิตวิตามินในปริมาณสูง วิธีนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าการสังเคราะห์ทางเคมี และให้ผลิตภัณฑ์ที่มีโครงสร้างเหมือนกับที่พบในธรรมชาติ
การศึกษาโดย Chen และคณะ (2024) พบว่าวิตามินบี 12 และวิตามินบี 2 ที่ผลิตจากการหมักมีความคงตัวและชีวประสิทธิผล (Bioavailability) สูงกว่าวิตามินที่สังเคราะห์ทางเคมี[3]
กระบวนการหมักมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- การเตรียมสายพันธุ์จุลินทรีย์ (มักใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรม)
- การเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ
- การหมักในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor)
- การเก็บเกี่ยวและการสกัดวิตามิน
- การทำให้บริสุทธิ์
หลังจากที่ได้วิตามินบริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จะมีขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม ได้แก่:
- การเตรียมส่วนผสม (Formulation): การเติมสารช่วยต่างๆ เช่น สารเพิ่มปริมาณ สารยึดเกาะ สารเคลือบ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามต้องการ
- การผลิตเป็นรูปแบบต่างๆ: เช่น แคปซูล เม็ด ผง หรือของเหลว โดยใช้เครื่องจักรเฉพาะทาง
- การบรรจุและการเก็บรักษา: การบรรจุในภาชนะที่ป้องกันแสง ความชื้น และออกซิเจน เพื่อรักษาความคงตัวของวิตามิน
- การควบคุมคุณภาพ: การตรวจสอบปริมาณวิตามิน ความบริสุทธิ์ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
วิตามิน A (เรตินอล)
วิตามินเอมีความสำคัญต่อการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าวิตามินเอในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาจากไหน?
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์
วิตามินเอในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมี 2 รูปแบบหลักๆ:
- เรตินอล (Retinol) - เป็นรูปแบบที่พร้อมใช้งานของวิตามินเอ ซึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักได้จาก:
- การสกัดจากตับสัตว์: ตับสัตว์เป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ โดยเฉพาะตับปลาน้ำมัน (Fish liver oil) ซึ่งใช้เป็นแหล่งวิตามินเอมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- การสังเคราะห์ทางเคมี: ในปัจจุบัน วิตามินเอส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาจากการสังเคราะห์ทางเคมี โดยเริ่มจากสารประกอบอะซิโตน (Acetone) และไอโซบิวทีน (Isobutene) ผ่านปฏิกิริยา Aldol condensation และหลายขั้นตอนต่อมา จนได้เป็นเรตินอล
- เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) - เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นเรตินอลตามความต้องการ ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้จาก:
- การสกัดจากพืช: โดยเฉพาะจากสาหร่าย Dunaliella salina ซึ่งมีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูง
- การสังเคราะห์ทางเคมี: เริ่มจากไซโตรัล (Citral) ผ่านปฏิกิริยาหลายขั้นตอน
- การหมักด้วยจุลินทรีย์: ใช้จุลินทรีย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม เช่น รา Blakeslea trispora
การศึกษาโดย Grune และคณะ (2023) พบว่าเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติประกอบด้วยไอโซเมอร์หลายชนิด ในขณะที่เบต้าแคโรทีนสังเคราะห์มักมีเฉพาะไอโซเมอร์ all-trans ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพทางชีวภาพที่แตกต่างกัน[4]
ความเสถียรและการเก็บรักษา
วิตามินเอมีความไวต่อแสง ออกซิเจน และความร้อน จึงมักถูกเคลือบด้วยสารป้องกันการออกซิเดชัน เช่น วิตามินอี เพื่อเพิ่มความเสถียร นอกจากนี้ ยังมักถูกบรรจุในแคปซูลนิ่ม (Softgel) ที่ป้องกันการเสื่อมสภาพได้ดีกว่ารูปแบบเม็ด
วิตามิน B รวม
วิตามินบีเป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของระบบประสาท วิตามินบีแต่ละชนิดมีวิธีการสังเคราะห์ที่แตกต่างกัน
วิตามิน B1 (ไทอามีน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การสังเคราะห์ทางเคมี: ไทอามีนส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตจากปฏิกิริยาระหว่าง 2-methyl-4-amino-5-hydroxymethylpyrimidine และ 4-methyl-5-(2-hydroxyethyl)thiazole
- การหมัก: บางส่วนผลิตโดยการหมักด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม
การศึกษาโดย Wang และคณะ (2023) พบว่าการผลิตไทอามีนด้วยวิธีการหมักช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับการสังเคราะห์ทางเคมี[5]
วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การหมัก: เป็นวิธีการหลักที่ใช้ในการผลิตไรโบฟลาวินเชิงอุตสาหกรรม โดยใช้จุลินทรีย์ เช่น เชื้อรา Ashbya gossypii หรือแบคทีเรีย Bacillus subtilis
- การสังเคราะห์ทางเคมี: เริ่มต้นจาก D-glucose ผ่านปฏิกิริยาหลายขั้นตอน แต่ไม่ค่อยนิยมในปัจจุบันเนื่องจากมีต้นทุนสูงกว่า
วิตามินบี 2 มีสีเหลืองส้มเข้ม จึงมักถูกใช้เป็นสารให้สีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย
วิตามิน B3 (ไนอาซิน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การสังเคราะห์จากกรดนิโคตินิก: ไนอาซินส่วนใหญ่ผลิตจากการออกซิเดชันของไพริดีน (Pyridine) หรือควิโนลีน (Quinoline)
- การออกซิเดชันของนิโคติน: บางส่วนผลิตจากการออกซิไดซ์นิโคตินที่สกัดจากใบยาสูบ แต่วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมในปัจจุบัน
ไนอาซินมี 2 รูปแบบหลัก: กรดนิโคตินิก (Nicotinic acid) และนิโคตินาไมด์ (Nicotinamide) ซึ่งมีผลทางชีวภาพแตกต่างกันเล็กน้อย
วิตามิน B5 (กรดแพนโทเธนิก)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การสังเคราะห์ทางเคมี: ผลิตจากปฏิกิริยาระหว่าง D-pantolactone และ β-alanine
- ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักอยู่ในรูปของแคลเซียมแพนโทเธเนต (Calcium pantothenate) เนื่องจากมีความเสถียรมากกว่า
วิตามิน B6 (ไพริดอกซิน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การสังเคราะห์ทางเคมี: ผลิตจากปฏิกิริยาระหว่าง 4-methoxypyridine-2,5-dicarboxylate และอนุพันธ์ของ glyceraldehyde
- ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลายรูปแบบ: ไพริดอกซิน (Pyridoxine), ไพริดอกซาล (Pyridoxal), และไพริดอกซามีน (Pyridoxamine) โดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือไพริดอกซินไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine hydrochloride)
วิตามิน B7 (ไบโอติน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การหมัก: ส่วนใหญ่ผลิตโดยการหมักด้วยจุลินทรีย์ เช่น Bacillus sphaericus
- การสังเคราะห์ทางเคมี: เริ่มจาก fumaric acid ผ่านปฏิกิริยาหลายขั้นตอน
ไบโอตินเป็นวิตามินที่มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิตามินบีชนิดอื่น เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
วิตามิน B9 (กรดโฟลิก)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การสังเคราะห์ทางเคมี: ผลิตจากปฏิกิริยาระหว่าง 2,3-dibromopropionaldehyde, p-aminobenzoyl-L-glutamic acid และ 6-methylpterin
ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักอยู่ในรูปของกรดโฟลิก (Folic acid) ซึ่งเป็นรูปแบบสังเคราะห์ แต่ในอาหารธรรมชาติมักอยู่ในรูปของโฟเลต (Folate) ที่มีโครงสร้างแตกต่างกันเล็กน้อย
วิตามิน B12 (โคบาลามิน)
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์:
- การหมัก: เป็นวิธีการหลักที่ใช้ในการผลิตวิตามินบี 12 โดยใช้แบคทีเรีย เช่น Pseudomonas denitrificans หรือ Propionibacterium
- ไม่สามารถสังเคราะห์ทางเคมีได้อย่างคุ้มทุนในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก
วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุดในบรรดาวิตามินทั้งหมด และเป็นวิตามินเพียงชนิดเดียวที่มีธาตุโคบอลต์เป็นองค์ประกอบ
วิตามิน C (กรดแอสคอร์บิก)
วิตามินซีเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสารต้านอนุมูลอิสระและมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน การเสริมภูมิคุ้มกัน และการดูดซึมธาตุเหล็ก
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์
วิตามินซีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกือบทั้งหมดผลิตด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Reichstein process และปรับปรุงต่อมาเป็น two-step fermentation process ซึ่งมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- เริ่มต้นจาก D-glucose (น้ำตาลกลูโคส): ซึ่งได้จากการย่อยแป้งจากข้าวโพดหรือข้าวสาลี
- การหมักด้วยแบคทีเรีย: แปลง D-glucose เป็น 2-keto-L-gulonic acid (2-KLG)
- การสังเคราะห์ทางเคมี: แปลง 2-KLG เป็นกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid)
การพัฒนาเทคโนโลยีการหมักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาช่วยลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิตวิตามินซีลงอย่างมาก ตามการศึกษาของ Li และคณะ (2022)[6]
รูปแบบของวิตามินซีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามินซีมีหลายรูปแบบ:
- กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid): รูปแบบพื้นฐาน
- โซเดียมแอสคอร์เบต (Sodium ascorbate): รูปแบบเกลือที่มีฤทธิ์เป็นกลาง (ไม่เป็นกรด) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร
- แคลเซียมแอสคอร์เบต (Calcium ascorbate): รูปแบบที่อ้างว่าดูดซึมได้ดีขึ้นและไม่ระคายเคืองกระเพาะ
- Ascorbyl palmitate: รูปแบบที่ละลายในไขมัน ใช้เป็นสารต้านออกซิเดชันในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- วิตามินซีพร้อมสารไบโอฟลาโวนอยด์ (Vitamin C with bioflavonoids): อ้างว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี
งานวิจัยของ Pullar และคณะ (2023) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบต่างๆ ของวิตามินซีมีอัตราการดูดซึมและความเสถียรที่แตกต่างกัน โดยรูปแบบเกลือมักมีความเสถียรในระบบทางเดินอาหารดีกว่ากรดแอสคอร์บิกบริสุทธิ์[7]
วิตามิน D3 (โคเลแคลซิเฟอรอล)
วิตามินดี 3 มีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียม สุขภาพกระดูก และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดี 3 เองได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์
วิตามินดี 3 ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีแหล่งที่มาหลักๆ 2 แหล่ง:
- การสกัดจากขนแกะ (Lanolin):
- เริ่มจากการสกัด 7-dehydrocholesterol (7-DHC) จากขนแกะ
- 7-DHC ถูกนำไปฉายด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อแปลงเป็น pre-vitamin D3
- Pre-vitamin D3 จะเปลี่ยนเป็น vitamin D3 เมื่อได้รับความร้อน
- ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์หลายขั้นตอน
- เนื่องจากสามารถผลิตได้ในปริมาณมากและมีต้นทุนที่เหมาะสม
- การสกัดจากน้ำมันตับปลา:
- น้ำมันตับปลา โดยเฉพาะจากปลาค็อด (Cod) เป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินดี 3
- ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้น
การศึกษาโดย Holick และคณะ (2023) เปรียบเทียบชีวประสิทธิผลของวิตามินดี 3 จากแหล่งต่างๆ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างวิตามินดี 3 ที่สกัดจากขนแกะและจากน้ำมันตับปลา ทั้งสองแหล่งให้ผลในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดใกล้เคียงกัน[8]
วิตามินดี 2 vs วิตามินดี 3
ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นอกจากวิตามินดี 3 (โคเลแคลซิเฟอรอล) แล้ว ยังมีวิตามินดี 2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล) ซึ่งผลิตจากยีสต์ที่ได้รับการฉายรังสี วิตามินดี 2 มักใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับมังสวิรัติและวีแกน เนื่องจากไม่ได้มาจากสัตว์
อย่างไรก็ตาม การวิจัยโดย Tripkovic และคณะ (2022) แสดงให้เห็นว่าวิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี 2 ประมาณ 2-3 เท่า[9]
วิตามิน E (โทโคเฟอรอล)
วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและมีบทบาทในการรักษาสุขภาพผิวและระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์
วิตามินอีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนใหญ่ได้จาก:
- การสกัดจากน้ำมันพืช:
- น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน และน้ำมันข้าวโพด เป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินอี
- ผ่านกระบวนการกลั่นภายใต้สุญญากาศ (Vacuum distillation) และการแยกโมเลกุล (Molecular distillation)
- ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยเทคนิคต่างๆ
- การสังเคราะห์ทางเคมี:
- เริ่มจาก trimethylhydroquinone และ isophytol
- ผ่านปฏิกิริยา condensation และ cyclization
- ได้ dl-alpha-tocopherol ซึ่งเป็นส่วนผสมของไอโซเมอร์ทั้งธรรมชาติและไม่ธรรมชาติ
รูปแบบของวิตามินอีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วิตามินอีมีหลายรูปแบบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร:
- d-alpha-tocopherol: รูปแบบธรรมชาติที่ได้จากการสกัด มีชีวประสิทธิผลสูงสุด
- dl-alpha-tocopherol: รูปแบบสังเคราะห์ที่เป็นส่วนผสมของไอโซเมอร์ มีชีวประสิทธิผลประมาณครึ่งหนึ่งของรูปแบบธรรมชาติ
- Tocopheryl acetate: เอสเทอร์ของวิตามินอีที่มีความเสถียรมากกว่า แต่ต้องถูกไฮโดรไลซ์ในร่างกายก่อนใช้งาน
- Tocopheryl succinate: อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความเสถียรสูง นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเม็ด
- Mixed tocopherols: ส่วนผสมของโทโคเฟอรอลหลายชนิด (alpha, beta, gamma, delta) ที่พบในธรรมชาติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลาย
การศึกษาโดย Jiang และคณะ (2024) แสดงให้เห็นว่า mixed tocopherols มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า alpha-tocopherol เพียงอย่างเดียว เนื่องจากโทโคเฟอรอลแต่ละชนิดทำงานกับอนุมูลอิสระต่างชนิดกัน[10]
ซิงค์ (สังกะสี)
ซิงค์เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์หลายร้อยชนิดในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโต การสังเคราะห์ DNA และการหายของแผล
แหล่งที่มาและการสังเคราะห์
ซิงค์ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้จาก:
- การสกัดจากแร่ธาตุ:
- แร่ซิงค์ เช่น zinc sulfide (ZnS) หรือ zinc oxide (ZnO) ถูกนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อแยกซิงค์
- ซิงค์บริสุทธิ์จะถูกนำไปทำปฏิกิริยากับกรดต่างๆ เพื่อสร้างเกลือซิงค์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- การรีไซเคิลโลหะ:
- ซิงค์บางส่วนได้จากการรีไซเคิลโลหะที่มีซิงค์เป็นส่วนประกอบ
- ผ่านกระบวนการแยกและทำให้บริสุทธิ์หลายขั้นตอน
รูปแบบของซิงค์ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ซิงค์ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีอัตราการดูดซึมและความเสถียรที่แตกต่างกัน:
- ซิงค์กลูโคเนต (Zinc gluconate): รูปแบบที่นิยมมากที่สุด ดูดซึมได้ดีปานกลาง ราคาไม่แพง
- ซิงค์ซิเตรต (Zinc citrate): ดูดซึมได้ดี มีความเสถียรสูง นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด
- ซิงค์ไพโคลิเนต (Zinc picolinate): อ้างว่าดูดซึมได้ดีกว่ารูปแบบอื่น แต่มีราคาสูงกว่า
- ซิงค์อะซิเตต (Zinc acetate): ดูดซึมได้ดี นิยมใช้ในยาอม
- ซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide): ดูดซึมได้ต่ำ มักใช้ในผลิตภัณฑ์ภายนอก เช่น ครีมทาผิว
การศึกษาของ Barrie และคณะ (2023) เปรียบเทียบชีวประสิทธิผลของซิงค์รูปแบบต่างๆ พบว่าซิงค์ไพโคลิเนตและซิงค์ซิเตรตมีอัตราการดูดซึมสูงกว่าซิงค์กลูโคเนตและซิงค์ออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ
นวัตกรรมในการผลิตวิตามินเสริม
อุตสาหกรรมการผลิตวิตามินเสริมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
1. เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมและชีวสังเคราะห์
การใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรมในการดัดแปลงจุลินทรีย์ให้ผลิตวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น:
- การสร้างสายพันธุ์ E. coli ที่ผลิตวิตามินบี 2 ได้ในปริมาณสูง
- การพัฒนาสายพันธุ์ยีสต์ที่ผลิตวิตามินบี 12 ได้โดยไม่ต้องใช้สารตั้งต้นที่มีราคาแพง
งานวิจัยของ Zhang และคณะ (2024) แสดงให้เห็นว่าการใช้เทคนิค CRISPR-Cas9 ในการดัดแปลงจุลินทรีย์สามารถเพิ่มผลผลิตวิตามินบี 2 ได้ถึง 300% เมื่อเทียบกับวิธีการดั้งเดิม[12]
2. เทคโนโลยีการห่อหุ้มและนำส่ง (Encapsulation and Delivery Technology)
เทคโนโลยีการห่อหุ้มช่วยปกป้องวิตามินจากการเสื่อมสภาพและเพิ่มการดูดซึม:
- ไลโพโซม (Liposomes): เป็นเวสิเคิลขนาดเล็กที่มีชั้นไขมันสองชั้น ช่วยปกป้องวิตามินและเพิ่มการดูดซึม
- ไมโครเอนแคปซูเลชัน (Microencapsulation): ห่อหุ้มวิตามินในเปลือกขนาดเล็กเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพและควบคุมการปลดปล่อย
- นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology): ลดขนาดอนุภาควิตามินให้เล็กระดับนาโนเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวและการดูดซึม
การศึกษาโดย Chen และคณะ (2023) พบว่าวิตามินดี 3 ที่ถูกห่อหุ้มด้วยไลโพโซมมีชีวประสิทธิผลสูงกว่ารูปแบบปกติถึง 4 เท่า[13]
3. การผลิตวิตามินจากแหล่งทางเลือก
นักวิจัยกำลังพัฒนาแหล่งใหม่ๆ สำหรับการผลิตวิตามิน:
- สาหร่าย (Algae): สาหร่าย Chlorella และ Spirulina สามารถผลิตวิตามินหลายชนิด รวมถึงวิตามินบี 12 ซึ่งปกติพบได้ยากในพืช
- เห็ด (Mushrooms): การเพาะเห็ดภายใต้แสง UV เพื่อเพิ่มปริมาณวิตามินดี 2
- แมลง (Insects): บางชนิดมีวิตามินและแร่ธาตุสูง และอาจเป็นแหล่งทางเลือกในอนาคต
4. เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมวิตามินกำลังปรับเปลี่ยนสู่กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น:
- การใช้พลังงานหมุนเวียน
- การลดการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ที่เป็นอันตราย
- การพัฒนากระบวนการที่ใช้น้ำน้อยลง
- การนำของเสียกลับมาใช้ใหม่
การศึกษาโดย Johnson และคณะ (2023) พบว่าการผลิตวิตามินซีด้วยเทคโนโลยีสีเขียวใหม่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับวิธีการดั้งเดิม[14]
วิตามินสังเคราะห์และวิตามินธรรมชาติมีความแตกต่างกันอย่างไร?
วิตามินสังเคราะห์และวิตามินธรรมชาติมีโครงสร้างโมเลกุลพื้นฐานเหมือนกัน แต่อาจมีความแตกต่างในด้านไอโซเมอร์และสารประกอบร่วม ในธรรมชาติ วิตามินมักอยู่ร่วมกับสารอื่นๆ เช่น ไฟโตนิวเทรียนท์ (phytonutrients) เอนไซม์ และแร่ธาตุ ซึ่งอาจช่วยเสริมการทำงานของวิตามิน
การศึกษาโดย Thiel และคณะ (2023) พบว่าวิตามินซีจากส้มมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีบริสุทธิ์ในหลอดทดลอง อาจเนื่องมาจากการทำงานร่วมกับไบโอฟลาโวนอยด์ที่พบในผลส้ม[15]
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการแก้ไขภาวะขาดวิตามิน การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าทั้งวิตามินสังเคราะห์และวิตามินธรรมชาติสามารถป้องกันและรักษาโรคขาดวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน
วิตามินในรูปแบบต่างๆ (เม็ด แคปซูล ผง ของเหลว) มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
แต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน:
เม็ด (Tablets):
- ข้อดี: ราคาถูก, เก็บได้นาน, ขนาดแน่นอน
- ข้อเสีย: อาจย่อยได้ช้า, มักมีสารเติมแต่งมาก, บางคนกลืนยาก
แคปซูลแข็ง (Hard Capsules):
- ข้อดี: กลืนง่ายกว่าเม็ด, ย่อยเร็วกว่า, สามารถเติมผงวิตามินโดยตรง
- ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าเม็ด, เปลือกแคปซูลอาจทำจากเจลาตินสัตว์ (ไม่เหมาะกับวีแกน)
แคปซูลนิ่ม (Softgels):
- ข้อดี: เหมาะกับวิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K), กลืนง่าย, ดูดซึมดี
- ข้อเสีย: ราคาแพง, มักมีเจลาตินจากสัตว์, อายุการเก็บสั้นกว่า
ผง (Powders):
- ข้อดี: ดูดซึมเร็ว, ปรับขนาดได้, มักไม่มีสารเติมแต่ง
- ข้อเสีย: ไม่สะดวกในการพกพา, วัดปริมาณยาก, รสชาติอาจไม่ดี
ของเหลว (Liquids):
- ข้อดี: ดูดซึมได้ดีที่สุด, เหมาะสำหรับผู้ที่กลืนยาก
- ข้อเสีย: อายุการเก็บสั้น, ต้องระวังการปนเปื้อนเชื้อ, ไม่สะดวกในการพกพา
การศึกษาโดย Miller และคณะ (2023) พบว่าวิตามินบี 12 ในรูปแบบของเหลวและแคปซูลนิ่มมีชีวประสิทธิผลสูงกว่ารูปแบบเม็ดอย่างมีนัยสำคัญในผู้สูงอายุที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะลดลง[16]
3. ควรรับประทานวิตามินเสริมเมื่อไหร่จึงจะดูดซึมได้ดีที่สุด?
เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานวิตามินเสริมขึ้นอยู่กับชนิดของวิตามิน:
วิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K):
- ควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมัน เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำดีและเพิ่มการดูดซึม
- การศึกษาโดย Dawson-Hughes และคณะ (2022) พบว่าการรับประทานวิตามินดีพร้อมอาหารที่มีไขมันเพิ่มการดูดซึมได้ถึง 32%[17]
วิตามินที่ละลายในน้ำ (B, C):
- สามารถรับประทานได้ตลอดทั้งวัน แต่ควรแบ่งเป็นหลายครั้งสำหรับวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี เนื่องจากร่างกายดูดซึมได้จำกัดในแต่ละครั้ง
- วิตามินบีรวมอาจทำให้บางคนรู้สึกมีพลังงาน จึงไม่ควรรับประทานก่อนนอน
แร่ธาตุ:
- แคลเซียมและแมกนีเซียมควรรับประทานก่อนนอน เนื่องจากช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- เหล็กไม่ควรรับประทานพร้อมแคลเซียมหรือชา/กาแฟ เนื่องจากจะรบกวนการดูดซึม
- ซิงค์ควรรับประทานห่างจากอาหารที่มีไฟเตต (phytates) สูง เช่น ธัญพืชและถั่ว
4. วิตามินเสริมมีอายุการเก็บรักษานานเท่าไร?
อายุการเก็บรักษาของวิตามินเสริมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดของวิตามิน รูปแบบผลิตภัณฑ์ และสภาพการเก็บรักษา:
- วิตามินที่ละลายในน้ำ (B, C): มักมีความเสถียรน้อยกว่า โดยเฉพาะวิตามินซีที่ไวต่อความร้อนและความชื้น
- วิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K): มีความเสถียรมากกว่า แต่ไวต่อออกซิเจนและแสง
โดยทั่วไป ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมักมีวันหมดอายุประมาณ 2-3 ปีหลังจากวันผลิต แต่คุณภาพอาจลดลงก่อนถึงวันหมดอายุหากเก็บรักษาไม่เหมาะสม
คำแนะนำในการเก็บรักษา:
- เก็บในที่แห้ง เย็น และไม่โดนแสงแดดโดยตรง
- ปิดฝาให้สนิทหลังใช้งาน
- หลีกเลี่ยงการเก็บในห้องน้ำเนื่องจากมีความชื้นสูง
- เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
การศึกษาโดย Anderson และคณะ (2023) พบว่าวิตามินซีในรูปแบบเม็ดสูญเสียความแรงไปถึง 30% เมื่อเก็บที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 ปี ในขณะที่เมื่อเก็บในตู้เย็นสูญเสียเพียง 10%[18]
5. วิตามินชนิดใดไม่ควรรับประทานร่วมกัน?
วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจรบกวนการดูดซึมซึ่งกันและกัน:
- แคลเซียมและเหล็ก: แคลเซียมยับยั้งการดูดซึมเหล็ก ควรรับประทานห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ซิงค์และเหล็ก: ทั้งสองแข่งขันกันในการดูดซึม ควรรับประทานในมื้อต่างกัน
- วิตามินอีและวิตามินเค: วิตามินอีในปริมาณสูงอาจลดประสิทธิภาพของวิตามินเค
- แมกนีเซียมและแคลเซียม: แข่งขันกันในการดูดซึม แต่สามารถรับประทานด้วยกันได้หากมีอัตราส่วนที่เหมาะสม
การศึกษาโดย Thompson และคณะ (2022) แนะนำให้แบ่งการรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเป็นสองกลุ่ม โดยรับประทานในช่วงเช้าและเย็น เพื่อลดการรบกวนการดูดซึมระหว่างกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผลิตวิตามินเสริม (FAQs)
Q: วิตามินสังเคราะห์และวิตามินธรรมชาติแตกต่างกันอย่างไร และชนิดไหนดีกว่า?
A: วิตามินทั้งสองมีโครงสร้างโมเลกุลพื้นฐานเหมือนกัน แต่วิตามินธรรมชาติมักอยู่ร่วมกับสารเสริมอื่นๆ ด้านการรักษาภาวะขาดวิตามิน ทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
Q: วิตามินแบบเม็ด แคปซูล ผง และของเหลว แบบไหนดีที่สุด?
A: แต่ละแบบมีข้อดีต่างกัน: เม็ดราคาถูกแต่ย่อยช้า แคปซูลย่อยง่ายแต่แพงกว่า ผงดูดซึมดีแต่วัดขนาดยาก ของเหลวดูดซึมดีที่สุดแต่หมดอายุเร็ว เลือกตามความเหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
Q: ควรกินวิตามินเสริมช่วงเวลาไหนของวันจึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด?
A: วิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K) ควรทานพร้อมอาหารที่มีไขมัน วิตามินที่ละลายในน้ำ (B, C) ทานได้ตลอดวัน แคลเซียม/แมกนีเซียมทานก่อนนอน เหล็กและซิงค์ควรทานแยกกัน
Q: วิตามินเสริมเก็บได้นานแค่ไหนและควรเก็บอย่างไร?
A: โดยทั่วไปเก็บได้ 2-3 ปีหลังผลิต ควรเก็บในที่แห้ง เย็น ไม่โดนแสง และปิดฝาให้สนิท หลีกเลี่ยงการเก็บในห้องน้ำที่มีความชื้นสูง วิตามินซีและบีเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่าวิตามินอื่น
Q: มีวิตามินหรือแร่ธาตุชนิดใดที่ไม่ควรกินพร้อมกัน?
A: แคลเซียมและเหล็กรบกวนการดูดซึมกัน ควรทานห่างกัน 2 ชั่วโมง ซิงค์และเหล็กแข่งกันดูดซึม ควรแยกมื้อ วิตามินอีขนาดสูงอาจลดประสิทธิภาพวิตามินเค ควรแบ่งการทานวิตามินและแร่ธาตุเป็นช่วงเช้าและเย็น
Q: การกินวิตามินเกินขนาดมีอันตรายหรือไม่? วิตามินชนิดใดที่ต้องระวัง?
A: วิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K) เกินขนาดอันตรายเพราะสะสมในร่างกาย วิตามินที่ละลายในน้ำ (B, C) ส่วนใหญ่จะถูกขับออก แต่ปริมาณสูงอาจมีผลข้างเคียง ควรไม่เกินปริมาณสูงสุดที่แนะนำต่อวัน
Q: วิตามินต่างยี่ห้อมีคุณภาพต่างกันหรือไม่? ควรดูอะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อ?
A: มีความแตกต่างด้านคุณภาพวัตถุดิบ รูปแบบวิตามิน และกระบวนการผลิต ควรเลือกยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอิสระ เช่น USP, NSF หรือ Consumer Lab เพื่อความมั่นใจในคุณภาพฟเตต (phytates) สูง เช่น ธัญพืชและถั่ว
บทความที่เกี่ยวข้อง by News Daily TH
ท้องเสีย ดื่มน้ำเกลือแร่สำหรับออกกำลังตามร้านสะดวกซื้อไม่ได้?
น้ำผสมวิตามิน มีประโยชน์จริง หรือแค่กลยุทธ์การตลาด?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ



