Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ยาปฏิชีวนะ มรดกจากสงครามโลกที่มีค่ากับมวลมนุษยชาติ

เนื้อหาโดย รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH

ในยุคก่อนที่มนุษยชาติจะค้นพบยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อแบคทีเรียเพียงเล็กน้อยสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้ แม้แต่การบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เช่น การถลอกหรือบาดแผลขนาดเล็ก หากติดเชื้อก็สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ การผ่าตัดที่เราถือว่าธรรมดาในปัจจุบัน เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 40% ก่อนยุคของยาปฏิชีวนะ และโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น ปอดบวม วัณโรค และโรคคอตีบ คร่าชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลก

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ถือเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ การค้นพบยาปฏิชีวนะไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านจากโรคติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาโรคและพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์อย่างมหาศาล ปัจจุบัน ยาปฏิชีวนะกลายเป็นเสาหลักของการแพทย์สมัยใหม่ที่ช่วยให้การรักษาโรคติดเชื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของยาปฏิชีวนะ ตั้งแต่การค้นพบโดยบังเอิญ การพัฒนาในช่วงสงครามโลก จนถึงความท้าทายในปัจจุบันกับปัญหาเชื้อดื้อยา และอนาคตของยาปฏิชีวนะรุ่นใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนา

ความเป็นมาการคิดค้นยาปฏิชีวนะ

จุดเริ่มต้นของยุคยาปฏิชีวนะ

การค้นพบยาปฏิชีวนะเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งของการค้นพบโดยบังเอิญและความฉลาดหลักแหลมทางวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะ มนุษย์ได้ใช้สารสกัดจากพืชและแร่ธาตุต่างๆ ในการรักษาการติดเชื้อมาเป็นเวลานาน โดยไม่เข้าใจกลไกการทำงานทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง

ในอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ใช้ราที่เกิดขึ้นบนขนมปังที่ขึ้นราในการรักษาแผลติดเชื้อ ซึ่งเราทราบในปัจจุบันว่ารานั้นอาจมีคุณสมบัติคล้ายกับเพนิซิลลิน ในจีนโบราณราว 2,500 ปีก่อน มีการใช้ถั่วเน่าที่มีเชื้อราในการรักษาโรคผิวหนังและการติดเชื้อ เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองในหลายภูมิภาคที่ใช้พืชสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

อย่างไรก็ตาม การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระบบเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) และโรเบิร์ต โคค (Robert Koch) ได้พัฒนาทฤษฎีเชื้อโรค (Germ Theory) ที่ระบุว่าโรคติดเชื้อเกิดจากจุลินทรีย์ ไม่ใช่จากอารมณ์หรือสิ่งลี้ลับตามความเชื่อเก่าๆ

ในปี 1877 หลุยส์ ปาสเตอร์ และ โจเซฟ ลิสเตอร์ (Joseph Lister) สังเกตเห็นว่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียอื่นได้ ปาสเตอร์พบว่าเชื้อแบคทีเรียในอากาศสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคแอนแทรกซ์ นี่เป็นการสังเกตครั้งแรกถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "antibiosis" หรือการที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งยับยั้งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตอื่น

แนวคิดต้นแบบสู่ยาปฏิชีวนะสมัยใหม่

ก่อนการค้นพบเพนิซิลลินโดย อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนายาปฏิชีวนะ ในปี 1909 พอล เอห์รลิช (Paul Ehrlich) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้พัฒนายาซัลวาร์ซาน (Salvarsan) หรือ Arsphenamine ซึ่งเป็นสารประกอบอาร์เซนิกที่ใช้รักษาโรคซิฟิลิส นี่ถือเป็นยาต้านจุลชีพชนิดแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ

เอห์รลิชได้เสนอแนวคิด "magic bullet" หรือ "กระสุนวิเศษ" ที่สามารถเข้าไปทำลายเชื้อโรคโดยเฉพาะ โดยไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ของผู้ป่วย แนวคิดนี้นำไปสู่การวิจัยค้นคว้าที่เป็นระบบเพื่อหาสารเคมีที่สามารถยับยั้งหรือทำลายเชื้อโรคได้อย่างเฉพาะเจาะจง

ในปี 1928 เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การแพทย์ เมื่อ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง สังเกตเห็นว่าเชื้อราชนิดหนึ่งที่ปนเปื้อนในจานเพาะเชื้อของเขา สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ได้ เขาเรียกสารที่ผลิตจากเชื้อรานี้ว่า "เพนิซิลลิน" ซึ่งกลายเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกของโลก

ผู้คิดค้นยาปฏิชีวนะคนแรกของโลก

อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง: การค้นพบโดยบังเอิญที่เปลี่ยนโลก

เซอร์ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง (Sir Alexander Fleming) เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1881 ในประเทศสกอตแลนด์ เขาเป็นนักแบคทีเรียวิทยาที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ในลอนดอน ที่ซึ่งเขาได้ทำการค้นพบที่เปลี่ยนโลกโดยบังเอิญจากความผิดแปลกจากนักวิทย์ฯ ทั่วไป เขาเป็นคนที่ไร้ระเบียบ ในห้องปฏิบัติการ, ห้องทำงานมีความรก ซึ้งผิดแปลกจากวิทย์ฯ ทั่วไปที่ห้องทำงานจะต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อป้องกันการปนเปื้อน แต่แลปห้องทำงานของ เฟลมมิ่ง ที่รกก็เกิดจากความตั้งใจของเขาเอง ซึ่งเหตุผล คือ เขาต้องการที่จะค้นพบเชื้อใหม่ ๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง 

หลังจากนั้นเขาได้ทดลองเพียงนำเอาน้ำมูกของตัวเองไปวางลงในจานเพาะเชื้อที่มีการติดเชื้อนั้น ปรากฏว่าแบคทีเรียถูกทำลายไป เกิดวงใส ๆ รอบ ๆ เชื้อในจานเพาะเชื้อที่ติดเชื้อแบททีเรีย หลังจาดนั้น เฟลมมิ่ง จึงเรียกวงใส ๆ นี้ว่า "Killing Zone" หรือ "พื้นที่ยับยั้งเชื้อ" ซึ่งวงใส ๆ นี้เชื้อไม่สามารถเติบโตได้ หรือโดนกำจัดไปนั้นเอง

หลังจากเขาค้นพบแล้วว่าน้ำมูกสามารถยับยั้งเชื้อได้ เฟลมมิ่ง ก็เกิดสงสัยว่าในน้ำมูกต้องมีอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นเขาก็เลยคิดการทดลองเพิ่มเติมจาก เสมหะ, หนอง, น้ำตา, น้ำอสุจิ รวมไปถึงไข่ขาว ก็ปรากฏว่าสามารถยับยั้งเชื้อได้เหมือนกัน จึงทำให้ เฟลมมิ่ง ค้นผมว่าสารคัดหลั่งในร่างกายสามารถฆ่าเชื้อได้ แล้วเขาจึงเรียกสิ่งนี้ว่า Lsozyme (เอ็นไซม์ที่สามารถทำลายผนังเซล์ของแบคทีเรียได้) ซึ่งสิ่งนี้ คือ ส่วนประกอบสำคัญของภูมิคุ้มกันในร่างกายสิ่งมีชีวิต และ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง จึงเป็นคนที่ค้นพบ Lsozyme ซึ่งเป็นสารต้านแบคทีเรียเป็นคนแรกของโลกอีกด้วย

ปีที่ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ค้นพบ เพนิซิลลิน (Penicillin)

ในวันที่ 3 กันยายน 1928 (พ.ศ. 2471) หลังจากกลับมาจากวันหยุดพักผ่อน เฟลมมิ่ง สังเกตเห็นว่าในจานเพาะเชื้อ Staphylococcus ที่เขาได้ทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานข้างหน้าต่าง มีเชื้อราสีเขียวอมฟ้าเติบโตขึ้น และรอบ ๆ เชื้อรานั้นเกิดโซนใส ๆ Killing Zone เฟลมมิ่ง จึงนึกได้ว่าในเชื้อรานี้สามารถยับยั้งเชื้อได้เหมือนที่เขาทดลองนำน้ำมูกของตัวเองวางลงจานเพาะเชื้อก่อนหน้า นั้นแสดงว่าเชื้อรานี้ต้องสามารถสร้างสารอะไรบางอย่างที่สามารถยับยั้งเชื้อ Staphylococcus ได้

หลังนั้นเขาจึงได้ศึกษา และได้สกัดสารจากเชื้อราซึ่งเป็นราในสกุล Penicillium notatum และพบว่าสารนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหลายชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะแบคทีเรียแกรมบวก เช่น Staphylococcus, Streptococcus, และ Pneumococcus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงหลายชนิด หลังจากนั้นเขาก็ได้ และที่น่าตกใจในความบังเอิญครั้งนี้คือ เชื้อที่เขามาปนเปื้อนบนจานเพาะเชื้อ คือ เชื้อราที่เพาะเลี้ยงอยู่แลปชั้นล่างของแลป เฟลมมิ่ง นั้นเอง

เฟลมมิ่งเรียกสารนี้ว่า "เพนิซิลลิน" (Penicillin) ตามชื่อของเชื้อราที่ผลิตมัน เขาได้ตีพิมพ์ผลการค้นพบในวารสาร British Journal of Experimental Pathology ในปี 1929 อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก การค้นพบนี้ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะสกัดเพนิซิลลินในปริมาณมากและในรูปแบบที่บริสุทธิ์พอสำหรับการใช้ในมนุษย์

"เมื่อผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 28 กันยายน 1928 ผมไม่ได้วางแผนที่จะปฏิวัติวงการแพทย์ด้วยการค้นพบยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวแรกของโลก แต่ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมได้ทำ" - อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง กล่าว

โฮวาร์ด ฟลอเรย์ และ เอิร์นสต์ เชน: ผู้พัฒนาเพนิซิลลินสู่การใช้ทางคลินิก

แม้ว่าเฟลมมิ่งจะค้นพบเพนิซิลลินในปี 1928 แต่ต้องใช้เวลาอีกกว่าทศวรรษก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในการรักษาได้จริง การพัฒนาที่สำคัญเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1940 โดย โฮวาร์ด ฟลอเรย์ (Howard Florey) และ เอิร์นสต์ เชน (Ernst Chain) นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด

ฟลอเรย์ ซึ่งเป็นนักพยาธิวิทยาชาวออสเตรเลีย และ เชน นักเคมีชาวเยอรมัน-อังกฤษ ได้ทำการพัฒนาวิธีการสกัดและทำให้เพนิซิลลินบริสุทธิ์ในปริมาณมากพอสำหรับการทดลองทางคลินิก พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) และได้ทำการทดลองในสัตว์ในปี 1940 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของเพนิซิลลินในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย

การทดลองทางคลินิกครั้งแรกในมนุษย์เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1941 กับตำรวจชื่อ อัลเบิร์ต อเล็กซานเดอร์ (Albert Alexander) ซึ่งติดเชื้อรุนแรงจากการขีดข่วนเล็กๆ บนใบหน้าขณะตัดกิ่งกุหลาบ เขาตอบสนองต่อการรักษาด้วยเพนิซิลลินอย่างน่าอัศจรรย์ แต่น่าเศร้าที่ปริมาณยามีไม่เพียงพอ และเขาเสียชีวิตในที่สุด อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเพนิซิลลิน

สงครามโลกครั้งที่ 1: แรงกระตุ้นทำให้เกิดยาปฏิชีวนะ

ทุกครั้งที่เกิดสงครามใหญ่ ๆ ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ เทคโนโลยี ตัวอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการเกิดเทคโนโลยี เครื่องบิน และ ระเบิดนิวเคลียร์ เป็นต้น และสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดเทคโนยีขึ้นมากมายหนึ่งในนั้นก็ คือ หัวกระสุน จากหัวกระสุนลูกกลม ๆ เปลี่ยนมาเป็นหัวแหลม และนี้ คือ แรงผลักดันให้เกิดยาปฏิชีวนะ เนื่องจากหัวกระสุนแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นมานี้ สามารถเจาะ และหมุน ผ่านเชื้อโรคที่อยู่ภายนอก เช่น เสื้อผ้าทหารที่สู้รบอยู่เข้าไปฝั่งในร่างกายได้ทั้ง หัวกระสุน และเชื้อโรค และสาเหตุนี้ทหารที่ถูกยิงถ้าไม่เสียชีวิตด้วยกระสุน ก็อาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่แผลโดนยิงได้ และในช่วงนั้นยาที่ใช้ในการรักษาแผลที่โดนยิงก็มีเพียงยาที่ใช้ภายนอกเพียงเท่านั้น และ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ก็ได้ทดลองเพื่อยืนยันยาฆ่าเชื้อที่ใช้ภายนอกอยู่นั้นไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ รวมไปถึงทำให้อาการทหารที่ติดเชื้อจากการโดนยิงแย่ลงไปอีก เนื่องจากยาที่เทราดไปในยุคนั้นก่อนการค้นพบยาปฏิชีวนะ ไปทำลายสารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างมาต่อสู้กับเชื้อโรคถูกทำลายไปด้วย อีกทั้งยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย และหลังจากการทดลองยืนยันยาฆ่าเชื้อที่ใช้ภายนอกแบบเดิมนี้ใช้งานจริงไม่ได้ จึงเกิดแรงบันดานใจให้ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง อยากวิจัยยาที่สามารถฆ่าเชื้อได้จริง ๆ

สงครามโลกครั้งที่ 2: จุดเปลี่ยนของยาปฏิชีวนะ

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นตัวเร่งที่สำคัญในการพัฒนาเพนิซิลลินในระดับอุตสาหกรรม เนื่องจากความต้องการยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับรักษาทหารที่บาดเจ็บ ด้วยความกลัวว่าเยอรมนีจะยึดครองอังกฤษ ฟลอเรย์และคณะได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1941 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผลิตเพนิซิลลินในปริมาณมาก

สหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่ โดยมีบริษัทเภสัชกรรมหลายแห่ง เช่น Merck, Pfizer, และ Squibb (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Bristol-Myers Squibb) ร่วมมือกันในการค้นหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการผลิตเพนิซิลลิน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสายพันธุ์ Penicillium chrysogenum ที่ให้ผลผลิตเพนิซิลลินสูงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมของเฟลมมิ่งถึง 200 เท่า และได้พัฒนาเทคนิคการหมักในถังขนาดใหญ่

ภายในปี 1944 โรงงานผลิตเพนิซิลลินในสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตยาได้เพียงพอสำหรับทหารพันธมิตรทั้งหมดที่บาดเจ็บในวันดีเดย์ (D-Day) ซึ่งเป็นการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ยาปฏิชีวนะได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อในบาดแผลจาก 18% ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เหลือเพียง 6% ในสงครามโลกครั้งที่ 2

ในปี 1945 อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง, โฮวาร์ด ฟลอเรย์ และ เอิร์นสต์ เชน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ สำหรับการค้นพบเพนิซิลลินและผลในการรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ

การใช้ยาปฏิชีวนะและการเตือนการใช้ยาปฏิชีวนะ

กลไกการทำงานของยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะทำงานโดยการยับยั้งกระบวนการสำคัญของเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลไกหลักๆ ได้ดังนี้:

  1. การยับยั้งการสังเคราะห์ผนังเซลล์: เพนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน และแวนโคมัยซิน ยับยั้งการสร้างเปปติโดไกลแคน (peptidoglycan) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังเซลล์แบคทีเรีย ทำให้เซลล์อ่อนแอและแตกสลายในที่สุด
  2. การยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน: อะมิโนไกลโคไซด์, แมคโครไลด์, เตตราไซคลิน และคลอแรมเฟนิคอล จับกับไรโบโซม (ribosome) ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอด
  3. การยับยั้งการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก: ควิโนโลน และไรแฟมพิซิน ยับยั้งเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ DNA และ RNA ของแบคทีเรีย
  4. การรบกวนเยื่อหุ้มเซลล์: โพลิมิกซิน และโคลิสติน ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรียแกรมลบ ทำให้เซลล์สูญเสียความสมบูรณ์และแตกสลาย
  5. การยับยั้งกระบวนการเมแทบอลิซึมที่สำคัญ: ซัลโฟนาไมด์ และไตรเมโทพริม ยับยั้งกระบวนการสังเคราะห์กรดโฟลิค ซึ่งจำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ DNA ของแบคทีเรีย

ยาปฏิชีวนะบางชนิดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ (bactericidal) ซึ่งทำลายเซลล์แบคทีเรียโดยตรง ในขณะที่บางชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโต (bacteriostatic) ซึ่งป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเพิ่มจำนวน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเภทของยาปฏิชีวนะและการใช้งาน

ยาปฏิชีวนะสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ตามโครงสร้างทางเคมีและกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้:

  1. กลุ่มเบต้าแลคแทม (Beta-lactams)
    • เพนิซิลลิน (Penicillins): อะม็อกซิซิลลิน, เพนิซิลลิน G, เพนิซิลลิน V
    • เซฟาโลสปอริน (Cephalosporins): เซฟาซิดีม, เซฟทริอาโซน, เซฟาเล็กซิน
    • คาร์บาพีเนม (Carbapenems): เมโรพีเนม, อิมิพีเนม, เอร์ตาพีเนม
    • โมโนแบคแทม (Monobactams): อะซโทรนาม
    ใช้รักษาการติดเชื้อที่หลากหลาย ตั้งแต่การติดเชื้อทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ ผิวหนัง ไปจนถึงการติดเชื้อรุนแรงในกระแสเลือด
  2. แมคโครไลด์ (Macrolides)
    • อิริโทรมัยซิน, อะซิโทรมัยซิน, คลาริโทรมัยซิน
    ใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อผิวหนัง และการติดเชื้อเพศสัมพันธ์บางชนิด มักใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน
  3. อะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycosides)
    • เจนตามัยซิน, อะมิคาซิน, โทบรามัยซิน
    ใช้สำหรับการติดเชื้อรุนแรงโดยเฉพาะจากแบคทีเรียแกรมลบ มักใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะกลุ่มอื่นในการรักษาการติดเชื้อรุนแรง
  4. เตตราไซคลิน (Tetracyclines)
    • ด็อกซีไซคลิน, มิโนไซคลิน, เตตราไซคลิน
    ใช้รักษาสิว การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด
  5. ฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones)
    • ซิโพรฟล็อกซาซิน, ลีโวฟล็อกซาซิน, ม็อกซิฟล็อกซาซิน
    ใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปอดอักเสบ การติดเชื้อทางเดินอาหาร และการติดเชื้อผิวหนัง
  6. ลินโคซาไมด์ (Lincosamides)
    • คลินดามัยซิน, ลินโคมัยซิน
    ใช้รักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียแกรมบวกและแบคทีเรียไร้อากาศ โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องปาก ฟัน กระดูก และข้อ
  7. ไกลโคเปปไทด์ (Glycopeptides)
    • แวนโคมัยซิน, ทีโคพลานิน
    ใช้รักษาการติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากแบคทีเรียแกรมบวก โดยเฉพาะเชื้อ Staphylococcus aureus ที่ดื้อต่อเมทิซิลลิน (MRSA)
  8. ออกซาโซลิดิโนน (Oxazolidinones)
    • ลิเนโซลิด, เทดิโซลิด
    ใช้รักษาการติดเชื้อที่ดื้อต่อยาหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อแกรมบวกดื้อยา เช่น MRSA และ Enterococcus ที่ดื้อต่อแวนโคมัยซิน (VRE)

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดเชื้อดื้อยา แพทย์จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ในการเลือกยาปฏิชีวนะ ดังนี้:

  1. ชนิดของเชื้อก่อโรค: ยาปฏิชีวนะแต่ละชนิดมีความสามารถในการฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแตกต่างกัน แพทย์จะเลือกยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อเชื้อที่สงสัยหรือยืนยันแล้ว
  2. ตำแหน่งของการติดเชื้อ: ยาปฏิชีวนะบางชนิดสามารถแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะเฉพาะได้ดีกว่ายาชนิดอื่น เช่น การติดเชื้อในสมอง ยาต้องสามารถผ่านเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองได้
  3. ความรุนแรงของการติดเชื้อ: การติดเชื้อรุนแรงอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ (bactericidal) มากกว่ายาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโต (bacteriostatic)
  4. ประวัติการแพ้ยา: ต้องพิจารณาประวัติการแพ้ยาปฏิชีวนะของผู้ป่วยก่อนการสั่งยา
  5. การทำงานของตับและไต: ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกทางไต บางชนิดถูกเมแทบอไลซ์ในตับ จึงต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง
  6. อายุและน้ำหนัก: ต้องปรับขนาดยาตามอายุและน้ำหนักของผู้ป่วย โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
  7. ประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะ: ประวัติการใช้ยาปฏิชีวนะล่าสุดอาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อดื้อยา
  8. การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร: ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือผ่านทางน้ำนมได้

หลักการสำคัญในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม มีดังนี้:

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ

แม้ว่ายาปฏิชีวนะจะมีประโยชน์มหาศาลในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ก็มีผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ควรระวัง ดังนี้:

  1. การแพ้ยา: อาการแพ้ยาปฏิชีวนะสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น ผื่นคัน ไปจนถึงอาการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น แอนาฟิแล็กซิส (anaphylaxis) กลุ่มเพนิซิลลินและซัลโฟนาไมด์มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง
  2. ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร: อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากยาปฏิชีวนะ เนื่องจากยาอาจรบกวนแบคทีเรียปกติในลำไส้
  3. การติดเชื้อ Clostridium difficile: การใช้ยาปฏิชีวนะอาจนำไปสู่การติดเชื้อ C. difficile ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรงและลำไส้อักเสบ (pseudomembranous colitis) โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
  4. ผลต่อตับและไต: ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น อะมิโนไกลโคไซด์ อาจทำให้เกิดพิษต่อไต ในขณะที่บางชนิด เช่น อิโซเนียซิด หรือริแฟมพิซิน อาจทำให้เกิดพิษต่อตับ
  5. ปฏิกิริยากับยาอื่น: ยาปฏิชีวนะหลายชนิดมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยารักษาโรคประจำตัวอื่นๆ
  6. การรบกวนจุลชีพในร่างกาย: ยาปฏิชีวนะไม่เพียงแต่ฆ่าเชื้อก่อโรค แต่ยังทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อราในช่องปากหรือช่องคลอด (เช่น การติดเชื้อ Candida)
  7. โรคซีรัมซิคเนส (Serum sickness): เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดที่ 3 ที่อาจเกิดหลังได้รับยาปฏิชีวนะบางชนิด มีอาการไข้ ผื่น ปวดข้อ และต่อมน้ำเหลืองโต
  8. ผลต่อระบบประสาท: ฟลูออโรควิโนโลนอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น วิงเวียน สับสน หรือชัก
  9. การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เตตราไซคลิน อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กำลังให้นม
  10. การดื้อยา: การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก

การตระหนักถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงเหล่านี้ จะช่วยให้การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ

1. ยาปฏิชีวนะแตกต่างจากยาแก้อักเสบอย่างไร?

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) และยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory drugs) มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในแง่กลไกการทำงานและวัตถุประสงค์การใช้งาน

ยาปฏิชีวนะออกแบบมาเพื่อฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น ปอดบวม ไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ส่วนยาแก้อักเสบ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อย่างอิบูโพรเฟน หรือยากลุ่มสเตียรอยด์อย่างเพรดนิโซโลน ออกแบบมาเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

2. ยาปฏิชีวนะสามารถรักษาไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่?

ไม่ได้ ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ในขณะที่ยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพเฉพาะต่อเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น การใช้ยาปฏิชีวนะรักษาการติดเชื้อไวรัสไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเชื้อดื้อยาและผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม บางครั้งการติดเชื้อไวรัสอาจนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบหรือปอดบวม ซึ่งในกรณีนี้อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่การวินิจฉัยควรทำโดยแพทย์เท่านั้น

3. ทำไมต้องรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามกำหนด แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว?

การรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามกำหนดมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะเหตุผลสำคัญคือ:

  1. การหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียบางส่วนที่ยังไม่ถูกกำจัดหมดเริ่มเพิ่มจำนวนอีกครั้ง ทำให้การติดเชื้อกลับมาและอาจรุนแรงกว่าเดิม
  2. แบคทีเรียที่แข็งแรงที่สุดมักเป็นตัวสุดท้ายที่ถูกกำจัด การหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้แบคทีเรียเหล่านี้รอดชีวิต และมีโอกาสพัฒนาการดื้อยา
  3. ระยะเวลาการรักษาถูกกำหนดจากหลักฐานทางการแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าการติดเชื้อจะถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์

การรับประทานยาไม่ครบตามกำหนดไม่เพียงส่งผลเสียต่อตัวคุณเอง แต่ยังสนับสนุนการพัฒนาเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก

4. เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีอันตรายอย่างไร?

เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะเกิดขึ้นผ่านกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติ เมื่อแบคทีเรียสัมผัสกับยาปฏิชีวนะ เซลล์ส่วนใหญ่จะถูกฆ่า แต่แบคทีเรียบางตัวที่มีการกลายพันธุ์ทำให้ทนต่อยาได้จะรอดชีวิตและแพร่พันธุ์ เมื่อเวลาผ่านไป แบคทีเรียที่ดื้อยาจะกลายเป็นสายพันธุ์หลัก

ปัจจัยที่เร่งการเกิดเชื้อดื้อยา ได้แก่:

อันตรายของเชื้อดื้อยาคือ การติดเชื้อที่เคยรักษาได้ง่ายกลายเป็นยากต่อการรักษา ต้องใช้ยาที่มีพิษสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าหากไม่มีการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยา ภายในปี 2050 จะมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยามากถึง 10 ล้านคนต่อปี

5. ยาปฏิชีวนะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

ยาปฏิชีวนะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้หลายประการ ซึ่งแตกต่างกันไปตามชนิดของยา ขนาดยา และปัจจัยส่วนบุคคล ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่:

หากคุณสงสัยว่ากำลังเกิดปฏิกิริยาแพ้ยารุนแรง เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม ลิ้นหรือริมฝีปากบวม ควรไปพบแพทย์ฉุกเฉินทันที

6. มีวิธีลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรียโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไรบ้าง?

วิธีการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียโดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะ มีดังนี้:

  1. การรักษาสุขอนามัยที่ดี:
    • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ห้องน้ำ หรือหลังสัมผัสสิ่งสกปรก
    • ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก ปากด้วยมือที่ไม่สะอาด
  2. การฉีดวัคซีนตามกำหนด:
    • วัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อหลายชนิดที่อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา
    • วัคซีนที่สำคัญ เช่น วัคซีนปอดอักเสบ วัคซีนไอกรน วัคซีนฮิบ (Hib) เป็นต้น
  3. การเตรียมและเก็บรักษาอาหารอย่างปลอดภัย:
    • ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
    • ปรุงอาหารให้สุกโดยเฉพาะเนื้อสัตว์
    • เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม
    • แยกอาหารดิบและอาหารปรุงสุก
  4. การดูแลบาดแผล:
    • ทำความสะอาดบาดแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดและสบู่
    • ปิดแผลด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด
    • เปลี่ยนผ้าพันแผลเป็นประจำและดูแลให้แผลแห้งสะอาด
  5. การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง:
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • จัดการความเครียด
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  6. หลีกเลี่ยงการติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วย:
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการติดเชื้อ
    • หากคุณป่วย ควรพักอยู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

การปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะ

7. ความแตกต่างระหว่างยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แคบและออกฤทธิ์กว้างคืออะไร?

ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แคบ (Narrow-spectrum antibiotics) และออกฤทธิ์กว้าง (Broad-spectrum antibiotics) แตกต่างกันในแง่ของชนิดและจำนวนของแบคทีเรียที่สามารถยับยั้งหรือฆ่าได้

ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แคบ (Narrow-spectrum antibiotics):

ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง (Broad-spectrum antibiotics):

แพทย์มักเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แคบเมื่อทราบชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค และเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์กว้างเมื่อไม่แน่ใจหรือสงสัยว่ามีการติดเชื้อหลายชนิด โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องการการรักษาทันที

8. ยาปฏิชีวนะบางชนิดทำให้ยาคุมกำเนิดหมดประสิทธิภาพจริงหรือไม่?

จริงบางส่วน ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน แต่ไม่ใช่ทุกชนิด ยาปฏิชีวนะที่มีหลักฐานชัดเจนว่าลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดคือ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) และไรแฟบูติน (Rifabutin) ซึ่งใช้รักษาวัณโรคและโรคติดเชื้อบางชนิด ยาเหล่านี้กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในตับที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด ทำให้ระดับฮอร์โมนต่ำลงจนอาจไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้

สำหรับยาปฏิชีวนะที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น อะม็อกซิซิลลิน, เตตราไซคลิน, หรือเซฟาโลสปอริน งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานกรณีการตั้งครรภ์ในผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดร่วมกับยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะ (อาเจียน ท้องเสีย) ที่อาจรบกวนการดูดซึมยาคุมกำเนิด

คำแนะนำทั่วไปสำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดและต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ:

9. สามารถดื่มแอลกอฮอล์ขณะรับประทานยาปฏิชีวนะได้หรือไม่?

การดื่มแอลกอฮอล์ขณะรับประทานยาปฏิชีวนะอาจเป็นอันตรายในบางกรณี ผลกระทบขึ้นอยู่กับชนิดของยาปฏิชีวนะ ดังนี้:

  1. ยาปฏิชีวนะที่มีปฏิกิริยารุนแรงกับแอลกอฮอล์:
    • เมโทรนิดาโซล (Metronidazole)
    • ทินิดาโซล (Tinidazole)
    • ลิเนโซลิด (Linezolid) ยาเหล่านี้เมื่อใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาคล้ายดิซูลฟิแรม (disulfiram-like reaction) มีอาการ หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นอันตรายได้
  2. ยาปฏิชีวนะที่อาจมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นเมื่อดื่มแอลกอฮอล์:
    • ยาที่อาจมีผลต่อตับ เช่น ไอโซเนียซิด (Isoniazid), ไรแฟมพิซิน, ไพราซินาไมด์ (Pyrazinamide) แอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อตับ
    • ยาที่อาจทำให้ง่วงซึม เช่น ด็อกซิไซคลิน แอลกอฮอล์จะเสริมฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมมากขึ้น
  3. ยาปฏิชีวนะทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่ำ:
    • อะม็อกซิซิลลิน, เพนิซิลลิน, เซฟาโลสปอรินบางชนิด ไม่มีปฏิกิริยาโดยตรงกับแอลกอฮอล์ แต่แอลกอฮอล์อาจทำให้ผลข้างเคียงของยาเช่นอาการปวดท้อง คลื่นไส้ แย่ลงได้ และอาจรบกวนการฟื้นตัวจากการติดเชื้อ

คำแนะนำทั่วไป: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เนื่องจาก:

ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับความปลอดภัยในการดื่มแอลกอฮอล์กับยาที่คุณได้รับเสมอ

10. ทำไมยาปฏิชีวนะบางชนิดต้องรับประทานพร้อมอาหาร ในขณะที่บางชนิดต้องรับประทานขณะท้องว่าง?

การรับประทานยาปฏิชีวนะพร้อมอาหารหรือขณะท้องว่างมีผลต่อการดูดซึมและประสิทธิภาพของยา รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เหตุผลหลักมีดังนี้:

ยาปฏิชีวนะที่ควรรับประทานพร้อมอาหาร:

  1. ลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร: ยาบางชนิด เช่น อะม็อกซิซิลลิน-คลาวูลาเนต, เมโทรนิดาโซล, หรือไรแฟมพิซิน อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง การรับประทานพร้อมอาหารช่วยลดการระคายเคืองนี้ได้
  2. เพิ่มการดูดซึม: ยาบางชนิด เช่น อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือ ไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมัน

ยาปฏิชีวนะที่ควรรับประทานขณะท้องว่าง:

  1. อาหารรบกวนการดูดซึม: ยาบางชนิด เช่น เตตราไซคลิน, ด็อกซีไซคลิน หรือซิโพรฟล็อกซาซิน จับกับแคลเซียม แมกนีเซียม หรือเหล็กในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทำให้การดูดซึมลดลง
  2. เพิ่มความเข้มข้นของยาในกระแสเลือด: การรับประทานยาขณะท้องว่างทำให้ยาบางชนิดถูกดูดซึมได้เร็วขึ้นและมีความเข้มข้นสูงกว่า ซึ่งอาจสำคัญสำหรับการรักษาบางโรค
  3. ลดการรบกวนจากอาหาร: อาหารอาจเปลี่ยนแปลงความเป็นกรด-ด่างในทางเดินอาหาร ซึ่งมีผลต่อความเสถียรของยาบางชนิด

สิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติ:

สรุป

ยาปฏิชีวนะเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ การค้นพบเพนิซิลลินโดยอเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ในปี 1928 และการพัฒนาสู่การใช้ทางคลินิกโดย โฮวาร์ด ฟลอเรย์ และ เอิร์นสต์ เชน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์อย่างสิ้นเชิง ยาปฏิชีวนะได้ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านจากโรคติดเชื้อต่างๆ และทำให้การผ่าตัดซับซ้อนและการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ เป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมและเกินความจำเป็นได้นำไปสู่วิกฤตการณ์เชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพระดับโลก การดื้อยาทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เคยรักษาได้ง่ายกลายเป็นความท้าทาย และอาจนำไปสู่ยุคหลังยาปฏิชีวนะ (post-antibiotic era) ที่การติดเชื้อธรรมดาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกครั้ง

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล การพัฒนาวิธีการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำ การค้นหายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ และการวิจัยแนวทางการรักษาทางเลือก เป็นกลยุทธ์สำคัญในการต่อสู้กับปัญหาเชื้อดื้อยา ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และอุตสาหกรรมยา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษามรดกอันล้ำค่านี้ไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป

แม้ว่าจะมีความท้าทายในการพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือระดับโลก ทำให้มีความหวังในการค้นพบวิธีการรักษาใหม่ๆ ที่จะช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อดื้อยา และรักษามรดกอันมีค่าของยาปฏิชีวนะไว้สำหรับมวลมนุษยชาติต่อไป


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
เข้าหน้าร้อนแล้ว ไม่ล้างแอร์นาน เสี่ยงเกิดโรคปอดอักเสบ

นกพิราบ พาหะนำโรคที่เปรียบเหมือนหนูบินได้

จริงๆ แล้วคนจีนกินเจเยอะไหม? แล้วกินเจเป็นความเชื่อมาจากไหน?

 

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (5/5 จาก 4 คน)
VOTED: lo73l1, Realtimeer, News Daily TH x โหนกระแสไฟฟ้า, รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"ที่เที่ยวสุดอันซีน เมืองกาญจนบุรี"สามล้อถีบบนสะพานกษัตริย์ศึก พ.ศ. 2500 – ภาพชีวิตเมืองเก่าที่เลือนหาย“แทน ลิปตา” คุกเข่าขอ “พราว โอลีฟส์” แต่งงานหลังจบคอนเสิร์ตของตัวเองพาต้าปิ่นเกล้า: ตำนานห้างเก่าแก่ที่ยังยืนหยัด กับความทรงจำในอดีตเลขเด็ด "ทักษามหาโชค" งวดวันที่ 1 เมษายน 68 มาแล้ว!..รีบส่องรีบรวย ก่อนหวยหมด!3 วิธีป้องกันมอดไม่ให้ขึ้นข้าว"เที่ยวแดนสวรรค์อ่าวไทย สุราษฎร์ธานี"ตะลุยสกลนคร สายมูห้ามพลาด!Model ของแต่ละประเภทธุรกิจอาหารทำข้าวเหนียวมูลง่ายๆ ไม่ต้องง้อร้าน หอม หวาน มัน อร่อยจนต้องทำซ้ำรวม เลขปฏิทินจีน งวด 1/4/68หัวรถจักรรถไฟหลุดหลังออกจากสถานีได้ไม่นาน ทำผู้โดยสารแตกตื่นทั้งคัน 🥲
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
แมวดำ : จากสัญลักษณ์แห่งเงามืดสู่สัญลักษณ์แห่งโชคลาภในประเทศสก็อตแลนด์3 วิธีป้องกันมอดไม่ให้ขึ้นข้าวModel ของแต่ละประเภทธุรกิจอาหารสามล้อถีบบนสะพานกษัตริย์ศึก พ.ศ. 2500 – ภาพชีวิตเมืองเก่าที่เลือนหาย"แกงเทโพ" ความอร่อยที่ ร.2 พระราชนิพนธ์ถึง"เที่ยวแดนสวรรค์อ่าวไทย สุราษฎร์ธานี"
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ทั่วไป
3 วิธีป้องกันมอดไม่ให้ขึ้นข้าวรีวิว Hot Toy Iron Man Mark lX งานสวยตัวโดนที่เอามาให้ดูรีวิวตลับเกมเก่า Dragon Quest l ll lll Remake ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ก่อตั้ง โรงเรียนสมเด็จพระศรีนครินทร์
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง