6 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ต้องไปเยือนในศรีลังกา
ศรีลังกา เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนแห่งนี้เคยรุ่งเรือง ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเคยเผชิญกับการรุกรานมากมาย ทั้งจากอินเดียเพื่อนบ้าน และชาติตะวันตก ที่ต้องการเข้ามายึดครอง ศรีลังกา ผ่านการเปลี่ยนแปลงอำนาจ และชื่อเรียก มาหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งได้รับเอกราชในปี 1948 ทั่วทั้งเกาะ เต็มไปด้วยแหล่งประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าเรื่องราวอันน่าหลงใหลของประเทศ ต่อไปนี้คือ 6 สถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาด
อนุราธปุระ: เมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกา
เมืองโบราณอนุราธปุระ ก่อตั้งขึ้นในปี 377 ก่อนคริสต์ศักราช และเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสิงหลยุคแรก สร้างขึ้นโดยพระเจ้า ปัณฑุกาภยะ (ครองราชย์ 380–367 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งตั้งชื่อเมืองตามพระปิตุลา อนุราธปุระเป็นเมืองที่มีความสำคัญมานานเกือบ 1,400 ปี และเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาเมื่อศาสนาเผยแผ่มายังศรีลังการาวปี 246 ก่อนคริสต์ศักราช พุทธศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติสิงหล และสถาปัตยกรรมของอนุราธปุระสะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาใหม่นี้ เจดีย์ขนาดใหญ่ในเมืองนี้ถือเป็นอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียยุคโบราณ
แม้อนุราธปุระจะเป็นเมืองสำคัญ แต่ก็ต้องเผชิญกับการแย่งชิงอำนาจ และการรุกรานจากกองทัพอินเดียใต้อยู่บ่อยครั้ง หลังจากช่วงเวลาความวุ่นวายหลายศตวรรษ เมืองถูกทำลายลงครั้งสุดท้ายในปี 993 เมื่อกองทัพจากอินเดียใต้บุกโจมตีและเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นซากปรักหักพัง
ปัจจุบัน ซากเมืองโบราณแห่งนี้ ยังคงเป็นหลักฐานของยุคทองแห่งวัฒนธรรมสิงหล อนุสรณ์สถานและวัดวาอารามที่นี่ ถือเป็นความมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ มีขนาดรองลงมาจากพีระมิดแห่งกีซา สิ่งที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันคือ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ (Sri Maha Bodhi) ซึ่งมีอายุกว่า 2,000 ปี และเชื่อกันว่า เป็นกิ่งหนึ่งของต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
วัดถ้ำดัมบุลลา
วัดถ้ำดัมบุลลา มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยของพระเจ้า วลัคคัมภะ (ครองราชย์ 103 และ 89–77 ก่อนคริสต์ศักราช) พระองค์ทรงถูกโค่นบัลลังก์โดยผู้รุกรานจากทมิฬหลังครองราชย์ได้เพียง 5 เดือน และต้องลี้ภัยอยู่ในถ้ำที่ดัมบุลลานานถึง 14 ปี เมื่อสามารถทวงคืนอำนาจ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นในถ้ำที่เคยเป็นที่หลบภัยของพระองค์ เดิมถ้ำมีเพียงโพรงหินขนาดใหญ่ แต่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นห้องถ้ำ 5 ห้องอย่างเป็นระเบียบ ในเวลาต่อมา กษัตริย์หลายพระองค์ได้บูรณะและตกแต่งเพิ่มเติม และสิ่งที่เห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 และ 18 วัดถ้ำแห่งนี้ประดับไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักจากหิน และภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใสที่บอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา
สิกิริยา
สิกิริยา เป็นเมืองหลวงที่มีช่วงเวลาสั้นที่สุด ของศรีลังกา แต่ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่น่าทึ่งที่สุด เดิมทีเคยเป็นสถานที่ปลีกวิเวกของพระสงฆ์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ในอีก 700 ปีต่อมา สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของประวัติศาสตร์ศรีลังกา เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์อันดุเดือด เมื่อเจ้าชายกัสสปะ พระราชโอรสองค์รองของพระเจ้า ธาตุเสนะ (ครองราชย์ 455–473) ทรงยึดบัลลังก์ด้วยการเนรเทศพี่ชายของพระองค์ไปยังอินเดียและสังหารพระราชบิดา ด้วยความหวาดกลัวการแก้แค้นจากพี่ชาย พระองค์จึงทรงสร้างป้อมปราการบนยอดหินสิกิริยาที่สูง 200 เมตร และสร้างพระราชวัง พร้อมด้วยเมืองใหม่ที่ฐานหิน ภายในเวลาเพียง 7 ปี
ในปี 491 พี่ชายของพระองค์ โมคัลลานะ ยกทัพกลับมาเพื่อทวงบัลลังก์ กัสสปะพลาดพลั้งเมื่อทรงนำกองทัพออกจากป้อมปราการอันแข็งแกร่งเพื่อต่อสู้ในที่ราบเบื้องล่าง ขณะศึกดำเนินไป ช้างศึกของพระองค์หนีไป ทำให้ทัพของพระองค์แตกพ่าย กัสสปะจึงเลือกจบชีวิตตนเองแทนที่จะถูกจับกุม หลังจากนั้น เมืองหลวงถูกย้ายกลับไปที่อนุราธปุระ ทำให้สิกิริยามีสถานะเป็นเมืองหลวงเพียง 18 ปี
ต่อมา สิกิริยา กลับมาเป็นที่พำนักของพระสงฆ์อีกครั้ง เป็นเวลากว่า 600 ปี ก่อนถูกทิ้งร้างในปี 1155 และถูกลืมไปนานหลายศตวรรษ ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในศรีลังกา ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ สวนสวนน้ำ พระราชวังโบราณ และรอยเท้าหินสิงห์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเพียงแห่งเดียวของศรีลังกายุคโบราณ นั่นคือ ภาพวาด "สตรีสิกิริยา" ซึ่งถูกเขียนขึ้นบนหน้าผาในศตวรรษที่ 5 ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 21 ภาพจากเดิม 500 ภาพ
โปลอนนารุวะ (Polonnaruwa)
ซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ และได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี ของโปลอนนารุวะ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม และความสำเร็จของศรีลังกาในยุคกลาง เมืองนี้มีความสำคัญทางการค้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช และกลายเป็นฐานที่มั่นของชาวโจฬะจากอินเดียใต้ หลังจากที่พวกเขาทำลายกรุงอนุราธปุระในปี ค.ศ. 993
หลังจาก 75 ปีแห่งการปกครองโดยชาวโจฬะ กษัตริย์วิชัยพาหุที่ 1 (ครองราชย์ 1055–1110) ได้ขับไล่พวกเขาออกไปและสถาปนาโปลอนนารุวะเป็นเมืองหลวงใหม่ เนื่องจากตั้งอยู่ไกลจากอินเดียและมีความปลอดภัยมากกว่า ต่อมา พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 หรือที่รู้จักกันในนาม "ปรากรมพาหุมหาราช" (ครองราชย์ 1153–1186) ได้ปฏิรูปเมืองให้เป็นศูนย์กลางของยุคทองของศรีลังกาในศตวรรษที่ 12
ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ มีการก่อสร้างอาคารและอนุสรณ์สถานที่สำคัญหลายแห่ง รวมถึงวังหลวง วัดลังกาทิลกาวิหาร และวัดวาตะทาเค ซึ่งเป็นอาคารทรงกลมที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่ควอดรังเกิล (Quadrangle) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของยุคกลาง
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ภายใต้การปกครองของพระเจ้าปรากรมพาหุและกษัตริย์นิสังกรรมลล (ครองราชย์ 1186–1196) ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมือง โปลอนนารุวะเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวายในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ด้วยการรุกรานของกองทัพทมิฬ และภายในปี ค.ศ. 1293 เมืองก็ถูกทิ้งร้างและถูกปกคลุมด้วยป่าทึบเป็นเวลานานเกือบ 700 ปี
ป้อมกอลล์ (Galle Fort)
ใจกลางเมืองกอลล์ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของศรีลังกา คือเขตเมืองเก่าที่มีกำแพงป้อมปราการแบบดัตช์ หรือที่รู้จักกันในชื่อป้อมกอลล์ เมืองนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของชาวโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษมายาวนาน
ก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินทางมาถึง กอลล์เป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญเนื่องจากมีท่าเรือธรรมชาติและตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างอาระเบีย อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวโปรตุเกสมาถึงศรีลังกาในปี ค.ศ. 1505 และสร้างป้อมเล็ก ๆ ในกอลล์ในปี ค.ศ. 1589 ต่อมาจึงเสริมป้อมให้แข็งแกร่งขึ้น
ในปี ค.ศ. 1638 ชาวดัตช์ เริ่มโจมตีป้อมของโปรตุเกส ตามแนวชายฝั่งศรีลังกา และในปี ค.ศ. 1640 พวกเขาสามารถยึดป้อมกอลล์ได้สำเร็จ หลังจากนั้น ดัตช์ได้ขยายป้อมปราการออกไป และปกครองเมืองเป็นเวลากว่าศตวรรษ จนกระทั่งศรีลังกา ถูกยกให้กับอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1796 หลังจากที่ดัตช์ พ่ายแพ้ในสงครามนโปเลียน
ตลอดศตวรรษที่ 19 กอลล์ยังคงเป็นท่าเรือที่สำคัญของประเทศ แต่เริ่มเสื่อมความสำคัญลงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อโคลัมโบกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญที่สุดของศรีลังกา ปัจจุบัน ป้อมกอลล์เป็นเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา การเดินเข้าไปในป้อมแห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในยุคอาณานิคม ด้วยบ้านเรือนสไตล์ดัตช์ ถนนสายเล็ก ๆ และโบสถ์เก่าแก่
วัดพระเขี้ยวแก้ว (Temple of the Tooth)
แหล่งท่องเที่ยวหลักของเมืองแคนดี ในเขตที่ราบสูงของศรีลังกา คือ "วัดพระเขี้ยวแก้ว" ตำนานเล่าว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานในปี 543 ก่อนคริสต์ศักราช พระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงพระเขี้ยวแก้ว ถูกเก็บรักษาไว้ และถูกลักลอบนำเข้ามาในศรีลังกา ในศตวรรษที่ 4
พระเขี้ยวแก้ว ถูกเก็บรักษาไว้ในเมืองหลวงของศรีลังกาเสมอ โดยเปลี่ยนสถานที่ตามยุคสมัย เริ่มจากอนุราธปุระ โปลอนนารุวะ และเมืองสำคัญอื่น ๆ เนื่องจากพระธาตุนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจอธิปไตยของกษัตริย์และเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
ในปี ค.ศ. 1284 พระเขี้ยวแก้วถูกกองทัพอินเดียใต้ยึดไป แต่สามารถนำกลับคืนสู่ศรีลังกาได้ในอีกสี่ปีต่อมา ในที่สุด พระเขี้ยวแก้วมาถึงเมืองแคนดีในปี ค.ศ. 1592 และวัดพระเขี้ยวแก้วแห่งแรกถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1600
แม้ว่าวัดดั้งเดิมจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่วัดที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในต้นศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยพระเจ้า Vimaladharmasuriya II (ครองราชย์ 1687–1707) ต่อมามีการขยายและบูรณะหลายครั้ง รวมถึงการสร้างหลังคาทองคำในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นของขวัญจากประธานาธิบดีรณปรเมทะ พรีเมทสะ (Ranasinghe Premadasa)
ในปี ค.ศ. 1998 วัดพระเขี้ยวแก้วถูกโจมตีโดยกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬ (Tamil Tigers) ด้วยระเบิดที่หน้าวัด ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 คน และโครงสร้างด้านหน้าวัดพังทลายลง อย่างไรก็ตาม การบูรณะอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพทำให้ไม่มีร่องรอยของความเสียหายให้เห็นอีก
ปัจจุบัน วัดพระเขี้ยวแก้วยังคงเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของศรีลังกา และเป็นสถานที่แสวงบุญของพุทธศาสนิกชนที่ต้องการมากราบไหว้พระเขี้ยวแก้วอันศักดิ์สิทธิ์
อ้างอิงจาก:
https://shorturl.asia/IlMqX
https://shorturl.asia/cPB0k
https://shorturl.asia/rn0BS



