ม.วลัยลักษณ์ ร่วมกับเทศบาลเมืองปากพูน พัฒนาระบบการจัดการขยะอย่างยั่งยืน
ม.วลัยลักษณ์ ร่วมกับเทศบาลเมืองปากพูน พัฒนาระบบการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ลดปริมาณขยะลดภาระค่าใช้จ่ายของเทศบาล และเพิ่มมูลค่าขยะมูลฝอย สร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 15 มีนาคม 2568 ที่ลานกิจกรรม หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลนครศรีธรรมราช นายชวกิจจ์ สุวรรณคีรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการ " นวัตกรรมเทคโนโลยีสีเขียว และเศรษฐกิจสีเขียวของเทศบาลเมืองปากพูน นำเสนอแนวทางและเทคโนโลยีส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี รศ.ดร. มัลลิกา เจริญสุธาสินี คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะอาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารเทศบาลเมืองปากพูน เจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่าย ประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมชมงานจำนวนมาก
สำหรับการนิทรรศการดังกล่าว ถือเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และเทศบาลเมืองปากพูน ดำเนินการสำรวจ รวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระบบจัดการขยะของเทศบาลเมืองปากพูน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะด้วยเทคโนโลยีสีเขียว และเศรษฐกิจสีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
ทั้งนี้ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนในปัจจุบัน โดยเฉพาะเขตเทศบาลเมืองปากพูน ต้องเผชิญกับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจพบว่า เทศบาลเมืองปากพูนมีปริมาณขยะมากกว่า 18 ตันต่อวัน หรือ 6,570 ตันต่อปี ครอบคลุมพื้นที่ 12 หมู่บ้าน ที่มีประชากรกว่า 16,000 ครัวเรือน และปัญหาขยะตกค้าง ยังก่อเกิดมลภาวะทางอากาศ ทั้งกลิ่น ควันจากการเผาขยะ แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์พาหะนำโรค นอกจากนี้การกำจัดขยะเป็นภาระมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2.7 ล้านบาทต่อปี
ในส่วนของเทศบาลเมืองปากพูน ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการคัดแยกขยะภายในชุมชน มุ่งเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง ส่งผลให้ปริมาณขยะที่ต้องกำจัดลดลงกว่า 10 เท่า เหลือเพียง 1.8 ตันต่อวัน หรือ 657 ตันต่อปี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะลดลงเหลือ 361,350 บาทต่อปี ประหยัดงบประมาณได้ถึง 2.3 ล้านบาทต่อปี
ด้านรศ.ดร. มัลลิกา เจริญสุธาสินี คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการนี้ว่า ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของเทศบาล แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้ขยะมูลฝอย โดยผ่านการนำขยะมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การนำ
เศษอาหารไปใช้เลี้ยงสัตว์ การนำขยะเชื้อเพลิงไปจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง การนำขยะอินทรีย์ไปผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพและก๊าซชีวภาพการนำเศษกิ่งไม้ไปทำวัสดุดินปลูก การใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นวัสดุถมที่ดิน การสกัดน้ำมันจากถุงพลาสติกเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด แต่ยังช่วยส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อีกด้วย














