รัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของอบายมุข
รัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของอบายมุข
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาวจีนมีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดัน สร้างความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจให้สังคมไทยมาช้านานมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แม้จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งในเครื่องมือสร้างพลังทางเศรษฐกิจของชาวจีนก็คือบ่อนอบายมุขทั้งหลาย
ชาวจีนและเชื้อสาย ซึ่งก็คือพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์แบบในทุกวันนี้ มีส่วนในการพัฒนาและดูแลรักษาบ้านเมืองเสมอด้วยพลเมืองไทยและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทั้งไทยรามัญ ไทยมุสลิม ไทยลาว ฯลฯ ที่ล้วนอยู่กระจายกันไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) เศรษฐกิจไทยยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ราชการไทยได้อาศัยรายได้จากเงินบ่อนเบี้ยที่เจ้าสัวนายทุนจีนประมูลเดือนละไม่น้อย
การพนันและการเล่นหวยในสังคมสยาม ที่มาของ “ภาษีบาป”
การจัดเก็บภาษีอากรจากการเล่นการพนันหรือการเล่นหวยของประชาชนสยามเริ่มมีขึ้นอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นัยว่าเป็นนโยบายทางอ้อมที่ดึงเอาเงินสดของประชาชนออกมาได้ในช่วงที่เศรษฐกิจเงินตราเพิ่งจะเริ่มขึ้น โดยคนกลุ่มหลักที่รัฐต้องการเก็บภาษีคือกลุ่มชนชั้นแรงงานชาวจีนที่เข้ามาทำงานในสยามขณะนั้น เพื่อให้ไม่ต้องส่งเงินกลับประเทศตนเองและให้เงินตราหมุนเวียนอยู่ในสยาม โดยมูลค่าการจัดเก็บภาษีอากรบ่อนเบี้ยขณะนั้นมีสูงถึง 400,000 บาทต่อปี
จนมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเก็บภาษีบ่อนและหวยก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ในชื่อ “ภาษีการพนัน” ในแต่ละปีรัฐสามารถจัดเก็บภาษีชนิดนี้ได้สูงถึง 500,000 บาท ทำให้ต่อมามีหลายหัวเมือง เช่น เมืองเพชรบุรีที่มีแรงงานชาวจีนเข้ามาทำงานในโรงงานน้ำตาลจำนวนมาก ได้ทำการขอผูกขาดการเก็บภาษีการพนัน
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความสำคัญของบ่อนและหวยก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับกลายมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ จากสถิติการเก็บภาษีของรัฐใน พ.ศ. 2435-2436 และ พ.ศ. 2439-2440 รายได้รวมจากบ่อน หวย ฝิ่นและสุรา นับเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้รัฐ อาจเรียกได้ว่าเงินที่ได้จาก “ภาษีบาป” เหล่านี้ทำให้รัฐสยามมีรายรับที่มั่นคงมากกว่ารายได้จากแหล่งอื่น ๆ
นอกจากบ่อนจะเป็นแหล่งรายได้ของรัฐแล้ว ก็ยังเป็นเสมือนตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นในการใช้เงินตรานั้น ได้เกิดปัญหาการปลอมแปลงเงินตราขึ้นอย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่กล้าใช้เงินตราแบบใหม่ ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็ยังไม่สามารถผลิตเงินตราแจกจ่ายไปตามมณฑลต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ บ่อนในสมัยนั้นจึงจัดทำเงินหรือปี้ของตนเอง ซึ่งมีลักษณะเหมือนชิปตามบ่อนหรือคาสิโนในสมัยนี้ขึ้นมาใช้
เงินเหล่านี้โดยมากมักทำมาจากแก้ว กระเบื้อง ทองเหลืองหรือโลหะอื่น ๆ มีหลายรูปทรง ไม่ว่าจะเป็น ทรงกลม ทรงรี รูปผีเสื้อ รูปดาว รูปสัตว์ต่างๆ ฯลฯ ซึ่งเงินหรือปี้เหล่านี้จะมีการประทับตราของบ่อนเป็นเครื่องหมายเอาไว้รับรองมูลค่าเพื่อให้คนใช้มีความมั่นใจว่าเป็นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนได้จริง
บ่อนและหวยยังสัมพันธ์กับการขยายตัวของเมือง
นื่องจากในขณะนั้นบ่อนกลายมาเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของชนชั้นล่างโดยเฉพาะพวกกุลีแรงงาน เป็นแหล่งรวมของนักเลง มีหาบเร่ของกินที่มาตั้งแผงขายรองรับผู้มาใช้บริการบ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี โรงงิ้ว และโรงรับจำนำ อาจกล่าวได้ว่าหากบ่อนไปตั้งที่ใด ที่นั้นก็จะกลายเป็นชุมชนขนาดย่อมที่มีร้านรวงต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมาเช่นกัน ทั้งนี้จากการสำรวจจำนวนบ่อนในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2430 พบว่ามีจำนวน 400 แห่ง และในจำนวนนี้ 126 แห่งเป็นบ่อนขนาดใหญ่
การสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับหัวเมืองต่าง ๆ ก็ได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้คนและการเล่นพนันเช่นกัน ใน พ.ศ.2443 เมื่อทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ และนครราชสีมาเสร็จสิ้น ประชาชนจากหัวเมืองนั่งรถไฟเข้ามาในเมืองกรุงเพื่อเล่นการพนันจนต้องมีการจัดรถไฟเสริม
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การเล่นหวยมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะหลังจากที่เส้นทางรถไฟจำนวนมากในเขตหัวเมืองเสร็จสมบูรณ์ มีการส่งโพยหวยผ่านเสมียนชาวจีนที่รออยู่ตามชุมทางรถไฟ ในช่วงเวลานั้นหวยเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชนตั้งแต่คนธรรมดาสามัญไปจนถึงชนชั้นเจ้านาย โดยสามัญชนทั่วไปอาจเริ่มเล่นหวยตั้งแต่จำนวน 1 บาทขึ้นไป ในขณะที่ชนชั้นสูงอาจลงเงินสูงถึง 50 บาทต่อครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้จากบ่อนการพนันและหวยจะมีมาก รัฐสยามก็พยายามที่จะลดจำนวนโรงบ่อนลง โดยสาเหตุที่สำคัญมีหลายประการทั้งเรื่องของการขัดหลักศาสนาพุทธและเรื่องความไม่ “ศิวิไลซ์” ของประเทศ แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือความไม่สงบเรียบร้อยของสังคมอันเนื่องมาจากปัญหาอาชญากรรม ทั้งเรื่องฉกชิงวิ่งราวเพื่อนำทรัพย์สินไปขายกับโรงรับจำนำแล้วนำเงินมาเล่นการพนันและปัญหาซ่องโสเภณี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนบ่อนและการเล่นหวยจะถูกจำกัดขอบเขตในทางกฎหมาย รัฐสยามก็ยังคงใช้การพนันและการเสี่ยงโชคในลักษณะนี้มาเป็นกิจกรรมในการระดมทุน
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการออกล็อตเตอรี่เพื่อระดมเงินสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกิจการเสือป่า การสร้างโรงพยาบาล การจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ให้กับรัฐ เป็นต้น หวยกับการพนันจึงไม่เคยหมดไปจากสังคมสยาม และอาจกล่าวได้ว่ากิจกรรมทั้งสองประเภทเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานและมีส่วนช่วยสำคัญในการสนับสนุนรัฐไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ด้วยเหตุที่ทรงเคยคุ้น รู้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านร้านตลาดรวมทั้งโรงอบายมุข ตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวชในสถานะ “วชิรญาณภิกขุ” ทำให้ทรงเปรียบเทียบเหน็บแนมว่า เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุขทั้งหลาย ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เมื่อ พ.ศ. 2406 ว่า
“เมืองไทยของเราก็เป็นสวรรค์อยู่แล้ว เพราะมีน้ำทิพย์คือ
เหล้ากิน เพราะมีอาหารทิพย์คือฝิ่นสูบ สบายดี และมีต้น-
กัลปพฤกษ์ คือบ่อนโป”
มาถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อได้อ่านพระราชวิจารณ์ที่ทรงปรารภด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปรากฏใน “ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย” ก็จะเห็นความห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ที่จะพลอย “หลงเล่น…ทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งอันหาประโยชน์มิได้”
“การเล่นถั่วโปนั้น เป็นวิชาพนันของจีน พวกจีนพากัน
เข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพ ทำมาหากินอยู่ในกรุงสยาม
ได้ความผาสุก หากินอยู่ตามภูมิลำเนา แล้วพากันก่อการเล่น
โปถั่ว ซึ่งเป็นวิชาถนัดของตนขึ้น ชักชวนคนไทยให้หลงเล่น
ไปด้วย ทำให้เป็นการเสียทรัพย์ เสียเวลา เสียประโยชน์การค้าขาย
และทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งในอันหาประโยชน์มิได้”
เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้พลวัตทางสังคมทำให้เวลานี้ประเทศไทยกำลังจะมี “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ประกอบด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว รวมทั้ง “กาสิโน”
อ้างอิงจาก: กรมศิลปาก :ปี้ในบ่อนเบี้ยหัวเมือง :ศิลปวัฒนธรรม




