Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

รัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของอบายมุข

โพสท์โดย กับข้าวกับปลา

รัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของอบายมุข

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาวจีนมีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดัน สร้างความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจให้สังคมไทยมาช้านานมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แม้จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งในเครื่องมือสร้างพลังทางเศรษฐกิจของชาวจีนก็คือบ่อนอบายมุขทั้งหลาย

ชาวจีนและเชื้อสาย ซึ่งก็คือพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์แบบในทุกวันนี้ มีส่วนในการพัฒนาและดูแลรักษาบ้านเมืองเสมอด้วยพลเมืองไทยและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทั้งไทยรามัญ ไทยมุสลิม ไทยลาว ฯลฯ ที่ล้วนอยู่กระจายกันไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย

ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) เศรษฐกิจไทยยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ราชการไทยได้อาศัยรายได้จากเงินบ่อนเบี้ยที่เจ้าสัวนายทุนจีนประมูลเดือนละไม่น้อย

การพนันและการเล่นหวยในสังคมสยาม ที่มาของ “ภาษีบาป”

การจัดเก็บภาษีอากรจากการเล่นการพนันหรือการเล่นหวยของประชาชนสยามเริ่มมีขึ้นอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นัยว่าเป็นนโยบายทางอ้อมที่ดึงเอาเงินสดของประชาชนออกมาได้ในช่วงที่เศรษฐกิจเงินตราเพิ่งจะเริ่มขึ้น โดยคนกลุ่มหลักที่รัฐต้องการเก็บภาษีคือกลุ่มชนชั้นแรงงานชาวจีนที่เข้ามาทำงานในสยามขณะนั้น เพื่อให้ไม่ต้องส่งเงินกลับประเทศตนเองและให้เงินตราหมุนเวียนอยู่ในสยาม โดยมูลค่าการจัดเก็บภาษีอากรบ่อนเบี้ยขณะนั้นมีสูงถึง 400,000 บาทต่อปี

จนมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเก็บภาษีบ่อนและหวยก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ในชื่อ “ภาษีการพนัน” ในแต่ละปีรัฐสามารถจัดเก็บภาษีชนิดนี้ได้สูงถึง 500,000 บาท    ทำให้ต่อมามีหลายหัวเมือง เช่น เมืองเพชรบุรีที่มีแรงงานชาวจีนเข้ามาทำงานในโรงงานน้ำตาลจำนวนมาก ได้ทำการขอผูกขาดการเก็บภาษีการพนัน

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความสำคัญของบ่อนและหวยก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับกลายมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ จากสถิติการเก็บภาษีของรัฐใน พ.ศ. 2435-2436 และ พ.ศ. 2439-2440 รายได้รวมจากบ่อน หวย ฝิ่นและสุรา นับเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้รัฐ อาจเรียกได้ว่าเงินที่ได้จาก “ภาษีบาป” เหล่านี้ทำให้รัฐสยามมีรายรับที่มั่นคงมากกว่ารายได้จากแหล่งอื่น ๆ

นอกจากบ่อนจะเป็นแหล่งรายได้ของรัฐแล้ว ก็ยังเป็นเสมือนตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นในการใช้เงินตรานั้น ได้เกิดปัญหาการปลอมแปลงเงินตราขึ้นอย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่กล้าใช้เงินตราแบบใหม่ ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็ยังไม่สามารถผลิตเงินตราแจกจ่ายไปตามมณฑลต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ บ่อนในสมัยนั้นจึงจัดทำเงินหรือปี้ของตนเอง ซึ่งมีลักษณะเหมือนชิปตามบ่อนหรือคาสิโนในสมัยนี้ขึ้นมาใช้


เงินเหล่านี้โดยมากมักทำมาจากแก้ว กระเบื้อง ทองเหลืองหรือโลหะอื่น ๆ มีหลายรูปทรง ไม่ว่าจะเป็น ทรงกลม ทรงรี รูปผีเสื้อ รูปดาว รูปสัตว์ต่างๆ ฯลฯ ซึ่งเงินหรือปี้เหล่านี้จะมีการประทับตราของบ่อนเป็นเครื่องหมายเอาไว้รับรองมูลค่าเพื่อให้คนใช้มีความมั่นใจว่าเป็นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนได้จริง

บ่อนและหวยยังสัมพันธ์กับการขยายตัวของเมือง

นื่องจากในขณะนั้นบ่อนกลายมาเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของชนชั้นล่างโดยเฉพาะพวกกุลีแรงงาน เป็นแหล่งรวมของนักเลง มีหาบเร่ของกินที่มาตั้งแผงขายรองรับผู้มาใช้บริการบ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี โรงงิ้ว และโรงรับจำนำ อาจกล่าวได้ว่าหากบ่อนไปตั้งที่ใด ที่นั้นก็จะกลายเป็นชุมชนขนาดย่อมที่มีร้านรวงต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมาเช่นกัน ทั้งนี้จากการสำรวจจำนวนบ่อนในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2430 พบว่ามีจำนวน 400 แห่ง และในจำนวนนี้ 126 แห่งเป็นบ่อนขนาดใหญ่

การสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อกรุงเทพฯ กับหัวเมืองต่าง ๆ ก็ได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้คนและการเล่นพนันเช่นกัน ใน พ.ศ.2443 เมื่อทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ และนครราชสีมาเสร็จสิ้น ประชาชนจากหัวเมืองนั่งรถไฟเข้ามาในเมืองกรุงเพื่อเล่นการพนันจนต้องมีการจัดรถไฟเสริม

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การเล่นหวยมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะหลังจากที่เส้นทางรถไฟจำนวนมากในเขตหัวเมืองเสร็จสมบูรณ์ มีการส่งโพยหวยผ่านเสมียนชาวจีนที่รออยู่ตามชุมทางรถไฟ ในช่วงเวลานั้นหวยเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชนตั้งแต่คนธรรมดาสามัญไปจนถึงชนชั้นเจ้านาย โดยสามัญชนทั่วไปอาจเริ่มเล่นหวยตั้งแต่จำนวน 1 บาทขึ้นไป ในขณะที่ชนชั้นสูงอาจลงเงินสูงถึง 50 บาทต่อครั้ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้จากบ่อนการพนันและหวยจะมีมาก รัฐสยามก็พยายามที่จะลดจำนวนโรงบ่อนลง โดยสาเหตุที่สำคัญมีหลายประการทั้งเรื่องของการขัดหลักศาสนาพุทธและเรื่องความไม่ “ศิวิไลซ์” ของประเทศ แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือความไม่สงบเรียบร้อยของสังคมอันเนื่องมาจากปัญหาอาชญากรรม ทั้งเรื่องฉกชิงวิ่งราวเพื่อนำทรัพย์สินไปขายกับโรงรับจำนำแล้วนำเงินมาเล่นการพนันและปัญหาซ่องโสเภณี


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนบ่อนและการเล่นหวยจะถูกจำกัดขอบเขตในทางกฎหมาย รัฐสยามก็ยังคงใช้การพนันและการเสี่ยงโชคในลักษณะนี้มาเป็นกิจกรรมในการระดมทุน

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการออกล็อตเตอรี่เพื่อระดมเงินสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกิจการเสือป่า การสร้างโรงพยาบาล การจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ให้กับรัฐ เป็นต้น หวยกับการพนันจึงไม่เคยหมดไปจากสังคมสยาม และอาจกล่าวได้ว่ากิจกรรมทั้งสองประเภทเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานและมีส่วนช่วยสำคัญในการสนับสนุนรัฐไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ด้วยเหตุที่ทรงเคยคุ้น รู้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านร้านตลาดรวมทั้งโรงอบายมุข ตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวชในสถานะ “วชิรญาณภิกขุ” ทำให้ทรงเปรียบเทียบเหน็บแนมว่า เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุขทั้งหลาย ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เมื่อ พ.ศ. 2406 ว่า

“เมืองไทยของเราก็เป็นสวรรค์อยู่แล้ว เพราะมีน้ำทิพย์คือ
เหล้ากิน เพราะมีอาหารทิพย์คือฝิ่นสูบ สบายดี และมีต้น-
กัลปพฤกษ์ คือบ่อนโป”

มาถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อได้อ่านพระราชวิจารณ์ที่ทรงปรารภด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปรากฏใน “ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย” ก็จะเห็นความห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ที่จะพลอย “หลงเล่น…ทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งอันหาประโยชน์มิได้”

“การเล่นถั่วโปนั้น เป็นวิชาพนันของจีน พวกจีนพากัน
เข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพ ทำมาหากินอยู่ในกรุงสยาม
ได้ความผาสุก หากินอยู่ตามภูมิลำเนา แล้วพากันก่อการเล่น
โปถั่ว ซึ่งเป็นวิชาถนัดของตนขึ้น ชักชวนคนไทยให้หลงเล่น
ไปด้วย ทำให้เป็นการเสียทรัพย์ เสียเวลา เสียประโยชน์การค้าขาย
และทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งในอันหาประโยชน์มิได้”

เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้พลวัตทางสังคมทำให้เวลานี้ประเทศไทยกำลังจะมี “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ประกอบด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว รวมทั้ง “กาสิโน”

โพสท์โดย: กับข้าวกับปลา
อ้างอิงจาก: กรมศิลปาก :ปี้ในบ่อนเบี้ยหัวเมือง :ศิลปวัฒนธรรม
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
กับข้าวกับปลา's profile


โพสท์โดย: กับข้าวกับปลา
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
มาเป็นคนแรกที่ VOTE ให้กระทู้นี้
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
10 เมืองอาหารที่ดีที่สุดในโลกปี 2025 – กรุงเทพฯ ติดอันดับ…กัน จอมพลัง ขอบาย! ไม่กล้างัดกับคนนี้มีอภิมหาคอนเนคชั่นคอหวยฮือฮา!พระอาทิตย์ทรงกลด ย้ายสรีระ “ หลวงพ่อทอง “ วัดดังเมืองคอน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
“คิมซูฮยอน” จัดแฟนมีตที่ไต้หวัน 30 มีนาคมนี้ กำหนดผู้ร่วมงานต้องอายุเกิน 18 ปีเท่านั้น 😄รูปนี้ฮอตมาก! โบว์ เมลดา ทำยอดไลก์พุ่ง 4 แสน คนแห่ดูอะไรกัน?
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
เสียงของมนุษย์มีอะไรพิเศษ? ทำไมมันถึงไม่เหมือนเสียงอื่นในโลก?"เรียนจีนมาตั้งนาน แต่ทำไมยังฟังไม่ออก? ปัญหาที่หลายคนต้องเจอ!"การแพ้เนื้อสัตว์’: ร่างกายของเราลืมวิธีย่อยเนื้อสัตว์ได้หรือไม่?เวน่อมในชีวิตจริง ปรสิตสุดสยองที่น่าขนลุกไม่แพ้กัน
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง