เคยสงสัยกันไหม ผลไม้รถเข็นถึงหวานฉ่ำจัง? ความลับการเพิ่มความหวานผลไม้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
หลายคนคงเคยสังเกตเห็นว่าผลไม้ตามรถเข็นหรือแผงลอยมีรสชาติหวานฉ่ำ น่ารับประทานเป็นพิเศษ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ความหวานฉ่ำนั้นอาจมาจาก "ดีน้ำตาล" หรือสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่ผู้ขายใช้เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับผลไม้ บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "ดีน้ำตาล" อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ความเป็นมา ส่วนประกอบทางเคมี ผลกระทบต่อสุขภาพ ไปจนถึงวิธีสังเกตและหลีกเลี่ยงสารนี้ในชีวิตประจำวัน
ดีน้ำตาล คืออะไร
ดีน้ำตาล หรือที่รู้จักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "แซคคารีน" (Saccharin) มีชื่อทางเคมีคือ 2,3-dihydro-3-oxobenzisosulfonazole เป็นสารให้ความหวานเทียมที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี พ.ศ. 2422 (ค.ศ. 1879) โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ คอนสแตนติน ฟาห์ลเบิร์ก (Constantine Fahlberg) ขณะทำงานในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์
ดีน้ำตาลมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 300-500 เท่า ทำให้ผู้ประกอบการนิยมใช้เพราะใช้ในปริมาณน้อยแต่ให้ความหวานมาก ส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าการใช้น้ำตาลทรายธรรมดา นอกจากนี้ ดีน้ำตาลยังละลายน้ำได้ดี มีความคงตัวสูงในอุณหภูมิที่ใช้ในการประกอบอาหาร และมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน
ในประเทศไทย นอกจากชื่อ "ดีน้ำตาล" แล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น "ขัณฑสกร" หรือบางท้องถิ่นเรียกว่า "สเว็ท" ซึ่งมาจากคำว่า Sweet ในภาษาอังกฤษ ส่วนในระดับสากล นอกจากชื่อ Saccharin แล้ว ยังมีชื่อทางการค้าหลายชื่อ เช่น Sweet Twin, Sweet'N Low, Necta Sweet เป็นต้น
จากการศึกษาของ วิทยา ศรีดามา และคณะ (2560) พบว่าดีน้ำตาลถูกจัดให้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 389 (พ.ศ. 2561) โดยมีรหัสสากล E954 และมีการกำหนดปริมาณการใช้สูงสุดที่อนุญาตในอาหารแต่ละประเภท
ดีน้ำตาลส่งผลเสียสุขภาพอย่างไร
แม้ว่าดีน้ำตาลจะได้รับการรับรองว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภคในปริมาณที่จำกัด แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปหรือเป็นประจำอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้
1. ผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร
งานวิจัยในวารสาร Nature (Suez et al., 2014) รายงานว่าสารให้ความหวานเทียม รวมถึงแซคคารีน สามารถเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiome) ซึ่งอาจนำไปสู่การดูดซึมกลูโคสที่ผิดปกติและภาวะดื้อต่ออินซูลิน โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานอยู่แล้ว
การศึกษาในปี 2021 โดย Ahmad และคณะ พบว่าการบริโภคดีน้ำตาลในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับการเกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ท้องอืด อาหารไม่ย่อย และในบางกรณีอาจกระตุ้นให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome หรือ IBS)
2. ผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึม
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยพูรด์ (Purdue University) โดย Swithers และคณะ (2013) แสดงให้เห็นว่าการบริโภคสารให้ความหวานเทียมเป็นประจำอาจรบกวนกลไกธรรมชาติของร่างกายในการควบคุมการบริโภคแคลอรี่และการเผาผลาญพลังงาน การที่ร่างกายได้รับรสหวานแต่ไม่ได้รับพลังงานที่สอดคล้องกัน อาจทำให้ระบบควบคุมความอยากอาหารและความอิ่มเสียสมดุล
นอกจากนี้ งานวิจัยในวารสาร Diabetes Care (Pepino et al., 2013) พบว่าสารให้ความหวานเทียมอาจมีผลต่อการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในระยะยาว
3. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน
การศึกษาในหนูทดลองโดย Sharma และคณะ (2016) พบว่าการได้รับดีน้ำตาลในปริมาณสูงเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิด แม้ว่าจะยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ แต่นักวิจัยเสนอว่าควรระมัดระวังการบริโภคในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หรือโรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
4. ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง - ข้อถกเถียงที่ยังไม่มีข้อสรุป
ในช่วงทศวรรษ 1970 มีการศึกษาที่พบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคแซคคารีนในปริมาณสูงกับการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในหนูทดลอง อย่างไรก็ตาม การศึกษาในมนุษย์ในเวลาต่อมาไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจน และในปี 2000 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ถอดแซคคารีนออกจากรายชื่อสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวัง
อย่างไรก็ตาม International Agency for Research on Cancer (IARC) ยังคงจัดให้แซคคารีนอยู่ในกลุ่ม 2B คือ "อาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์" (possibly carcinogenic to humans) ซึ่งหมายถึงมีหลักฐานจำกัดเกี่ยวกับการก่อมะเร็งในมนุษย์ แต่มีหลักฐานเพียงพอในสัตว์ทดลอง
ดีน้ำตาลใช้กับอะไรบ้างในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ดีน้ำตาลถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ดังนี้
1. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
- เครื่องดื่มไดเอท: เป็นหนึ่งในการใช้งานที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะในน้ำอัดลมไดเอทและเครื่องดื่มลดแคลอรี่
- ขนมขบเคี้ยว: ใช้ในการผลิตขนมหวานลดแคลอรี่ หมากฝรั่ง ลูกอม และช็อกโกแลตไดเอท
- อาหารแปรรูป: พบในซอสปรุงรส น้ำสลัด และอาหารกระป๋องบางประเภท
- ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ: เช่น โยเกิร์ตรสหวาน ไอศกรีมไดเอท
- อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน: ใช้ทดแทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (2562) พบว่ามีการใช้ดีน้ำตาลในผลิตภัณฑ์อาหารในประเทศไทยมากกว่า 300 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มลดแคลอรี่
2. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์
- ยาน้ำเชื่อม: ใช้แต่งรสหวานในยาน้ำเชื่อมสำหรับเด็กเพื่อกลบรสขมของตัวยา
- ยาเม็ด: ใช้เป็นสารเคลือบยาเม็ดบางชนิด
- ยาอม: ใช้ในยาอมแก้ไอและยาอมบรรเทาอาการเจ็บคอ
- ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก: ใช้ในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากเพื่อให้รสหวานโดยไม่ก่อให้เกิดฟันผุ
3. อุตสาหกรรมอื่นๆ
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด
- อาหารสัตว์: ใช้เป็นสารแต่งรสในอาหารสัตว์เลี้ยงบางประเภท
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: พบในน้ำยาล้างจานและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีกลิ่นหอม
ดีน้ำตาล กับร้านผลไม้สดพร้อมทาน
ปัจจุบันมีการใช้ดีน้ำตาลอย่างแพร่หลายในผลไม้สดพร้อมทานที่วางขายตามรถเข็นหรือแผงลอย โดยผู้ขายมักใช้ดีน้ำตาลแทนน้ำตาลทรายด้วยเหตุผลหลายประการ:
เหตุผลทางเศรษฐกิจ
จากการสำรวจของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (2561) พบว่าต้นทุนการใช้ดีน้ำตาลต่ำกว่าการใช้น้ำตาลทรายประมาณ 30-40% เนื่องจากใช้ในปริมาณที่น้อยกว่ามากแต่ให้ความหวานเท่ากันหรือมากกว่า
วิธีการใช้ดีน้ำตาลในผลไม้
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการโดย ศูนย์วิจัยอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2562) พบวิธีการใช้ดีน้ำตาลในผลไม้ 3 รูปแบบหลัก:
- การแช่: ผลไม้จะถูกปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้น จากนั้นนำไปแช่ในน้ำผสมดีน้ำตาลเป็นเวลา 1-3 ชั่วโมง
- การฉีด: ใช้เข็มฉีดยาฉีดน้ำดีน้ำตาลเข้าไปในเนื้อผลไม้โดยตรง พบมากในผลไม้ที่มีเนื้อแน่น เช่น มะม่วง แตงโม
- การพ่น: ละลายดีน้ำตาลในน้ำแล้วใช้ขวดสเปรย์พ่นบนผิวผลไม้ที่หั่นแล้ว เช่น สับปะรด มะละกอ
ผลไม้ที่มักพบการใช้ดีน้ำตาล
ศูนย์วิจัยอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2562) รายงานว่าผลไม้ที่พบการใช้ดีน้ำตาลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่:
- มะม่วงดิบ - 73% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ
- แตงโม - 61% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ
- สับปะรด - 58% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ
- มะละกอ - 52% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ
- กล้วย - 47% ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ
โดยพบว่าผลไม้เหล่านี้มักมีปริมาณดีน้ำตาลสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นประจำ
งานวิจัย ดีน้ำตาล
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับดีน้ำตาลมีการดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 จนถึงปัจจุบัน งานวิจัยเหล่านี้มีทั้งที่สนับสนุนและคัดค้านความปลอดภัยในการบริโภค ดังนี้
งานวิจัยสำคัญในต่างประเทศ
- การศึกษาของ Suez et al. (2014) ตีพิมพ์ในวารสาร Nature พบว่าการบริโภคสารให้ความหวานเทียม รวมถึงแซคคารีน สามารถเปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลินและความผิดปกติในการเผาผลาญกลูโคส
- งานวิจัยของ Sylvetsky et al. (2016) ในวารสาร Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics แสดงให้เห็นว่าเด็กและวัยรุ่นที่บริโภคสารให้ความหวานเทียมเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำมากขึ้น
- การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบโดย Azad et al. (2017) ตีพิมพ์ในวารสาร Canadian Medical Association Journal พบว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสารให้ความหวานเทียมช่วยในการลดน้ำหนักในระยะยาว และอาจมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของดัชนีมวลกาย (BMI) และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- งานวิจัยของ Debras et al. (2022) ในวารสาร PLOS Medicine ซึ่งติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษากว่า 100,000 คนเป็นเวลากว่า 9 ปี พบว่าผู้ที่บริโภคสารให้ความหวานเทียมในปริมาณสูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสูงกว่าผู้ที่ไม่บริโภคประมาณ 13%
งานวิจัยในประเทศไทย
- การศึกษาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (2560) ตรวจสอบตัวอย่างผลไม้สดพร้อมทานจากแผงลอยในเขตกรุงเทพมหานคร 120 ตัวอย่าง พบว่า 68% มีการปนเปื้อนของดีน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินมาตรฐาน
- งานวิจัยของ รัตนา เรืองไรวัลย์ และคณะ (2561) จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาผลของดีน้ำตาลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี พบว่าแม้ดีน้ำตาลจะไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรง แต่อาจมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินซึ่งอาจส่งผลต่อระบบเมตาบอลิซึมในระยะยาว
- การศึกษาโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (2562) เก็บตัวอย่างผลไม้จากตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และรถเข็นจำนวน 500 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบการปนเปื้อนดีน้ำตาลในปริมาณที่เกินมาตรฐาน 53% โดยพบมากที่สุดในกลุ่มผลไม้รถเข็น (78%) รองลงมาคือตลาดสด (41%) และห้างสรรพสินค้า (22%)
ข้อถกเถียงทางวิชาการ
แม้จะมีงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับผลกระทบของดีน้ำตาล แต่ยังมีข้อถกเถียงในวงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับความปลอดภัยในการบริโภค โดยนักวิจัยบางกลุ่มเชื่อว่าการบริโภคในปริมาณต่ำตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกมีความปลอดภัย ในขณะที่นักวิจัยอีกกลุ่มเสนอว่าควรหลีกเลี่ยงการบริโภคโดยสิ้นเชิงเนื่องจากยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว
วิธีเช็คว่าอาหารที่ทานมีดีน้ำตาลไหม
การตรวจสอบว่าอาหารหรือผลไม้ที่เรากำลังจะรับประทานมีการเติมดีน้ำตาลหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการสังเกตด้วยประสาทสัมผัส การใช้อุปกรณ์ตรวจสอบอย่างง่าย และการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์
1. การสังเกตด้วยประสาทสัมผัส
ลักษณะทางกายภาพ
- ผลไม้ที่มีการเติมดีน้ำตาลมักมีความมันวาวผิดธรรมชาติ
- เนื้อผลไม้อาจมีความแข็ง กรอบกว่าปกติเล็กน้อย
- อาจสังเกตเห็นรอยเข็มฉีดเป็นจุดเล็กๆ (กรณีที่ใช้วิธีฉีด)
รสชาติ
- ความหวานจะมีลักษณะเฉพาะ คือหวานฉับพลันและรุนแรงกว่าความหวานธรรมชาติของผลไม้
- มักมีรสหวานตลอดทั้งชิ้น แม้ในส่วนที่ปกติไม่ค่อยหวาน
- บางครั้งอาจรู้สึกถึงรสขมหรือโลหะปนอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเคี้ยวนานๆ
กลิ่น
- ดีน้ำตาลบริสุทธิ์มักไม่มีกลิ่น แต่ดีน้ำตาลทางการค้าอาจมีกลิ่นเคมีเจือปนเล็กน้อย
- ผลไม้ที่มีการเติมดีน้ำตาลบางครั้งอาจมีกลิ่นหอมผิดธรรมชาติ หรือกลิ่นคล้ายน้ำหอม
2. การทดสอบอย่างง่าย
การทดสอบด้วยช้อนเงิน วิธีนี้ได้รับการแนะนำจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (2563) โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- นำช้อนเงินแท้ (หรือเหรียญเงิน) มาล้างให้สะอาด
- นำชิ้นผลไม้ที่ต้องการทดสอบมาบดหรือขยี้ให้ละเอียด
- นำน้ำผลไม้ที่ได้มาหยดลงบนช้อนเงิน ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที
- หากพบว่าเกิดคราบสีดำบนช้อนเงิน แสดงว่าอาจมีการเติมดีน้ำตาล เนื่องจากซัลเฟอร์ในแซคคารีนทำปฏิกิริยากับเงิน
การทดสอบด้วยชุดทดสอบสำเร็จรูป ปัจจุบันมีชุดทดสอบดีน้ำตาลแบบพกพาจำหน่ายทั้งในร้านขายยาและร้านค้าออนไลน์ ซึ่งใช้หลักการทางเคมีในการตรวจสอบ โดยมีวิธีใช้ดังนี้:
- เก็บตัวอย่างอาหารหรือผลไม้ที่ต้องการทดสอบ
- ใช้น้ำยาทดสอบตามคำแนะนำในชุด (ส่วนใหญ่เป็นการหยดน้ำยาลงบนตัวอย่าง)
- สังเกตการเปลี่ยนสีของน้ำยา ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีที่ระบุไว้หากมีการเติมดีน้ำตาล
3. การอ่านฉลากผลิตภัณฑ์
สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป สามารถตรวจสอบส่วนประกอบโดยการอ่านฉลากโภชนาการ โดยดีน้ำตาลหรือแซคคารีนอาจปรากฏในรูปแบบชื่อต่างๆ ดังนี้:
- Saccharin หรือ Saccharine
- E954 (รหัสสารเติมแต่งอาหารในระบบ EU)
- Sodium saccharin หรือ Calcium saccharin
- Sweet'N Low (ชื่อทางการค้า)
- ขัณฑสกร
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (2563) แนะนำว่า หากไม่แน่ใจว่าผลไม้ที่ซื้อมามีการเติมดีน้ำตาลหรือไม่ ควรล้างผลไม้ด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง และหากเป็นไปได้ ควรแช่ในน้ำอุ่นประมาณ 15-20 นาที เพื่อช่วยละลายดีน้ำตาลที่อาจอยู่บนผิวผลไม้ออกไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดีน้ำตาล
1. ดีน้ำตาลกับน้ำตาลเทียมอื่นๆ แตกต่างกันอย่างไร?
ดีน้ำตาล (แซคคารีน) เป็นหนึ่งในสารให้ความหวานเทียมที่เก่าแก่ที่สุด มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 300-500 เท่า ในขณะที่สารให้ความหวานเทียมชนิดอื่นๆ เช่น แอสปาร์เทม (Aspartame) มีความหวานประมาณ 200 เท่า และซูคราโลส (Sucralose) มีความหวานประมาณ 600 เท่า แต่ละชนิดมีโครงสร้างทางเคมีและผลต่อสุขภาพที่แตกต่างกัน
2. การบริโภคดีน้ำตาลในปริมาณน้อยมีอันตรายหรือไม่?
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดปริมาณการบริโภคที่ปลอดภัย (Acceptable Daily Intake หรือ ADI) ของแซคคารีนไว้ที่ไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน การบริโภคในปริมาณไม่เกินค่า ADI นี้ถือว่ามีความเสี่ยงน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะแพ้ซัลฟา ผู้ป่วยโรคไต หรือสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคดีน้ำตาลโดยสิ้นเชิง
3. ดีน้ำตาลช่วยในการลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
แม้ว่าดีน้ำตาลจะให้พลังงานน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำตาลทราย แต่การวิจัยล่าสุดพบว่าการบริโภคสารให้ความหวานเทียมเป็นประจำอาจไม่ช่วยในการลดน้ำหนักในระยะยาว และอาจทำให้ร่างกายหิวและต้องการอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การบริโภคแคลอรี่ที่เพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด
4. ดีน้ำตาลปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือไม่?
ดีน้ำตาลไม่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถบริโภคได้ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่าการบริโภคอาจส่งผลต่อการหลั่งอินซูลินและอาจมีผลต่อการตอบสนองต่อกลูโคสในระยะยาว ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภคเป็นประจำ
5. เด็กสามารถรับประทานอาหารที่มีดีน้ำตาลได้หรือไม่?
ในเด็กเล็ก การบริโภคดีน้ำตาลควรมีข้อจำกัดมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า ทำให้ปริมาณที่ปลอดภัยต่อวัน (ADI) ต่ำกว่า นอกจากนี้ การให้เด็กคุ้นเคยกับรสหวานจัดตั้งแต่วัยเยาว์อาจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคในระยะยาว จึงแนะนำให้เด็กบริโภคผลไม้ตามธรรมชาติที่ไม่มีการเติมสารให้ความหวาน
6. ทำไมผู้ขายผลไม้ถึงนิยมใช้ดีน้ำตาลแทนน้ำตาลทราย?
เหตุผลหลักคือต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยกว่ามากแต่ให้ความหวานมากกว่า นอกจากนี้ ดีน้ำตาลยังช่วยเพิ่มอายุการเก็บรักษาผลไม้ได้นานกว่า เนื่องจากคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด และยังทำให้สีสันของผลไม้ดูสดใสน่ารับประทานมากขึ้น
7. มีกฎหมายควบคุมการใช้ดีน้ำตาลในอาหารหรือไม่?
ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดปริมาณการใช้ดีน้ำตาลในอาหารแต่ละประเภทไว้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 389 (พ.ศ. 2561) เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร โดยห้ามใช้ในอาหารบางประเภท เช่น นมและผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ปรุงแต่ง น้ำผลไม้ธรรมชาติ และมีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารแต่ละประเภท
8. หากรับประทานผลไม้ที่มีดีน้ำตาลไปแล้ว ควรทำอย่างไร?
หากรับประทานไปในปริมาณไม่มาก ไม่จำเป็นต้องกังวล เนื่องจากร่างกายสามารถขับดีน้ำตาลออกทางปัสสาวะได้โดยไม่ถูกย่อยสลาย อย่างไรก็ตาม หากรับประทานในปริมาณมากและรู้สึกไม่สบาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเสีย ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมากเพื่อช่วยเจือจางและขับสารออกจากร่างกาย และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
สรุปบทความ
"ดีน้ำตาล" หรือแซคคารีน เป็นสารให้ความหวานเทียมที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 300-500 เท่า ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และยา รวมถึงในผลไม้สดพร้อมทานที่วางขายตามท้องตลาด โดยเฉพาะรถเข็นหรือแผงลอย ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและการดึงดูดผู้บริโภค
แม้ว่าองค์การอาหารและยาของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย จะอนุญาตให้ใช้ดีน้ำตาลในอาหารได้ในปริมาณที่จำกัด แต่การบริโภคในปริมาณมากหรือเป็นประจำอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบเมตาบอลิซึม และระบบภูมิคุ้มกัน
ผลการวิจัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยพบว่า ผลไม้ตามท้องตลาดจำนวนมากมีการเติมดีน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะผลไม้ยอดนิยม เช่น มะม่วงดิบ แตงโม สับปะรด มะละกอ และกล้วย
ผู้บริโภคสามารถสังเกตการใช้ดีน้ำตาลในผลไม้ได้จากลักษณะทางกายภาพ รสชาติ และกลิ่น หรือใช้วิธีทดสอบอย่างง่าย เช่น การทดสอบด้วยช้อนเงิน หรือชุดทดสอบสำเร็จรูป ซึ่งมีจำหน่ายทั้งในร้านขายยาและร้านค้าออนไลน์
ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้บริโภคคือการรับประทานผลไม้ตามฤดูกาลที่ปลูกเองหรือซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือหากต้องการความหวานเพิ่มเติม แนะนำให้ใช้น้ำผึ้งธรรมชาติหรือน้ำตาลทรายในปริมาณที่พอเหมาะแทนการใช้สารให้ความหวานเทียม
ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับดีน้ำตาลและผลกระทบต่อสุขภาพเป็นก้าวสำคัญในการเลือกบริโภคอาหารอย่างปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาว
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
วิตามินที่กินเสริมกัน รู้ไหมเขาสังเคราะห์มาจากอะไร?
วิตามินที่กินเสริมกัน รู้ไหมเขาสังเคราะห์มาจากอะไร?
น้ำผสมวิตามิน มีประโยชน์จริง หรือแค่กลยุทธ์การตลาด?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ


