รอยช้ำ เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก อาจเป็นสัญญาณบอกโรคร้ายแรงได้
รอยช้ำ เป็นการบาดเจ็บบริเวณผิวหนังที่เกิดขึ้นจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก และมีเลือดสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยช้ำขึ้นมา จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
รอยช้ำที่เกิดขึ้นในบางครั้งอาจเป็นอาการที่บ่งบอกโรค หรือ ภาวะผิดปกติของร่างกายบางอย่าง โดยเฉพาะโรคในระบบเลือด หรือหลอดเลือด
สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยช้ำ
อุบัติเหตุ หรือ กระแทกสิ่งของ รอยช้ำเป็นรอยเขียว และเป็นรอยช้ำเพียง 1-2 จุด เฉพาะที่บนร่างกาย กดลงไปแล้วจะเจ็บเบา ๆ อาจเป็นรอยฟกช้ำธรรมดา จากการกระแทกอย่างรุนแรง อย่างเช่น ตกบันได เจาะเลือด ชนขอบโต๊ะ ชนสิ่งของหรือ เดินไปกระแทกกับของแข็งโดยไม่รู้ตัว
ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อย่างเช่น แอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยากลุ่มสเตียรอยด์ ผลข้างเคียงจากยา อาจทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะบาง และแตกง่าย จนเกิดรอยช้ำตามร่างกายได้บ่อยครั้ง
ขาดสารอาหารบางอย่าง ขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซีและเค วิตามินซีอาจจะขาดจากการกินผลไม้ไม่พอ วิตามินเคอาจเกิดจากได้รับยาฆ่าเชื้อติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เลือดออกได้ง่าย จุดเลือดออก หรือจ้ำเลือด เกิดได้ทั่วร่างกาย หากปล่อยไว้นานอาจรุนแรงขึ้นจนมีเลือดออกในอวัยวะสำคัญได้
อายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังบางลง ไขมันและคอลลาเจนที่ช่วยปกป้องเส้นเลือดก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้เส้นเลือดเปราะบางและแตกง่าย จึงเกิดเป็นรอยคล้ำเมื่อเลือดออกที่ผิวหนัง
เกล็ดเลือดต่ำ หรือ เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ รอยช้ำจะเห็นได้ตามผิวหนังตื้น ๆ เจอได้ชัดตามข้อพับ เกล็ดเลือดต่ำเกิดได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่ยาที่รับประทานไปจนถึงมะเร็ง หรือไขกระดูกฝ่อ ซึ่งต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม
ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก มักเป็นบริเวณขา และ เกิดรอยจ้ำเขียว รู้สึกปวดร่วมกับมีอาการบวม ถ้าลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันที่ปอดอาจทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอก ไอ ไอปนเลือด เวียนศีรษะ หายใจถี่และหมดสติ เป็นอันตรายถึงชีวิต
ภาวะไขกระดูกทำงานบกพร่อง เกิดจากเกล็ดเลือดต่ำ เพราะร่างกายสร้างได้ไม่ปกติ ทำให้มีรอยจ้ำ หรือ รอยช้ำเลือดตามร่างกาย เลือดออกง่าย อย่างเช่น เลือดกำเดา เลือดออกในช่องปาก หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีอาจกลายเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย เป็น 1 ใน 10 โรคมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย จะเกิดขึ้นในไขกระดูก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเม็ดเลือด เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเติบโตมากผิดปกติ และไม่สามารถกลายเป็นเม็ดเลือดที่สมบูรณ์ได้ จนไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติชนิดอื่น ส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อง่าย อ่อนเพลีย เลือดออกง่ายผิดปกติ และเกิดจ้ำเลือดตามร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว และถูกวิธีอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ง่าย
ขาดโปรตีนแฟคเตอร์8 หากเป็นตั้งแต่กำเนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมเรียกว่าโรคฮีโมฟิเลีย อาจถูกกระตุ้นจากโรคอื่น ๆ ได้ด้วย ทำให้การแข็งตัวของเลือดลดลงจนเกิดภาวะเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก และเกิดรอยฟกช้ำจ้ำใหญ่ทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะมีเลือดออกค่อนข้างรุนแรง ตามการขาดโปรตีนแฟคเตอร์
วิธีดูแลรักษารอยช้ำเบื้องต้น
ประคบเย็น รอยช้ำที่เกิดภายใน 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นทันที โดยใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกห่อด้วยผ้า แล้วนำมาประคบบริเวณที่มีรอยช้ำอย่างน้อย 20 นาที ความเย็นจะทำให้เลือดใต้ผิวหนังมีความแข็งตัว ให้ประคบต่อเนื่องแบบนี้ 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีรอยช้ำเขียว
ประคบร้อน เมื่อระยะเวลาผ่านไป 2 วัน หลังจากการเกิดรอยช้ำสามารถประคบร้อนได้ โดยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาประคบในบริเวณที่มีรอยช้ำครั้งละ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้เลือดมีการไหลเวียนได้ดีขึ้นทำให้รอยช้ำหายเร็ว
รับประทานยาแก้ปวด หากมีอาการปวดร่วมด้วยสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ อย่างเช่น ยาพาราเซตามอล
พักรอยช้ำไว้บนที่สูง พักรอยช้ำไว้ให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก วิธีนี้สำคัญมาก หากมีรอยช้ำ พยายามพัก อย่าใช้แรงร่างกายส่วนที่มีรอยช้ำให้มากนัก
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย กินอาหารที่มีวิตามิน และแร่ธาตุ จะช่วยป้องกันการเกิดรอยช้ำ และช่วยให้ระยะเวลาการฟื้นหายเร็วขึ้น ได้แก่ ไข่ นม ผลไม้วิตามินซีสูง และผักสีเขียวเข้ม

















