Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

โกลด์แมน แซคส์ เคยกว้านซื้อหนี้คนไทยช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง

เนื้อหาโดย News Daily TH x เปิด War

วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 เป็นเหตุการณ์ที่สร้างบทเรียนครั้งสำคัญให้กับประเทศไทย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเงินและสุขภาพทางเศรษฐกิจของประชาชน ในช่วงเวลานั้น บริษัทต่างชาติรายใหญ่หลายแห่งได้เข้ามามีบทบาทในการซื้อหนี้ของคนไทย หนึ่งในนั้นคือ โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) บริษัทการเงินระดับโลกที่ได้เข้ามาซื้อหนี้ในประเทศไทยจำนวนมหาศาล บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง

โกลด์แมน แซคส์ คือบริษัทอะไร

โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เป็นบริษัทการเงินระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) โดย มาร์คัส โกลด์แมน ทำธุรกิจให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Banking) การจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) การค้าหลักทรัพย์ (Securities) และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment)

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 โกลด์แมน แซคส์ได้ขยายการลงทุนอย่างมากในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทได้สร้างฐานทางธุรกิจในประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

ตามข้อมูลจากงานวิจัยของ Bhagwati และ Elliott (2000) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โกลด์แมน แซคส์เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ (International Capital Flow) ซึ่งมีส่วนในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลก

โกลด์แมน แซคส์ เกี่ยวข้องกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งอย่างไร

วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Deficit) และการผูกค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง

ในช่วงวิกฤต โกลด์แมน แซคส์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในประเทศไทยใน 2 ลักษณะ:

  1. การเก็งกำไรค่าเงินบาท: จากรายงานของ Stiglitz (2002) อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก โกลด์แมน แซคส์เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ทำการเก็งกำไรค่าเงินบาทผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward Market) โดยการขายเงินบาทจำนวนมาก ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการพยุงค่าเงิน
  2. การซื้อหนี้ในราคาถูก: หลังจากที่วิกฤตลุกลามและทำให้เกิดหนี้เสียจำนวนมหาศาลในระบบ โกลด์แมน แซคส์ได้เข้ามาซื้อหนี้เหล่านี้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Deep Discount) ตามงานวิจัยของ Kawai และ Takayasu (1999) จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเอเชีย พบว่าโกลด์แมน แซคส์ซื้อหนี้ในประเทศไทยด้วยส่วนลดประมาณ 60-80% ของมูลค่าหนี้

จากผลการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2543) พบว่าในช่วงปี 2540-2543 โกลด์แมน แซคส์ได้เข้าซื้อหนี้ในประเทศไทยมูลค่ารวมประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทในขณะนั้น) ผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ คือ บริษัท แอสเซท วัน จำกัด

หนี้เสียคืออะไร

หนี้เสีย หรือ Non-Performing Loan (NPL) หมายถึง เงินกู้ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วันขึ้นไป หรือเป็นหนี้ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ตามปกติ ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยประสบปัญหาหนี้เสียในระบบธนาคารพาณิชย์ถึงประมาณ 47% ของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก

ตามงานวิจัยของ Siamwalla (2000) จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า สาเหตุหลักของการเกิดหนี้เสียในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง มาจาก:

  1. การขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงก่อนวิกฤต: ธนาคารพาณิชย์ไทยปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่า 20% ต่อปีในช่วงปี 2533-2539 โดยไม่ได้ประเมินความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
  2. การกู้ยืมเงินตราต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยต่ำ: สถาบันการเงินไทยกู้ยืมเงินในรูปสกุลเงินต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า แล้วนำมาปล่อยกู้ในรูปเงินบาท โดยไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
  3. การลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: เงินกู้จำนวนมากถูกนำไปลงทุนในโครงการที่ไม่สร้างกระแสเงินสดเพียงพอ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดภาวะอุปทานล้นตลาด

เมื่อประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาระหนี้ในรูปเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด จนกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด

หนี้ดีคืออะไร

หนี้ดี หรือ Performing Loan หมายถึง เงินกู้ที่ลูกหนี้สามารถชำระคืนได้ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา โดยไม่มีการผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วัน หนี้ดีสะท้อนถึงคุณภาพของสินเชื่อที่ดี และเป็นสิ่งที่สถาบันการเงินต้องการ

ลักษณะสำคัญของหนี้ดี ได้แก่:

  1. การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตรงเวลา: ลูกหนี้สามารถชำระเงินได้ตามกำหนดเวลาในสัญญาเงินกู้
  2. ความสามารถในการสร้างรายได้: สินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันหรือโครงการที่ได้รับเงินกู้สามารถสร้างกระแสเงินสดเพียงพอในการชำระหนี้
  3. ความเสี่ยงต่ำ: ลูกหนี้มีความมั่นคงทางการเงินและมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี

ในช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง สัดส่วนหนี้ดีของธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับที่สูงมาก ประมาณ 95% ของสินเชื่อทั้งหมด ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่หลังจากเกิดวิกฤต สัดส่วนหนี้ดีลดลงเหลือเพียงประมาณ 53% เท่านั้น

Chaipravat และ Hoontrakul (2000) นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า การเปลี่ยนสถานะจากหนี้ดีเป็นหนี้เสียในช่วงวิกฤตเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคมากกว่าความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ของลูกหนี้เอง โดยเฉพาะการอ่อนค่าของเงินบาทและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรง

เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังโกลด์แมน แซคส์เหมาซื้อหนี้คนไทยไป

หลังจากที่โกลด์แมน แซคส์ได้ซื้อหนี้จำนวนมากในประเทศไทย เกิดผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย ดังนี้:

ผลกระทบในระยะสั้น (1-3 ปี)

  1. การฟ้องร้องบังคับคดีเพิ่มขึ้น: ตามรายงานของสำนักงานศาลยุติธรรม (2544) พบว่าคดีบังคับชำระหนี้ในศาลล้มละลายกลางเพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วงปี 2540-2543 โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่โกลด์แมน แซคส์และบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ เร่งดำเนินการทางกฎหมายกับลูกหนี้
  2. การปรับโครงสร้างหนี้: งานวิจัยของ Vichyanond (2001) จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า โกลด์แมน แซคส์ได้จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีทั้งการลดเงินต้น การขยายระยะเวลาชำระหนี้ และการแปลงหนี้เป็นทุน
  3. การขายสินทรัพย์ในราคาถูก: หลายกรณี โกลด์แมน แซคส์เลือกที่จะขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด เพื่อเร่งรับรู้กำไรจากการลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์โดยรวม

ผลกระทบในระยะกลาง (3-5 ปี)

  1. การฟื้นตัวของตลาดสินทรัพย์: การเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์และนักลงทุนต่างชาติรายอื่นๆ ช่วยให้เกิดสภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์ที่มีปัญหา และทำให้ราคาสินทรัพย์เริ่มฟื้นตัวในช่วงปี 2544-2545
  2. การถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหารหนี้: Menkhoff และ Suwanaporn (2007) จากมหาวิทยาลัย Hannover ระบุว่า การที่บริษัทต่างชาติเข้ามาบริหารหนี้ในประเทศไทย ได้นำเทคนิคและแนวปฏิบัติใหม่ๆ ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการบริหารหนี้ในประเทศไทย
  3. การเปลี่ยนแปลงกฎหมายล้มละลาย: รัฐบาลไทยได้ออกพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (พ.ร.ก. บสท.) และแก้ไขกฎหมายล้มละลายในปี 2542 เพื่อรองรับการบริหารจัดการหนี้เสียในระบบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการบังคับคดีจากนักลงทุนต่างชาติ

ผลกระทบในระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)

  1. กำไรจากการลงทุน: จากการศึกษาของ Nikomborirak (2006) จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า โกลด์แมน แซคส์สามารถทำกำไรจากการลงทุนในหนี้ไทยได้มากกว่า 200% ในระยะเวลา 5-7 ปี โดยมีทั้งกำไรจากการบังคับหลักประกัน การปรับโครงสร้างหนี้ และการขายต่อหนี้ให้กับนักลงทุนรายอื่น
  2. การพัฒนาตลาดทุน: การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหนี้ไทย ช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตลาดตราสารหนี้และตลาดทุนในประเทศไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านความโปร่งใสและการกำกับดูแลกิจการที่ดี
  3. บทเรียนสำหรับระบบธนาคาร: ประสบการณ์จากวิกฤตต้มยำกุ้งและการเข้ามาซื้อหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับระบบธนาคารไทย ทำให้มีการปรับปรุงนโยบายการให้สินเชื่อและการบริหารความเสี่ยงให้รัดกุมมากขึ้น

ศาสตราจารย์ ดร.ปราณี ทินกร (2548) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ว่า แม้โกลด์แมน แซคส์จะได้กำไรมหาศาลจากการซื้อหนี้ไทยในราคาถูก แต่การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติในช่วงวิกฤต ก็มีส่วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยการแบ่งเบาภาระการบริหารจัดการหนี้เสียจากสถาบันการเงินไทย

ผลกระทบต่อลูกหนี้หลังมีการซื้อหนี้

การที่โกลด์แมน แซคส์และบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ เข้ามาซื้อหนี้ในประเทศไทย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกหนี้ทั้งภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดา ดังนี้:

ผลกระทบด้านลบ

  1. การเร่งรัดหนี้ที่เข้มงวดขึ้น: จากการศึกษาของ Siamwalla และ Vichyanond (2003) ระบุว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างชาติมักใช้วิธีการเร่งรัดหนี้ที่เข้มงวดกว่าสถาบันการเงินไทย มีการฟ้องร้องบังคับคดีโดยไม่ผ่อนผันระยะเวลา และมีการบังคับหลักประกันอย่างรวดเร็ว
  2. ต้นทุนในการเจรจาต่อรองที่สูงขึ้น: ลูกหนี้หลายรายต้องจ้างที่ปรึกษากฎหมายและที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเจรจาต่อรองกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างชาติ ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในช่วงที่ธุรกิจกำลังประสบปัญหาทางการเงิน
  3. ความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต: จากรายงานของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2545) พบว่า ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องบังคับคดีในช่วงหลังวิกฤตมีอัตราการเจ็บป่วยทางจิตเวชสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 3 เท่า โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล
  4. การสูญเสียทรัพย์สิน: ลูกหนี้ทั้งรายบุคคลและธุรกิจจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ทั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และเครื่องจักรในการผลิต ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการประกอบอาชีพในระยะยาว
  5. ประวัติเครดิตเสียหาย: ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจะมีประวัติเครดิตเสียหาย ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้อีกเป็นเวลานาน แม้จะมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจหรือมีรายได้เพียงพอในภายหลัง

ผลกระทบด้านบวก

  1. โอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้: บางกรณี โกลด์แมน แซคส์และบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ มีความยืดหยุ่นในการปรับโครงสร้างหนี้มากกว่าธนาคารพาณิชย์ไทย เนื่องจากซื้อหนี้มาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ทำให้สามารถลดหนี้ต้นเงินได้มากกว่า
  2. การได้รับคำปรึกษาทางธุรกิจ: ในบางกรณี บริษัทบริหารสินทรัพย์มีผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูกิจการที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ในการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของ Claessens และคณะ (2001) ที่พบว่าบริษัทที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้และมีที่ปรึกษาจากต่างประเทศมีอัตราการอยู่รอดสูงกว่า
  3. การแปลงหนี้เป็นทุน: ในหลายกรณี โกลด์แมน แซคส์เลือกใช้วิธีการแปลงหนี้เป็นทุน (Debt-to-Equity Swap) แทนการบังคับหลักประกัน ทำให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ และลูกหนี้ยังมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ แม้จะมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของที่ลดลง

จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2546) พบว่า ลูกหนี้ที่หนี้ถูกซื้อโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างชาติแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่สามารถฟื้นตัวได้ภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้ (ประมาณ 30%) กลุ่มที่ต้องขายกิจการหรือทรัพย์สินบางส่วนเพื่อชำระหนี้ (ประมาณ 45%) และกลุ่มที่ต้องปิดกิจการหรือล้มละลาย (ประมาณ 25%) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบต่อลูกหนี้มีความแตกต่างกันไปตามศักยภาพทางธุรกิจและความร่วมมือในการเจรจา

สุขภาพทางการเงินกับวิกฤตเศรษฐกิจ

วิกฤตต้มยำกุ้งและการเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพทางการเงินและสุขภาพจิตของประชาชนอย่างมาก

การศึกษาของ Tangcharoensathien และคณะ (2000) ได้รายงานว่า ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ อัตราการเจ็บป่วยทางจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าและความเครียด ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาทางการเงิน

นอกจากนี้ Phongpaichit และ Baker (2000) ชี้ให้เห็นว่า การเร่งรัดหนี้จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างชาติในช่วงหลังวิกฤต ส่งผลให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมากต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดการว่างงานและความยากจนเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง

งานศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดย Warr และ Krongkaew (2002) พบว่า สัดส่วนคนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 11.4% ในปี 2539 เป็น 15.9% ในปี 2542 ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการสูญเสียงานและทรัพย์สินจากวิกฤตหนี้เสีย โดยพบว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีการกู้ยืมเงินเพื่อขยายกิจการในช่วงก่อนวิกฤต

บทเรียนสำหรับสุขภาพทางการเงินในปัจจุบัน

จากประสบการณ์วิกฤตต้มยำกุ้งและการซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์ มีบทเรียนสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพทางการเงินในปัจจุบัน ดังนี้:

  1. การจัดการหนี้อย่างรับผิดชอบ: ทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร ควรมีการบริหารจัดการหนี้อย่างระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้เกินความสามารถในการชำระ และมีแผนรองรับในกรณีที่เกิดวิกฤตทางการเงิน งานวิจัยของ Athukorala และ Warr (2002) ระบุว่า ธุรกิจที่มีอัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) ต่ำกว่า 1:1 มีอัตราการอยู่รอดหลังวิกฤตสูงกว่าถึง 3 เท่า
  2. การสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน: บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจสอนให้รู้ว่า การมีเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (2550) แนะนำให้ครัวเรือนมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
  3. การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวหรือภาคธุรกิจเดียว แต่ควรกระจายการลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์และภาคธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด การศึกษาของ Tepsiri และ Nithisathian (2014) พบว่า นักลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนในช่วงวิกฤตสามารถรักษามูลค่าพอร์ตการลงทุนได้ดีกว่านักลงทุนที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวถึง 40%
  4. ความระมัดระวังเกี่ยวกับหนี้ต่างประเทศ: หากต้องกู้ยืมเงินในรูปสกุลเงินต่างประเทศ ควรมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (2552) ระบุว่า ธุรกิจที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงวิกฤตมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าถึง 2.5 เท่า
  5. การติดตามสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจ: ควรติดตามสถานการณ์และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และราคาสินทรัพย์ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง Kaminsky, Lizondo และ Reinhart (1998) ได้พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) ที่สามารถระบุสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจล่วงหน้าได้ 12-18 เดือน ซึ่งถูกนำมาใช้โดยนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายในปัจจุบัน
  6. การพัฒนาความรู้ทางการเงิน: การศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (2555) พบว่า ระดับความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสามารถในการรับมือกับวิกฤตทางการเงิน ดังนั้น การพัฒนาความรู้และทักษะทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทางการเงินในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินไทยหลังวิกฤต

วิกฤตต้มยำกุ้งและการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติอย่างโกลด์แมน แซคส์ ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินของประเทศไทย ดังนี้:

  1. การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน: ธนาคารพาณิชย์ไทยได้ปรับปรุงระบบการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะการนำหลักเกณฑ์ Basel มาใช้ในการกำกับดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน
  2. การเพิ่มความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล: สถาบันการเงินมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น ทำให้นักลงทุนและผู้ฝากเงินสามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การพัฒนาตลาดตราสารหนี้: ตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างมากหลังวิกฤต เพื่อลดการพึ่งพาเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ และเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนสำหรับภาคธุรกิจ
  4. การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์: มีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และบริษัทบริหารสินทรัพย์เอกชนหลายแห่ง เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบอย่างเป็นระบบ
  5. การเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน: ประเทศไทยได้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบผูกติด (Fixed Exchange Rate) เป็นระบบลอยตัวแบบจัดการ (Managed Float) ซึ่งมีความยืดหยุ่นและสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากขึ้น

Menkhoff และ Suwanaporn (2007) สรุปว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลให้ระบบการเงินของประเทศไทยมีความเข้มแข็งและยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าในอดีต ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ได้โดยได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้นเมื่อไรและมีสาเหตุจากอะไร?

วิกฤตต้มยำกุ้งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท สาเหตุหลักมาจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง การเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ การกู้ยืมระยะสั้นจากต่างประเทศเพื่อการลงทุนระยะยาว และการผูกค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง

2. โกลด์แมน แซคส์ซื้อหนี้ในประเทศไทยมูลค่าเท่าไร?

ตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2543) โกลด์แมน แซคส์ได้เข้าซื้อหนี้ในประเทศไทยมูลค่ารวมประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทในขณะนั้น) ผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ คือ บริษัท แอสเซท วัน จำกัด โดยซื้อในราคาที่มีส่วนลดประมาณ 60-80% ของมูลค่าหนี้

3. เหตุใดสถาบันการเงินต่างชาติจึงสนใจซื้อหนี้เสียในประเทศไทย?

นักลงทุนต่างชาติอย่างโกลด์แมน แซคส์เห็นโอกาสทำกำไรจากการซื้อหนี้ในราคาที่ต่ำมาก (Deep Discount) แล้วบริหารจัดการเพื่อเรียกเก็บหนี้หรือบังคับหลักประกัน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ให้เป็นหนี้ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นการได้เข้ามามีบทบาทในตลาดการเงินไทยในช่วงที่สถาบันการเงินท้องถิ่นอ่อนแอ

4. หนี้เสียในระบบธนาคารไทยช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งมีมูลค่าเท่าไร?

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยประสบปัญหาหนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์สูงถึงประมาณ 47% ของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (2544) ซึ่งถือเป็นวิกฤตหนี้เสียที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก

5. การเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์ส่งผลดีต่อประเทศไทยอย่างไร?

การเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์และนักลงทุนต่างชาติรายอื่นๆ ช่วยให้สถาบันการเงินไทยสามารถลดสัดส่วนหนี้เสียในงบดุลลงได้ ทำให้มีความสามารถในการปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และทำให้เกิดการพัฒนาเทคนิคการบริหารหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเป็นระบบ

6. ลูกหนี้สามารถปฏิเสธการขายหนี้จากธนาคารไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ได้หรือไม่?

ไม่ได้ การขายหนี้จากสถาบันการเงินเดิมไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้รับโอนสิทธิ (เช่น โกลด์แมน แซคส์) จะมีสิทธิเรียกร้องไม่เกินไปกว่าที่ผู้โอน (ธนาคารเดิม) มีอยู่ และลูกหนี้ยังคงสามารถยกข้อต่อสู้ที่มีต่อเจ้าหนี้เดิมขึ้นต่อสู้กับเจ้าหนี้ใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

7. การเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์ส่งผลเสียต่อประเทศไทยอย่างไร?

ผลเสียที่สำคัญ ได้แก่ การสูญเสียโอกาสในการทำกำไรจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาสินทรัพย์ในระยะยาว การเร่งรัดหนี้และบังคับคดีทรัพย์สินอย่างเข้มงวดส่งผลกระทบต่อลูกหนี้และเศรษฐกิจโดยรวม และการที่นักลงทุนต่างชาติมีอำนาจต่อรองสูงในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

8. บริษัทบริหารสินทรัพย์มีกลยุทธ์ในการจัดการหนี้เสียอย่างไร?

บริษัทบริหารสินทรัพย์มีกลยุทธ์หลัก 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) โดยการลดหนี้ ขยายระยะเวลาชำระ หรือลดอัตราดอกเบี้ย 2) การบังคับหลักประกันและขายทอดตลาด 3) การแปลงหนี้เป็นทุน (Debt-to-Equity Swap) และ 4) การขายต่อหนี้ให้กับนักลงทุนรายอื่น กลยุทธ์ที่เลือกใช้ขึ้นอยู่กับมูลค่าหลักประกัน ศักยภาพของลูกหนี้ และระยะเวลาการลงทุนที่บริษัทบริหารสินทรัพย์วางแผนไว้

9. วิกฤตต้มยำกุ้งส่งผลกระทบต่อรายได้และการจ้างงานของประชาชนไทยอย่างไร?

วิกฤตต้มยำกุ้งทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทยลดลงประมาณ 12-15% ในช่วงปี 2540-2542 ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2539 เป็น 4.4% ในปี 2541 คิดเป็นผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีแรงงานจำนวนมากที่ต้องย้ายกลับภาคเกษตรกรรมซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า ส่งผลให้ความยากจนในชนบทเพิ่มสูงขึ้น

10. ประเทศไทยได้เรียนรู้อะไรจากการซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์และวิกฤตต้มยำกุ้ง?

บทเรียนสำคัญ ได้แก่ ความจำเป็นในการมีระบบเตือนภัยทางเศรษฐกิจ (Early Warning System) การบริหารความเสี่ยงทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค ความสำคัญของการกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด ความระมัดระวังในการเปิดเสรีทางการเงิน และการพัฒนาตลาดทุนในประเทศให้มีความหลากหลายและลึกซึ้ง เพื่อลดการพึ่งพาเงินทุนต่างประเทศระยะสั้น ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในการรับมือกับวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 และวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563

บทสรุป Goldman sachs ซื้อหนี้คนไทย

วิกฤตต้มยำกุ้งและการเข้ามาซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทั้งระบบการเงิน ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไป แม้ว่าในระยะสั้น การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อลูกหนี้จำนวนมาก แต่ในระยะยาว การซื้อหนี้ของโกลด์แมน แซคส์และการปฏิรูประบบการเงินหลังวิกฤตได้ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและยืดหยุ่นมากขึ้น

บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งและการซื้อหนี้ของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน การกู้ยืมอย่างรับผิดชอบ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินทั้งในระดับครัวเรือนและระดับประเทศ การเรียนรู้จากอดีตจะช่วยให้ประเทศไทยและประชาชนสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
News Daily TH x เปิด War's profile


โพสท์โดย: News Daily TH x เปิด War
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
24 VOTES (4.8/5 จาก 5 คน)
VOTED: News Daily TH x เปิด War, Thorsten, paktronghie, รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH, News Daily TH x โหนกระแสไฟฟ้า
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เปิดโฉมหุ่นยนต์กู้ภัยที่เข้าปฎิบัติหน้าที่ช่วยค้นหา"ตึกถล่มในไทย"สุนัข 6 สายพันธุ์ที่เข้าร่วมภารกิจแผ่นดินไหวในไทยล่าสุด!เมืองคอนพร้อมจัดงานแสงสีเสียง อลังการแห่นางดาน เมืองนคร THE ONLY IN THAILAND 2025เที่ยวกระบี่ แวะไหว้พระ พร้อมชมธรรมชาติสวยๆ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
รองผู้ว่า กรุงเทพมหานคร ยืนยัน สแกนพบรูปร่างมนุษย์ 6 จุด เกาะกลุ่มกันอยู่ เร่งระดมกำลังช่วยเหลือเที่ยวกระบี่ แวะไหว้พระ พร้อมชมธรรมชาติสวยๆนักร้องดัง "คีย์" SHINee โดนชาวเน็ตด่าว่า "ยาจก" หลังเปิดบ้านให้ดูความลับดวงจันทร์...ที่ NASA ไม่เคยบอก: 10 เรื่องช็อกโลกที่คุณต้องรู้
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
เมืองคอนพร้อมจัดงานแสงสีเสียง อลังการแห่นางดาน เมืองนคร THE ONLY IN THAILAND 2025ระทึก! ระเบิดท่อส่งก๊าซปิโตรนาส เมืองปูซอง รัฐสลังงอร์ ไฟลุกสูงเทียบตึก 20 ชั้นเฮ! ค่าไฟลดแล้ว! ครม. ไฟเขียว 4 เดือน จ่ายแค่ 3.99 บาท/หน่วยจากเหตุการณ์ของคิมซูฮยอนล่าสุด หลังแถลงข่าว ทำให้ชาวเกาหลีใต้ที่เดือดดาล ตั้งแคมเปญล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมายนี้และปรับเกณฑ์อายุอีกครั้งจาก 16 ปีเป็น 19 ปี
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง