Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

นอกจากยาหลอกแล้ว เชื่อไมว่ามีการผ่าตัดหลอกด้วย

เนื้อหาโดย รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH

คงมีหลายคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับ "ยาหลอก" (Placebo) ซึ่งเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ แต่มอบให้ผู้ป่วยเพื่อสร้างความรู้สึกว่าได้รับการรักษา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในวงการแพทย์ยังมี "การผ่าตัดหลอก" (Sham Surgery) อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับวิธีการรักษาหลอก โดยเฉพาะการผ่าตัดหลอกที่มีการนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของวิธีการรักษาต่างๆ

การรักษาหลอก ๆ คืออะไร

การรักษาหลอก (Sham Treatment) คือกระบวนการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโดยตรง แต่ถูกออกแบบให้เหมือนกับการรักษาจริงมากที่สุด ทั้งในแง่ของขั้นตอน เครื่องมือ และบรรยากาศรอบข้าง เพื่อให้ผู้ป่วยหรืออาสาสมัครไม่สามารถแยกแยะได้ว่าตนเองได้รับการรักษาจริงหรือหลอก

การรักษาหลอกมีมานานกว่า 200 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการศึกษาของ John Haygarth ในปี ค.ศ. 1799 ที่ทดสอบแท่งโลหะที่อ้างว่ารักษาโรคได้ เปรียบเทียบกับแท่งไม้ที่ทำให้ดูคล้ายกัน ซึ่งพบว่าทั้งสองอย่างให้ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน (Haygarth, 1800)

ผลของการรักษาหลอกเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งความเชื่อ ความคาดหวัง และการตอบสนองทางสรีรวิทยาของร่างกาย ที่เรียกว่า "ผลกระทบของยาหลอก" (Placebo Effect) ซึ่งการศึกษาในปัจจุบันพบว่ามีกลไกทางประสาทวิทยาที่ซับซ้อน รวมถึงการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในสมองส่วนต่างๆ

ประเภทของการรักษาหลอก

การรักษาหลอกมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาที่ต้องการศึกษา:

  1. ยาหลอก (Placebo Pills) - ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์
  2. การผ่าตัดหลอก (Sham Surgery) - การจำลองขั้นตอนการผ่าตัดโดยไม่มีการรักษาจริง
  3. อุปกรณ์หลอก (Sham Devices) - อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่ทำงาน
  4. การบำบัดหลอก (Sham Therapy) - การบำบัดที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่มีองค์ประกอบสำคัญ

การผ่าตัดหลอก ๆ

การผ่าตัดหลอก (Sham Surgery) คือการผ่าตัดที่จำลองขั้นตอนทั้งหมดหรือบางส่วนของการผ่าตัดจริง แต่ไม่มีการดำเนินการรักษาที่เชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ ผู้ป่วยจะได้รับการวางยาสลบ มีแผลผ่าตัด แต่แพทย์จะไม่ดำเนินการแก้ไขความผิดปกติตามที่ควรจะเป็นในการผ่าตัดจริง

ประวัติของการผ่าตัดหลอก

การผ่าตัดหลอกเริ่มมีการนำมาใช้อย่างจริงจังในการวิจัยทางการแพทย์ในช่วงทศวรรษที่ 1950 หนึ่งในการศึกษาแรกๆ ที่โด่งดังคือการศึกษาของ Cobb และคณะในปี 1959 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการผูกเส้นเลือดแดงที่ทรวงอกภายใน (internal mammary artery ligation) ซึ่งในขณะนั้นเชื่อว่าสามารถรักษาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้ (Cobb et al., 1959)

ในการศึกษาดังกล่าว ผู้ป่วยถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการผ่าตัดจริงโดยการผูกเส้นเลือด ส่วนกลุ่มที่สองได้รับการผ่าตัดหลอก โดยแพทย์เพียงแค่เปิดผิวหนังและปิดกลับโดยไม่ได้ทำอะไรกับเส้นเลือด ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีอาการดีขึ้นในระดับที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการผ่าตัดแบบนี้

ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่ใช้การผ่าตัดหลอก

  1. การศึกษาโรคพาร์กินสัน (2001) - การศึกษาโดย Freed และคณะ เปรียบเทียบการปลูกถ่ายเซลล์สมองของทารกกับการผ่าตัดหลอกในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหลอกบางรายมีอาการดีขึ้นเช่นกัน (Freed et al., 2001)
  2. การผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้อง (2002) - การศึกษาโดย Moseley และคณะ เปรียบเทียบการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมกับการผ่าตัดหลอก พบว่าทั้งสองกลุ่มมีผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน ซึ่งตั้งคำถามต่อประสิทธิภาพของการผ่าตัดดังกล่าว (Moseley et al., 2002)
  3. การผ่าตัดกระดูกสันหลัง (2013) - การศึกษาโดย Sihvonen และคณะ พบว่าการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อซ่อมแซมหมอนรองกระดูกฉีกขาดไม่ได้ให้ผลดีกว่าการผ่าตัดหลอกในการบรรเทาอาการปวดหรือปรับปรุงการทำงาน (Sihvonen et al., 2013)

จุดประสงค์การผ่าตัดหลอก ๆ

การผ่าตัดหลอกมีวัตถุประสงค์หลักในการวิจัยทางการแพทย์เพื่อ:

1. ประเมินประสิทธิภาพที่แท้จริงของการผ่าตัด

การผ่าตัดหลอกช่วยให้นักวิจัยสามารถแยกผลกระทบของการผ่าตัดจริงออกจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลของยาหลอก ความคาดหวังของผู้ป่วย หรือการดำเนินของโรคตามธรรมชาติ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดจริงกับกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดหลอกจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของการผ่าตัดนั้น ๆ

2. ป้องกันการรักษาที่ไม่จำเป็นและอันตราย

การผ่าตัดทุกประเภทมีความเสี่ยง หากพบว่าการผ่าตัดไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการผ่าตัดหลอก อาจบ่งชี้ว่าการผ่าตัดนั้นไม่มีประสิทธิภาพและอาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Moseley ในปี 2002 ได้นำไปสู่การลดลงอย่างมากของการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

3. ลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์

การค้นพบว่าวิธีการผ่าตัดบางอย่างไม่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าการผ่าตัดหลอกช่วยลดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การลดการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องสำหรับข้อเข่าเสื่อมในสหรัฐอเมริกาช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี

4. พัฒนาแนวทางการรักษาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์

การใช้การผ่าตัดหลอกในการวิจัยช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมหลักฐานที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการผ่าตัดต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์มากขึ้น

วิธีการรักษาหลอก ๆ มีอะไรบ้าง

การรักษาหลอกมีหลากหลายรูปแบบที่ใช้ในการวิจัยทางการแพทย์ นอกเหนือจากยาหลอกและการผ่าตัดหลอกที่กล่าวไปแล้ว ยังมีวิธีการรักษาหลอกอื่นๆ อีกมากมาย:

1. การรักษาด้วยไฟฟ้าหลอก (Sham Electrical Stimulation)

เป็นการใช้อุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าที่มีรูปลักษณ์และการใช้งานเหมือนอุปกรณ์จริง แต่ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้า หรือปล่อยในระดับต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดผลทางสรีรวิทยา ตัวอย่างเช่น:

2. การฝังเข็มหลอก (Sham Acupuncture)

มีหลายรูปแบบ เช่น:

การศึกษาโดย Cherkin และคณะในปี 2009 เปรียบเทียบการฝังเข็มแบบดั้งเดิม การฝังเข็มหลอก และการรักษาตามมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยปวดหลัง พบว่าทั้งการฝังเข็มจริงและหลอกให้ผลดีกว่าการรักษาตามมาตรฐาน แต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

3. การนวดหลอก (Sham Massage)

การนวดที่ไม่ได้ใช้เทคนิคเฉพาะที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา เช่น การวางมือโดยไม่มีการกดหรือนวด การลูบเบาๆ โดยไม่มีแรงกด หรือการนวดในบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการ

4. การออกกำลังกายหลอก (Sham Exercise)

เป็นการออกกำลังกายที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่ได้ส่งผลต่อระบบร่างกายตามที่ต้องการในการศึกษา เช่น การเคลื่อนไหวที่ไม่มีการใช้แรงต้าน หรือการเคลื่อนไหวในช่วงที่จำกัดจนไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสรีรวิทยา


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ สิทธิบัตรยาในประเทศไทย การผูกขาดที่ส่งผลต่อราคายาและการเข้าถึงการรักษา


5. การรักษาด้วยเลเซอร์หลอก (Sham Laser Therapy)

การใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่มีเสียงและไฟแสดงการทำงานเหมือนอุปกรณ์จริง แต่ไม่มีการปล่อยพลังงานเลเซอร์ หรือปล่อยในระดับต่ำมากที่ไม่มีผลทางชีวภาพ

6. การรักษาด้วยคลื่นกระแทกหลอก (Sham Shock Wave Therapy)

ใช้อุปกรณ์ที่มีเสียงและความรู้สึกคล้ายกับเครื่องคลื่นกระแทก แต่ไม่มีการส่งคลื่นพลังงานจริง ใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพของการรักษาด้วยคลื่นกระแทกในโรคกระดูกและกล้ามเนื้อต่างๆ

7. การรักษาด้วยแรงดันอากาศหลอก (Sham Air Pressure Therapy)

เช่น ในการศึกษาเกี่ยวกับการรักษาด้วย CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) สำหรับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะใช้หน้ากากที่เหมือนกับ CPAP จริง แต่มีรูรั่วที่ทำให้แรงดันอากาศต่ำเกินกว่าจะมีผลในการรักษา

การรักษาแบบหลอก เทียบกับการรักษาทางความเชื่อ

แม้ว่าการรักษาหลอกและการรักษาทางความเชื่อ (หรือการแพทย์ทางเลือก) อาจมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญที่ควรทำความเข้าใจ:

ความแตกต่างระหว่างการรักษาหลอกกับการแพทย์ทางเลือก

  1. จุดมุ่งหมาย:
    • การรักษาหลอก: ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยทางการแพทย์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพที่แท้จริงของการรักษา
    • การแพทย์ทางเลือก: มีเป้าหมายเพื่อการรักษาหรือบำบัดจริง โดยมักอ้างอิงทฤษฎีและหลักการที่อาจยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน
  2. การรับรู้ของผู้ป่วย:
    • การรักษาหลอก: ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองได้รับการรักษาหลอก (เป็นการปกปิดข้อมูล)
    • การแพทย์ทางเลือก: ผู้ป่วยทราบว่ากำลังได้รับการรักษาแบบใด และมักมีความเชื่อมั่นในวิธีการนั้น
  3. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
    • การรักษาหลอก: เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    • การแพทย์ทางเลือก: บางวิธีอาจมีหลักฐานสนับสนุนจำกัด หรือยังไม่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการแพทย์แผนปัจจุบัน

ความเหมือนและความเชื่อมโยง

ทั้งการรักษาหลอกและการแพทย์ทางเลือกบางประเภทอาจให้ผลลัพธ์ทางบวกบางประการผ่านกลไกที่คล้ายคลึงกัน เช่น:

  1. ผลของความคาดหวัง: ทั้งสองแนวทางอาจได้รับอิทธิพลจากความคาดหวังของผู้ป่วยต่อผลการรักษา
  2. การดูแลเอาใจใส่: การได้รับความสนใจและการดูแลจากผู้ให้บริการสุขภาพ
  3. ผลทางจิตใจ: ความเชื่อมั่นในการรักษาอาจช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งส่งผลทางบวกต่อสุขภาพ

การศึกษาโดย Kaptchuk และคณะในปี 2008 แสดงให้เห็นว่าผลของยาหลอกในภาวะลำไส้แปรปรวนเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และการดูแลเอาใจใส่จากผู้ให้บริการสุขภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้การรักษามีบทบาทสำคัญในผลลัพธ์ทางคลินิก

ประเด็นจริยธรรม

การรักษาหลอกในบริบทของการวิจัยมีความท้าทายทางจริยธรรมที่ต้องพิจารณา:

  1. ความยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว: ผู้เข้าร่วมการวิจัยต้องได้รับแจ้งว่าพวกเขาอาจได้รับการรักษาหลอก แต่ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใด
  2. ความเสี่ยงเทียบกับประโยชน์: โดยเฉพาะในกรณีของการผ่าตัดหลอก ซึ่งมีความเสี่ยงจากการดมยาสลบและการผ่าตัด
  3. การเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ: คำถามเกี่ยวกับการที่ผู้เข้าร่วมวิจัยในกลุ่มควบคุมอาจเสียโอกาสในการรับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

Miller และ Kaptchuk (2013) เสนอว่าการใช้การรักษาหลอกในการวิจัยสามารถมีความถูกต้องทางจริยธรรมหากดำเนินการภายใต้กรอบของหลักการเคารพในบุคคล การทำประโยชน์ และความยุติธรรม โดยมีกระบวนการขอความยินยอมที่เหมาะสมและการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างรอบคอบ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. การผ่าตัดหลอกแตกต่างจากยาหลอกอย่างไร?

การผ่าตัดหลอกมีความซับซ้อนมากกว่ายาหลอก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการผ่าตัดจริง เช่น การวางยาสลบ การเปิดแผล แต่ไม่มีการดำเนินการแก้ไขความผิดปกติที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของการผ่าตัด ในขณะที่ยาหลอกเป็นเพียงสารที่ไม่มีฤทธิ์ทางการแพทย์ การผ่าตัดหลอกมีความเสี่ยงมากกว่าและมีประเด็นจริยธรรมที่ซับซ้อนกว่า

2. เหตุใดจึงต้องมีการศึกษาด้วยวิธีการผ่าตัดหลอก?

การศึกษาด้วยวิธีการผ่าตัดหลอกมีความจำเป็นเพื่อแยกผลที่เกิดจากกระบวนการผ่าตัดจริงออกจากผลของยาหลอกและปัจจัยอื่นๆ เนื่องจากการผ่าตัดเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องมีหลักฐานที่แข็งแกร่งว่าผลลัพธ์ที่ดีมาจากการผ่าตัดจริง ไม่ใช่จากความคาดหวังของผู้ป่วยหรือการดูแลพิเศษที่ได้รับระหว่างกระบวนการ

3. การผ่าตัดหลอกมีความปลอดภัยหรือไม่?

การผ่าตัดหลอกยังคงมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป เช่น ผลข้างเคียงจากยาสลบ การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด หรือปัญหาจากการพักฟื้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดหลอกมักจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดจริง เนื่องจากไม่มีการดำเนินการกับอวัยวะหรือโครงสร้างภายใน ในการศึกษาวิจัยที่ใช้การผ่าตัดหลอก จะมีการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างละเอียดและผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย

4. ผู้ป่วยรู้หรือไม่ว่าตนเองได้รับการผ่าตัดหลอก?

ในการวิจัยแบบปกปิดสองทาง (double-blind) ทั้งผู้ป่วยและทีมแพทย์ที่ประเมินผลการรักษาจะไม่ทราบว่าผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดจริงหรือหลอก แต่ทีมผ่าตัดจะทราบเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการ ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับแจ้งก่อนเข้าร่วมว่าอาจได้รับการผ่าตัดหลอก แต่จะไม่ทราบกลุ่มที่ตนเองได้รับจนกว่าการศึกษาจะเสร็จสิ้น

5. ผลของการรักษาหลอกคงอยู่นานแค่ไหน?

ผลของการรักษาหลอกมักเป็นระยะสั้นถึงปานกลาง แต่มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและสภาวะที่ศึกษา การศึกษาโดย Vase และคณะในปี 2009 พบว่าผลของยาหลอกในการบรรเทาอาการปวดสามารถคงอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายเดือนในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีการเสริมแรงทางสังคมและการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ให้การรักษาและผู้ป่วย

6. การผ่าตัดหลอกมีประเด็นทางจริยธรรมอย่างไรบ้าง?

ประเด็นทางจริยธรรมหลักของการผ่าตัดหลอก ได้แก่:

ในทางปฏิบัติ การศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มงวดจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย และมักดำเนินการเมื่อประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมีมากกว่าความเสี่ยงอย่างชัดเจน

7. มีการศึกษาแบบใดบ้างที่ไม่เหมาะสมกับการใช้การผ่าตัดหลอก?

การผ่าตัดหลอกไม่เหมาะกับการศึกษาในกรณีต่อไปนี้:

8. ผลของยาหลอกและการผ่าตัดหลอกมีกลไกทางสรีรวิทยาอย่างไร?

กลไกทางสรีรวิทยาของผลจากการรักษาหลอกมีหลายประการ ได้แก่:

การศึกษาด้วยเทคนิคการถ่ายภาพสมอง (neuroimaging) พบว่าการรักษาหลอกสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการรักษาจริง

9. การผ่าตัดหลอกมีผลต่อนโยบายสาธารณสุขอย่างไร?

ผลการศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกมีอิทธิพลสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุข เช่น:

ตัวอย่างเช่น หลังจากการศึกษาของ Moseley ในปี 2002 หลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยไม่แนะนำให้ใช้การผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเป็นการรักษาหลัก ซึ่งส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขได้อย่างมาก

สรุปการทดลองผ่าตัดหลอกในวงการแพทย์

การรักษาหลอก โดยเฉพาะการผ่าตัดหลอก เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิจัยทางการแพทย์ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และแพทย์สามารถแยกผลของการรักษาจริงออกจากผลของปัจจัยอื่นๆ เช่น ความคาดหวัง ความเชื่อ และการดูแลเอาใจใส่ การศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญในแนวทางการรักษาทางการแพทย์ โดยช่วยยืนยันประสิทธิภาพของวิธีการรักษาบางอย่าง และท้าทายวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่อาจไม่มีประสิทธิภาพตามที่เชื่อกัน

แม้ว่าการผ่าตัดหลอกจะมีประเด็นท้าทายทางจริยธรรม แต่เมื่อดำเนินการอย่างเหมาะสมภายใต้การพิจารณาอย่างรอบคอบและได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วมการวิจัยอย่างเหมาะสม การศึกษาเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลที่มีคุณค่าซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขโดยรวม

ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาหลอกและผลของยาหลอกยังช่วยเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยทางจิตใจและสังคมในกระบวนการรักษา และความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจในการตอบสนองต่อการรักษาทางการแพทย์


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ ยาปฏิชีวนะ มรดกจากสงครามโลกที่มีค่ากับมวลมนุษยชาติ

✪ ความหวังใหม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ชายออสเตรเลียคนแรกของโลกที่ใช้หัวใจเทียมทั้งหมด

✪ เลือดเทียม นวัตกรรมการถ่ายเลือดสังเคราะห์ในมนุษย์

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
25 VOTES (5/5 จาก 5 คน)
VOTED: Thorsten, paktronghie, รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH, Brother single, worldtravel
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
มัดรวมเลขเด็ดสำนักพิมพ์ ไทยรัฐ เดลินิวส์บางกอกทูเดย์ งวดวันที่ 1 เมษายน 2568เลขเด็ด แบงค์ จัดให้ ตรง ๆ 2 งวดติด มาแล้ว งวด 1 เมษายน 3568ตึกระฟ้าที่บางที่สุดในโลก!5 อันดับ ตึกที่สูงที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน!10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหวที่คุณอาจเข้าใจผิดสิบเลขขายดี แม่จำเนียร งวด 1/4/68
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"หมอปลาย" เตือนแรง! สงกรานต์เกิดน้ำท่วม..และกลางปีมีแผ่นดินไหวซ้ำการฟื้นคืนของอาหารกัมพูชาที่เคยสูญหายช่วงระบอบเขมรแดง**10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหวที่คุณอาจเข้าใจผิด
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ตึกถล่มกลางกรุงฯ บริษัทจีนไล่ลบข้อมูล ชาวไต้หวันคอมเมนต์เดือดโคตรเทพ! เด็ก ม.6 เพนต์กำแพงโรงเรียน โซเชียลอึ้ง นี่ฝีมือเด็กจริงดิ10 สิ่งต้องห้าม! ที่ไม่ควรทำเด็ดขาดเมื่อเกิดแผ่นดินไหวคำถามร้อยบาท กับ คำถามล้านบาท
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง