หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

นอกจากยาหลอกแล้ว เชื่อไมว่ามีการผ่าตัดหลอกด้วย

เนื้อหาโดย บทความ ชุมชน

คงมีหลายคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับ "ยาหลอก" (Placebo) ซึ่งเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ แต่มอบให้ผู้ป่วยเพื่อสร้างความรู้สึกว่าได้รับการรักษา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในวงการแพทย์ยังมี "การผ่าตัดหลอก" (Sham Surgery) อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับวิธีการรักษาหลอก โดยเฉพาะการผ่าตัดหลอกที่มีการนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของวิธีการรักษาต่างๆ

การรักษาหลอก ๆ คืออะไร

การรักษาหลอก (Sham Treatment) คือกระบวนการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโดยตรง แต่ถูกออกแบบให้เหมือนกับการรักษาจริงมากที่สุด ทั้งในแง่ของขั้นตอน เครื่องมือ และบรรยากาศรอบข้าง เพื่อให้ผู้ป่วยหรืออาสาสมัครไม่สามารถแยกแยะได้ว่าตนเองได้รับการรักษาจริงหรือหลอก

การรักษาหลอกมีมานานกว่า 200 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการศึกษาของ John Haygarth ในปี ค.ศ. 1799 ที่ทดสอบแท่งโลหะที่อ้างว่ารักษาโรคได้ เปรียบเทียบกับแท่งไม้ที่ทำให้ดูคล้ายกัน ซึ่งพบว่าทั้งสองอย่างให้ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน (Haygarth, 1800)

ผลของการรักษาหลอกเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งความเชื่อ ความคาดหวัง และการตอบสนองทางสรีรวิทยาของร่างกาย ที่เรียกว่า "ผลกระทบของยาหลอก" (Placebo Effect) ซึ่งการศึกษาในปัจจุบันพบว่ามีกลไกทางประสาทวิทยาที่ซับซ้อน รวมถึงการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในสมองส่วนต่างๆ

ประเภทของการรักษาหลอก

การรักษาหลอกมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาที่ต้องการศึกษา:

  1. ยาหลอก (Placebo Pills) - ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์
  2. การผ่าตัดหลอก (Sham Surgery) - การจำลองขั้นตอนการผ่าตัดโดยไม่มีการรักษาจริง
  3. อุปกรณ์หลอก (Sham Devices) - อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่ทำงาน
  4. การบำบัดหลอก (Sham Therapy) - การบำบัดที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่มีองค์ประกอบสำคัญ

การผ่าตัดหลอก ๆ

การผ่าตัดหลอก (Sham Surgery) คือการผ่าตัดที่จำลองขั้นตอนทั้งหมดหรือบางส่วนของการผ่าตัดจริง แต่ไม่มีการดำเนินการรักษาที่เชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ ผู้ป่วยจะได้รับการวางยาสลบ มีแผลผ่าตัด แต่แพทย์จะไม่ดำเนินการแก้ไขความผิดปกติตามที่ควรจะเป็นในการผ่าตัดจริง

ประวัติของการผ่าตัดหลอก

การผ่าตัดหลอกเริ่มมีการนำมาใช้อย่างจริงจังในการวิจัยทางการแพทย์ในช่วงทศวรรษที่ 1950 หนึ่งในการศึกษาแรกๆ ที่โด่งดังคือการศึกษาของ Cobb และคณะในปี 1959 ที่ศึกษาเกี่ยวกับการผูกเส้นเลือดแดงที่ทรวงอกภายใน (internal mammary artery ligation) ซึ่งในขณะนั้นเชื่อว่าสามารถรักษาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้ (Cobb et al., 1959)

ในการศึกษาดังกล่าว ผู้ป่วยถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการผ่าตัดจริงโดยการผูกเส้นเลือด ส่วนกลุ่มที่สองได้รับการผ่าตัดหลอก โดยแพทย์เพียงแค่เปิดผิวหนังและปิดกลับโดยไม่ได้ทำอะไรกับเส้นเลือด ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีอาการดีขึ้นในระดับที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการผ่าตัดแบบนี้

ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่ใช้การผ่าตัดหลอก

  1. การศึกษาโรคพาร์กินสัน (2001) - การศึกษาโดย Freed และคณะ เปรียบเทียบการปลูกถ่ายเซลล์สมองของทารกกับการผ่าตัดหลอกในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหลอกบางรายมีอาการดีขึ้นเช่นกัน (Freed et al., 2001)
  2. การผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้อง (2002) - การศึกษาโดย Moseley และคณะ เปรียบเทียบการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมกับการผ่าตัดหลอก พบว่าทั้งสองกลุ่มมีผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน ซึ่งตั้งคำถามต่อประสิทธิภาพของการผ่าตัดดังกล่าว (Moseley et al., 2002)
  3. การผ่าตัดกระดูกสันหลัง (2013) - การศึกษาโดย Sihvonen และคณะ พบว่าการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อซ่อมแซมหมอนรองกระดูกฉีกขาดไม่ได้ให้ผลดีกว่าการผ่าตัดหลอกในการบรรเทาอาการปวดหรือปรับปรุงการทำงาน (Sihvonen et al., 2013)

จุดประสงค์การผ่าตัดหลอก ๆ

การผ่าตัดหลอกมีวัตถุประสงค์หลักในการวิจัยทางการแพทย์เพื่อ:

1. ประเมินประสิทธิภาพที่แท้จริงของการผ่าตัด

การผ่าตัดหลอกช่วยให้นักวิจัยสามารถแยกผลกระทบของการผ่าตัดจริงออกจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลของยาหลอก ความคาดหวังของผู้ป่วย หรือการดำเนินของโรคตามธรรมชาติ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดจริงกับกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดหลอกจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของการผ่าตัดนั้น ๆ

2. ป้องกันการรักษาที่ไม่จำเป็นและอันตราย

การผ่าตัดทุกประเภทมีความเสี่ยง หากพบว่าการผ่าตัดไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการผ่าตัดหลอก อาจบ่งชี้ว่าการผ่าตัดนั้นไม่มีประสิทธิภาพและอาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Moseley ในปี 2002 ได้นำไปสู่การลดลงอย่างมากของการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเพื่อรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

3. ลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์

การค้นพบว่าวิธีการผ่าตัดบางอย่างไม่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าการผ่าตัดหลอกช่วยลดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การลดการผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องสำหรับข้อเข่าเสื่อมในสหรัฐอเมริกาช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี

4. พัฒนาแนวทางการรักษาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์

การใช้การผ่าตัดหลอกในการวิจัยช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมหลักฐานที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการผ่าตัดต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์มากขึ้น

วิธีการรักษาหลอก ๆ มีอะไรบ้าง

การรักษาหลอกมีหลากหลายรูปแบบที่ใช้ในการวิจัยทางการแพทย์ นอกเหนือจากยาหลอกและการผ่าตัดหลอกที่กล่าวไปแล้ว ยังมีวิธีการรักษาหลอกอื่นๆ อีกมากมาย:

1. การรักษาด้วยไฟฟ้าหลอก (Sham Electrical Stimulation)

เป็นการใช้อุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าที่มีรูปลักษณ์และการใช้งานเหมือนอุปกรณ์จริง แต่ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้า หรือปล่อยในระดับต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดผลทางสรีรวิทยา ตัวอย่างเช่น:

2. การฝังเข็มหลอก (Sham Acupuncture)

มีหลายรูปแบบ เช่น:

การศึกษาโดย Cherkin และคณะในปี 2009 เปรียบเทียบการฝังเข็มแบบดั้งเดิม การฝังเข็มหลอก และการรักษาตามมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยปวดหลัง พบว่าทั้งการฝังเข็มจริงและหลอกให้ผลดีกว่าการรักษาตามมาตรฐาน แต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

3. การนวดหลอก (Sham Massage)

การนวดที่ไม่ได้ใช้เทคนิคเฉพาะที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา เช่น การวางมือโดยไม่มีการกดหรือนวด การลูบเบาๆ โดยไม่มีแรงกด หรือการนวดในบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการ

4. การออกกำลังกายหลอก (Sham Exercise)

เป็นการออกกำลังกายที่ดูเหมือนจริงแต่ไม่ได้ส่งผลต่อระบบร่างกายตามที่ต้องการในการศึกษา เช่น การเคลื่อนไหวที่ไม่มีการใช้แรงต้าน หรือการเคลื่อนไหวในช่วงที่จำกัดจนไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสรีรวิทยา


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ สิทธิบัตรยาในประเทศไทย การผูกขาดที่ส่งผลต่อราคายาและการเข้าถึงการรักษา


5. การรักษาด้วยเลเซอร์หลอก (Sham Laser Therapy)

การใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่มีเสียงและไฟแสดงการทำงานเหมือนอุปกรณ์จริง แต่ไม่มีการปล่อยพลังงานเลเซอร์ หรือปล่อยในระดับต่ำมากที่ไม่มีผลทางชีวภาพ

6. การรักษาด้วยคลื่นกระแทกหลอก (Sham Shock Wave Therapy)

ใช้อุปกรณ์ที่มีเสียงและความรู้สึกคล้ายกับเครื่องคลื่นกระแทก แต่ไม่มีการส่งคลื่นพลังงานจริง ใช้ในการศึกษาประสิทธิภาพของการรักษาด้วยคลื่นกระแทกในโรคกระดูกและกล้ามเนื้อต่างๆ

7. การรักษาด้วยแรงดันอากาศหลอก (Sham Air Pressure Therapy)

เช่น ในการศึกษาเกี่ยวกับการรักษาด้วย CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) สำหรับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะใช้หน้ากากที่เหมือนกับ CPAP จริง แต่มีรูรั่วที่ทำให้แรงดันอากาศต่ำเกินกว่าจะมีผลในการรักษา

การรักษาแบบหลอก เทียบกับการรักษาทางความเชื่อ

แม้ว่าการรักษาหลอกและการรักษาทางความเชื่อ (หรือการแพทย์ทางเลือก) อาจมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญที่ควรทำความเข้าใจ:

ความแตกต่างระหว่างการรักษาหลอกกับการแพทย์ทางเลือก

  1. จุดมุ่งหมาย:
    • การรักษาหลอก: ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยทางการแพทย์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพที่แท้จริงของการรักษา
    • การแพทย์ทางเลือก: มีเป้าหมายเพื่อการรักษาหรือบำบัดจริง โดยมักอ้างอิงทฤษฎีและหลักการที่อาจยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน
  2. การรับรู้ของผู้ป่วย:
    • การรักษาหลอก: ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองได้รับการรักษาหลอก (เป็นการปกปิดข้อมูล)
    • การแพทย์ทางเลือก: ผู้ป่วยทราบว่ากำลังได้รับการรักษาแบบใด และมักมีความเชื่อมั่นในวิธีการนั้น
  3. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
    • การรักษาหลอก: เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    • การแพทย์ทางเลือก: บางวิธีอาจมีหลักฐานสนับสนุนจำกัด หรือยังไม่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการแพทย์แผนปัจจุบัน

ความเหมือนและความเชื่อมโยง

ทั้งการรักษาหลอกและการแพทย์ทางเลือกบางประเภทอาจให้ผลลัพธ์ทางบวกบางประการผ่านกลไกที่คล้ายคลึงกัน เช่น:

  1. ผลของความคาดหวัง: ทั้งสองแนวทางอาจได้รับอิทธิพลจากความคาดหวังของผู้ป่วยต่อผลการรักษา
  2. การดูแลเอาใจใส่: การได้รับความสนใจและการดูแลจากผู้ให้บริการสุขภาพ
  3. ผลทางจิตใจ: ความเชื่อมั่นในการรักษาอาจช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งส่งผลทางบวกต่อสุขภาพ

การศึกษาโดย Kaptchuk และคณะในปี 2008 แสดงให้เห็นว่าผลของยาหลอกในภาวะลำไส้แปรปรวนเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์และการดูแลเอาใจใส่จากผู้ให้บริการสุขภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้การรักษามีบทบาทสำคัญในผลลัพธ์ทางคลินิก

ประเด็นจริยธรรม

การรักษาหลอกในบริบทของการวิจัยมีความท้าทายทางจริยธรรมที่ต้องพิจารณา:

  1. ความยินยอมโดยได้รับการบอกกล่าว: ผู้เข้าร่วมการวิจัยต้องได้รับแจ้งว่าพวกเขาอาจได้รับการรักษาหลอก แต่ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใด
  2. ความเสี่ยงเทียบกับประโยชน์: โดยเฉพาะในกรณีของการผ่าตัดหลอก ซึ่งมีความเสี่ยงจากการดมยาสลบและการผ่าตัด
  3. การเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ: คำถามเกี่ยวกับการที่ผู้เข้าร่วมวิจัยในกลุ่มควบคุมอาจเสียโอกาสในการรับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

Miller และ Kaptchuk (2013) เสนอว่าการใช้การรักษาหลอกในการวิจัยสามารถมีความถูกต้องทางจริยธรรมหากดำเนินการภายใต้กรอบของหลักการเคารพในบุคคล การทำประโยชน์ และความยุติธรรม โดยมีกระบวนการขอความยินยอมที่เหมาะสมและการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างรอบคอบ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. การผ่าตัดหลอกแตกต่างจากยาหลอกอย่างไร?

การผ่าตัดหลอกมีความซับซ้อนมากกว่ายาหลอก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการผ่าตัดจริง เช่น การวางยาสลบ การเปิดแผล แต่ไม่มีการดำเนินการแก้ไขความผิดปกติที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของการผ่าตัด ในขณะที่ยาหลอกเป็นเพียงสารที่ไม่มีฤทธิ์ทางการแพทย์ การผ่าตัดหลอกมีความเสี่ยงมากกว่าและมีประเด็นจริยธรรมที่ซับซ้อนกว่า

2. เหตุใดจึงต้องมีการศึกษาด้วยวิธีการผ่าตัดหลอก?

การศึกษาด้วยวิธีการผ่าตัดหลอกมีความจำเป็นเพื่อแยกผลที่เกิดจากกระบวนการผ่าตัดจริงออกจากผลของยาหลอกและปัจจัยอื่นๆ เนื่องจากการผ่าตัดเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องมีหลักฐานที่แข็งแกร่งว่าผลลัพธ์ที่ดีมาจากการผ่าตัดจริง ไม่ใช่จากความคาดหวังของผู้ป่วยหรือการดูแลพิเศษที่ได้รับระหว่างกระบวนการ

3. การผ่าตัดหลอกมีความปลอดภัยหรือไม่?

การผ่าตัดหลอกยังคงมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป เช่น ผลข้างเคียงจากยาสลบ การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด หรือปัญหาจากการพักฟื้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดหลอกมักจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดจริง เนื่องจากไม่มีการดำเนินการกับอวัยวะหรือโครงสร้างภายใน ในการศึกษาวิจัยที่ใช้การผ่าตัดหลอก จะมีการประเมินความเสี่ยงและประโยชน์อย่างละเอียดและผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย

4. ผู้ป่วยรู้หรือไม่ว่าตนเองได้รับการผ่าตัดหลอก?

ในการวิจัยแบบปกปิดสองทาง (double-blind) ทั้งผู้ป่วยและทีมแพทย์ที่ประเมินผลการรักษาจะไม่ทราบว่าผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดจริงหรือหลอก แต่ทีมผ่าตัดจะทราบเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการ ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับแจ้งก่อนเข้าร่วมว่าอาจได้รับการผ่าตัดหลอก แต่จะไม่ทราบกลุ่มที่ตนเองได้รับจนกว่าการศึกษาจะเสร็จสิ้น

5. ผลของการรักษาหลอกคงอยู่นานแค่ไหน?

ผลของการรักษาหลอกมักเป็นระยะสั้นถึงปานกลาง แต่มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและสภาวะที่ศึกษา การศึกษาโดย Vase และคณะในปี 2009 พบว่าผลของยาหลอกในการบรรเทาอาการปวดสามารถคงอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายเดือนในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมีการเสริมแรงทางสังคมและการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ให้การรักษาและผู้ป่วย

6. การผ่าตัดหลอกมีประเด็นทางจริยธรรมอย่างไรบ้าง?

ประเด็นทางจริยธรรมหลักของการผ่าตัดหลอก ได้แก่:

ในทางปฏิบัติ การศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มงวดจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย และมักดำเนินการเมื่อประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมีมากกว่าความเสี่ยงอย่างชัดเจน

7. มีการศึกษาแบบใดบ้างที่ไม่เหมาะสมกับการใช้การผ่าตัดหลอก?

การผ่าตัดหลอกไม่เหมาะกับการศึกษาในกรณีต่อไปนี้:

8. ผลของยาหลอกและการผ่าตัดหลอกมีกลไกทางสรีรวิทยาอย่างไร?

กลไกทางสรีรวิทยาของผลจากการรักษาหลอกมีหลายประการ ได้แก่:

การศึกษาด้วยเทคนิคการถ่ายภาพสมอง (neuroimaging) พบว่าการรักษาหลอกสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการรักษาจริง

9. การผ่าตัดหลอกมีผลต่อนโยบายสาธารณสุขอย่างไร?

ผลการศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกมีอิทธิพลสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุข เช่น:

ตัวอย่างเช่น หลังจากการศึกษาของ Moseley ในปี 2002 หลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยไม่แนะนำให้ใช้การผ่าตัดข้อเข่าส่องกล้องเป็นการรักษาหลัก ซึ่งส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขได้อย่างมาก

สรุปการทดลองผ่าตัดหลอกในวงการแพทย์

การรักษาหลอก โดยเฉพาะการผ่าตัดหลอก เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิจัยทางการแพทย์ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และแพทย์สามารถแยกผลของการรักษาจริงออกจากผลของปัจจัยอื่นๆ เช่น ความคาดหวัง ความเชื่อ และการดูแลเอาใจใส่ การศึกษาที่ใช้การผ่าตัดหลอกได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญในแนวทางการรักษาทางการแพทย์ โดยช่วยยืนยันประสิทธิภาพของวิธีการรักษาบางอย่าง และท้าทายวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่อาจไม่มีประสิทธิภาพตามที่เชื่อกัน

แม้ว่าการผ่าตัดหลอกจะมีประเด็นท้าทายทางจริยธรรม แต่เมื่อดำเนินการอย่างเหมาะสมภายใต้การพิจารณาอย่างรอบคอบและได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วมการวิจัยอย่างเหมาะสม การศึกษาเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลที่มีคุณค่าซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขโดยรวม

ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาหลอกและผลของยาหลอกยังช่วยเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยทางจิตใจและสังคมในกระบวนการรักษา และความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจในการตอบสนองต่อการรักษาทางการแพทย์


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ ยาปฏิชีวนะ มรดกจากสงครามโลกที่มีค่ากับมวลมนุษยชาติ

✪ ความหวังใหม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ชายออสเตรเลียคนแรกของโลกที่ใช้หัวใจเทียมทั้งหมด

✪ เลือดเทียม นวัตกรรมการถ่ายเลือดสังเคราะห์ในมนุษย์

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
บทความ ชุมชน's profile


โพสท์โดย: บทความ ชุมชน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
26 VOTES (4.3/5 จาก 6 คน)
VOTED: pakpranang, Thorsten, paktronghie, รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH, Brother single, worldtravel
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สิบเลขขายดีแม่จำเนียร งวด 16/12/68มาแล้ว! เปิด 10 อันดับเลขเด็ดขายดี งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..ส่องเลย พรุ่งนี้รวย!!อวสานตั๋วผี "ขายรถจำนำทอง" กว้านซื้อบัตรคอนเสิร์ต เจ๊งเหยียบ 1 ล้านสิ่งของที่ไม่ควรใส่ ไม่ควรซัก ในเครื่องซักผ้าเปิดเลขธูป "พระพิฆเนศ วัดปราสาทนครหลวง" องค์มหาเทพประทานโชค ลุ้นรวยงวด 16 ธันวาคม 2568ทหารไทยยึด ปราสาทตาควายสำเร็จ แต่เขมรโต้แรง อ้างข่าวปลอม10 เลขขายดีใน จ.เชียงใหม่ งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..รีบส่องด่วน ก่อนหวยออก!!10 เลขขายดี "สลากใบแดง" งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..พรุ่งนี้รวย คอหวยส่องด่วน!!เพื่อไทยเปิดตัว ยศชนัน-สุริยะ-จุลพันธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ วันที่ 16 ธ.ค.
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
แนะนำ! เว็บไซต์ ai สามารถวาดรูป [l8+](สร้างฟรี) ผู้ใหญ่เท่านั้นอินฟลูฯเขมร ปากดี! ท้าคนไทยสาบาน..ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน ?โซเชียลลาวเดือด หลังไทยสั่งห้ามส่งออกน้ำมันผ่านด่านช่องแม็ก เมนต์แรง บางส่วนเข้าข้างเขมรแวนด้า แร็พเปอร์เขมร เดือดแรง ปล่อยเพลงใหม่ THIEF (โจร) ด่าไทย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
จากพ่อที่นั่งข้างเตียงลูก…สู่โจรสลัดที่พาแสงสว่างไปให้เด็กทั่วโลก เรื่องจริงของจอห์นนี่ เดปป์ที่โคตรกินใจจากเดต 15 นาที สู่การเปลี่ยนชีวิต เรื่องจริงสุดพีคของพุทรา จาริลเด็กจีนผมบลอนด์ ตาสีฟ้า เรื่องจริงสุดพีคของ “กั๋วเจียง” ที่ทำทั้งหมู่บ้านงงเป็นไก่ตาแตกเที่ยววัดกู้ ขอพรศาลพระนางเรือล่ม
ตั้งกระทู้ใหม่