นิยายรัก เรื่อง เหมยลี่ โดย นิพรรณา
ตอนที่ 1
เสียงออดรัวติดๆ กันดังลั่นไปทั่วบริเวณหน้าห้องประชุม ของสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ วันนี้มีการเรียกประชุมเรื่องเร่งด่วน หลังจากศาสตราจารย์วิโรจน์
ธรรมกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ ได้รับโทรศัพท์
รายงานจาก ดร.นวลปรางค์ธรรมกาญจน์ ผู้เป็นบุตรสาว ซึ่งเธออยู่ในฐานะหัวหน้าทีมงาน
โครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ
ดร.นวลปรางค์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านซากดึกดำบรรพ์ หลังจากจบการศึกษาโดยตรง
มาจากต่างประเทศ เธอมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่ต้องการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ใน
ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน เธอจึงตัดสินใจกลับ
ประเทศไทยและจัดตั้งโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือขึ้น เพราะข้อมูล
จากกรมทรัพยากรธรณีรายงานว่าน่าจะมีแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่ยังหลงเหลือจากการสำรวจอยู่
หลายแห่ง และขณะศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ทุกทวีปทั่วโลกสมัยศึกษาปริญญาเอกอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นเธอได้รับเอกสารสำคัญจากเพื่อนสนิทคนจีน
นามว่า เก้าจั๊วะที่มอบให้ก่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมียซึ่งเนื้อหาสาระ
ในเอกสารเป็นข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะ
โดยเก้าจั๊วะต้องการอยากให้ดร.นวลปรางค์สำรวจแหล่งกำเนิดชาติพันธุ์ที่อยู่ทางตอนใต้ของ
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความเชื่อที่คาดว่าน่าจะเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่โบราณ
และอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะก็ได้ดังนั้นจากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เธอจึงตัดสินใจ
ส่งทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ เดินทางไปทำการสำรวจบริเวณ
ภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งแหล่งสำรวจซากดึกดำบรรพ์ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาสูงหรือที่ราบ
เชิงเขา(พื้นที่ที่มีระดับสูงขึ้นจากบริเวณรอบๆ ตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไป)ตั้งแต่จังหวัดกำแพงเพชร
ตากแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย ตามหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารลับที่กล่าวถึง
ประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะจนกระทั่งเมื่อวานซืนทีมงาน
สำรวจได้ขุดค้นพบหลุมศพของคนสมัยโบราณบริเวณเทือกเขาสูงในอำเภอเชียงของ จังหวัด
เชียงรายและรายงานด่วนให้ดร.นวลปรางค์ทราบ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้วันนี้มีการประชุมเร่งด่วน
เกิดขึ้น
“ขอเรียนเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านเข้าห้องประชุมได้แล้วค่ะ”
ดร.นวลปรางค์นักวิจัยสาวสวยกล่าวเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงสดใส และเมื่อสิ้นคำกล่าวทุกคน
ต่างเริ่มทยอยเดินเข้าห้องประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งขณะที่เธอกำลังก้าวเท้าเดินเข้าห้องประชุมอยู่นั้น สายตาคู่งามของเธอก็ต้องสะดุดหยุดมองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่กำลังย่างก้าว
เดินตรงเข้ามาหาเธอ เขาส่งยิ้มมิตรไมตรีให้ ก่อนมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอ ดร.นวลปรางค์
สบตาเขาด้วยแววตาที่แฝงความห่วงหาอาทรพร้อมรอยยิ้มละมัยก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่พี่ด็อกเตอร์ปารมีให้เกียรติมาประชุมครั้งนี้”
2
ด็อกเตอร์ปารมียิ้มหวานให้อดีตหวานใจ ก่อนตอบรับไปว่า
“ผมต้องมาสิครับ เรื่องสำคัญขนาดนี้”
ดร.ปารมี ฟาร์เก็ต ชายหนุ่มรูปงามลูกครึ่งไทยอังกฤษ เขาจบปริญญาเอกเกี่ยวกับมานุษยกาย
วิภาคศาสตร์ (Anthropological anatomy หรือ Physical anthropology) จากประเทศอังกฤษ
ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกันกับดร.นวลปรางค์ที่จบปริญญาเอกเกี่ยวกับบรรพชีวินวิทยา(Paleontology)
โดยคนทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ช่วงระยะหนึ่ง และหลังจากกลับมาอยู่
ประเทศไทยก็เริ่มห่างๆ กันไป ด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน แต่ก็ยังทำงานอยู่ในทีมงาน
โครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือโดยมีศาสตราจารย์วิโรจน์ ธรรมกาญจน์
ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ ผู้เป็นบิดาของดร.นวลปรางค์
เป็นเจ้าของโครงการและยังเป็นผู้จ่ายเงินลงทุนสำรวจทั้งหมดให้แก่โครงการดังกล่าวด้วย
“สวัสดีค่ะ ปรางค์ต้องขอโทษผู้มีเกียรติทุกท่านที่เรียกประชุมอย่างเร่งด่วนเพราะวันนี้
ปรางค์มีข่าวดีที่จะมาแจ้งให้ผู้มีเกียรติทุกท่านทราบค่ะ”
ดร.นวลปรางค์หยุดกล่าว พลางสบตากับผู้เป็นบิดาอย่างรู้ความนัยซึ่งกันและกัน เธอกวาด
สายตาไปทั่วห้องประชุมแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“น้องสุดใจ พี่ขอภาพด้วยค่ะ”
สุดใจพยักหน้ารับคำสั่งพร้อมสบตาผู้เป็นเจ้านายจากนั้นภาพก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากเครื่องฉาย
โปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย แสดงถึงสภาพ
ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเขตภูเขาและที่สูง ที่มีเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มีความสูงของพื้นที่
ระหว่าง 500-2,000 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ส่วนที่ราบระหว่างหุบเขาและบริเวณลูกคลื่น
ลอนลาดเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างเทือกเขาต่อเนื่องจากที่ราบลุ่มน้ำ อำเภอเชียงของมีพื้นที่
ประมาณ 837ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 530,000ไร่ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่นํ้าโขงมีแนวขนานไป
กับลำน้ำโขง ซึ่งเป็นแนวพรมแดนที่ติดกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ดร.นวลปรางค์อธิบายภาพแรกจบ พลางกวาดสายตามองไปยังผู้เข้าร่วมประชุมด้วยใบหน้า
ยิ้มแย้มอย่างมีมิตรไมตรี ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า
“น้องสุดใจ พี่ขอภาพต่อไปค่ะ”
เมื่อสิ้นคำกล่าว บนจอรับภาพโปรเจคเตอร์ก็ปรากฏเป็นภาพบริเวณเทือกเขาสูง ที่ขุดค้นพบ
หลุมศพของคนสมัยโบราณ แต่ยังไม่มีการนำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพแต่อย่างใด ภาพนี้ทำให้
ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างตกตะลึงและตื่นเต้นไปตามๆ กัน ทุกคนได้วิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่
และเสียงต้องเงียบลงเมื่อประธานในที่ประชุมกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ผมถือว่าพวกเราโชคดีมากเลยนะครับที่สามารถขุดค้นพบหลุมศพของคนสมัยโบราณ
ได้เป็นผลสำเร็จ เพราะต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ น่าจะเป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของ
ประเทศไทยแห่งใหม่ และยังสามารถเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มี
3
ความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณได้อีกด้วย”
ผู้เข้าร่วมประชุมต่างพยักหน้ายอมรับและเห็นด้วยกับคำกล่าวของประธานในที่ประชุม
“ก่อนอื่นพวกเราต้องขอขอบใจคุณเก้าจั๊วะเพื่อนของด็อกเตอร์นวลปรางค์ด้วย
นะครับ ที่ให้เอกสารสำคัญเป็นข้อมูลในการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ
ดังนั้นผมอยากให้ผู้มีเกียรติทุกท่านยืนไว้อาลัยให้กับคุณเก้าจั๊วะดีมั้ยครับ”
ดร.ชัยยศเพื่อนร่วมทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือกล่าวแสดง
ความคิดเห็นซึ่งทุกคนในห้องประชุมเห็นดีเห็นงามคล้อยตามด้วยอย่างเต็มใจเป็นที่สุด
จากนั้นศาสตราจารย์วิโรจน์กล่าวขึ้นว่า
“ขอเรียนเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านยืนไว้อาลัยให้กับคุณเก้าจั๊วะด้วยครับ”
เมื่อสิ้นคำกล่าว ทุกคนในห้องประชุมต่างลุกขึ้นยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยให้กับเก้าจั๊วะเพื่อนสนิท
ดร.นวลปรางค์ซึ่งบรรยากาศภายในห้องประชุมเงียบหายไปประมาณเกือบสองนาทีจนได้
ยินเสียงเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ที่ยังเปิดใช้งานอยู่ แต่ในความเงียบก็ไม่อาจทำให้ความคิด
อันฟุ้งซ่านของดร.ชัยยศสงบนิ่งได้ เพราะเขาวาดฝันเรื่องบางเรื่องเอาไว้ใหญ่โต จนเกินกว่า
ที่จะหยุดยั้งความคิดอันฟุ้งซ่านนั้นได้เขายังคิดอยู่เสมอว่าความฝันใกล้จะเป็นความจริงแล้ว
“ปรางค์ขออนุญาตบรรยายต่อเลยนะคะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวพร้อมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ภาพบนจอรับภาพโปรเจคเตอร์ปรากฏเป็นภาพบริเวณเทือกเขาสูง ที่ขุดค้นพบหลุมศพของคนสมัยโบราณ แต่ยังไม่มีการนำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพแต่อย่างใด
“ทีมงานสำรวจรายงานมาว่า ตอนนี้ได้พบโลงศพหินจำนวนหนึ่งโลงค่ะ แต่ยังไม่ได้ขุด
นำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพแต่อย่างใด เพราะต้องคอยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากสถาบัน
ศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติของพวกเราให้รีบเดินทางไปตรวจสอบพิสูจน์โดยด่วน
ดังนั้นวันนี้ปรางค์จะมาประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่จะเดินทางไปร่วมกันตรวจสอบพิสูจน์ค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวจบ พร้อมกับมีเสียงอื้ออึงของผู้เข้าร่วมประชุมดังขึ้นมาทันที สักพักใหญ่
เธอได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงจริงจังว่า
“ท่านแรกคือด็อกเตอร์ปารมี นักวิจัยทางด้านมานุษยกายวิภาคศาสตร์โดยตรง ซึ่งจบมาจากสถาบันเดียวกันกับปรางค์ค่ะ”
เธอสบตาเขาพลางแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากด้วยความอิ่มเอมใจเขายิ้มตอบพลางลุกขึ้นยืน
แล้วโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ท่านต่อไปคือด็อกเตอร์ชัยยศ นักวิจัยทางด้านบรรพชีวินวิทยา ซึ่งเป็นผู้ค้นพบซาก
ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ใหม่หลายชนิดในประเทศไทยค่ะ”
ดร.ชัยยศลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับอย่างนอบน้อมเช่นกัน แต่สายตาของเขาที่กวาดมองไปทั่ว
ห้องประชุมอย่างช้าๆนั้น เหมือนมีอะไรบางอย่างปิดบังซ่อนเร้นอยู่ในใจ ซึ่งดร.นวลปรางค์
มีความรู้สึกลึกๆ ว่า เพื่อนร่วมคณะคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ
4
“ท่านสุดท้ายคือคุณเพียงขวัญ นักโบราณคดีมือหนึ่งของประเทศไทยและแถมยังเป็น
นักข่าวอิสระอีกด้วยค่ะ”
เพียงขวัญนักโบราณคดีผู้เป็นเพื่อนสนิทของดร.นวลปรางค์ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ผู้เข้าร่วม
ประชุมอย่างนอบน้อมงดงามและเมื่อเพียงขวัญทรุดตัวลงนั่งที่เดิม เธอก็เริ่มบรรยายด้วย
น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า
“การขุดค้นพบโลงศพหินครั้งนี้ เราจะต้องตรวจสอบพิสูจน์ว่าภายในโลงศพหินยังมี
อะไรหลงเหลืออยู่บ้าง พร้อมกับต้องหาอายุของโลงศพหินนี้ด้วยเพราะถ้ามีอายุเกินกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไป โลงศพหินนี้จะถือว่าเป็นโบราณวัตถุค่ะ ซึ่งความหมายของคำว่าโบราณวัตถุ
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พุทธศักราช 2504แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ
และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2535 มาตรา 4 หมายความว่าสังหาริมทรัพย์
ที่เป็นของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือที่เป็นส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของโบราณสถาน ซากมนุษย์หรือซากสัตว์ ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์
หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ในทางศิลป ประวัติศาสตร์
หรือโบราณคดีค่ะ”
ผู้เข้าร่วมประชุมต่างพยักหน้าหงึกๆรับรู้ถึงข้อมูลที่ได้รับฟังคำบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญสาวสวย
“แต่ว่าถ้าโลงศพหินนี้ ตรวจสอบพิสูจน์แล้วเป็นซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล(Fossil)
เราก็ต้องหาอายุของโลงศพหินนี้ซึ่งกระบวนการในการหาอายุสามารถบอกได้ 2 แบบ ดังนี้
ข้อแรกคืออายุเปรียบเทียบ(Relative Age) เป็นการเปรียบเทียบกันระหว่างซากดึกดำบรรพ์
หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่นๆกับอายุทางธรณีวิทยาของซาก
ดึกดำบรรพ์ หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่นๆ ซึ่งการบอกอายุ
แบบนี้จะบอกได้แต่เพียงว่ามีอายุแก่กว่าหรืออ่อนกว่าซากดึกดำบรรพ์หรือหินอีกชุดหนึ่งเท่านั้น
โดยอาศัยตำแหน่งการวางตัวของหินตะกอนเป็นตัวบ่งบอก (Index Fossil) เป็นส่วนใหญ่
เพราะชั้นหินตะกอนแต่ละชั้นจะต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งที่จะเกิดการทับถมกันมาอย่างช้านาน
ซึ่งการเรียงลำดับของหินตะกอนแต่ละชุดสามารถใช้หาอายุได้ โดยจะต้องใช้หลักวิชาการทาง
ธรณีวิทยา (Stratigraphy) ประกอบด้วย
1) กฎการวางตัวซ้อนกันของชั้นหินตะกอน (Law of superposition)
2)กฎของความสัมพันธ์ในการตัดผ่านชั้นหิน (Law of cross-cutting relationship)
3)การเปรียบเทียบของหินตะกอน (Correlation of sedimentary rock)
เป็นการศึกษาเปรียบเทียบหินตะกอนในบริเวณที่ต่างกันโดยอาศัย
(1) ใช้ลักษณะทางกายภาพโดยอาศัยคีย์เบด (Key bed) ซึ่งเป็นชั้นหินที่มีลักษณะ
เด่นเฉพาะตัวของมันเอง และสามารถบ่งบอกจดจำได้อย่างถูกต้อง
5
(2) เปรียบเทียบโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์ (Correlation by fossil) มีหลักเกณฑ์คือ
ในชั้นหินใดๆ ถ้ามีซากดึกดำบรรพ์ที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันเกิดอยู่ในตัวของมันแล้ว
ชั้นหินนั้นๆ ย่อมมีอายุหรือช่วงระยะเวลาที่เกิดใกล้เคียงกับซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถใช้เปรียบเทียบได้ดี เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เกิดอยู่กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้างขวางมากที่สุด
ฟอสซิลเหล่านี้เรียกว่า ไกด์ฟอสซิลหรือ อินเด็กฟอสซิล (Guide or Index Fossil)ส่วนข้อที่สอง
คืออายุสัมบูรณ์(Absolute Age) เป็นการหาอายุซากดึกดำบรรพ์ของหิน ลักษณะหรือเหตุการณ์
ทางธรณีวิทยา(วัดเป็นปี เช่น พันปี ล้านปี) โดยทั่วไปอายุที่คำนวณจะหาได้จากไอโซโทปของ
ธาตุกัมมันตรังสีขึ้นอยู่กับวิธีการและช่วงเวลาครึ่งชีวิต(Half life period)ของธาตุนั้นๆเรียกว่า
การตรวจหาอายุจากสารกัมมันตภาพรังสี(Radiometric age dating)หรือมักเรียกสั้นๆว่า การหา
อายุคาร์บอน(คาร์บอน-14 (สัญลักษณ์ C-14))ซึ่งเป็นการใช้ธาตุกัมมันตรังสีเพื่อหาอายุหิน
หรือฟอสซิลโดยใช้หลักการสำคัญคือการเปรียบเทียบอัตราส่วนของธาตุกัมมันตรังสีที่เหลืออยู่
(End product)ที่เกิดขึ้นกับไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสีตั้งต้น(Parent isotope)แล้วคำนวณ
โดยใช้เวลาครึ่งชีวิตมาช่วยด้วย จนได้อายุของชั้นหินหรือซากดึกดำบรรพ์นั้นๆซึ่งการหาอายุ
โดยใช้ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชน์ 2 ประการคือ
1. ช่วยในการกำหนดอายุที่แน่นอนหลังจากการใช้ Fossil และ Stratigraphy แล้ว
2. ช่วยบอกอายุหรือเรื่องราวของยุคสมัยพรีแคมเบรียน
ดังนั้นการตรวจสอบพิสูจน์หาอายุของโลงศพหินครั้งนี้ถือว่าเป็นภารกิจสำคัญระดับประเทศ
และทีมงานของพวกเราจะต้องรีบดำเนินการโดยเร่งด่วนด้วยค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวเสริมตามหลักวิชาการ เพื่อต้องการให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเข้าใจถึง
รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการปฏิบัติของทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือครั้งนี้
“แล้วทีมงานของพวกเราจะต้องเดินทางไปกันเมื่อไหร่ครับ”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามด้วยความสนใจงานที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ดร.นวลปรางค์ยิ้มกว้างก่อนตอบว่า
“ปรางค์ขอให้เจ้าหน้าที่ที่ได้ประกาศรายชื่อเมื่อสักครู่ ไปพบกันวันเสาร์นี้ที่สนามบิน
เพื่อเดินทางไปจังหวัดเชียงรายค่ะ”
ผู้เข้าร่วมประชุมที่ถูกเอ่ยชื่อต่างพยักหน้ารับรู้ โดยเฉพาะดร.ชัยยศที่แอบซ่อนยิ้มไว้ในใจอย่าง
มีเลศนัย
“ผมขอฝากความหวังครั้งนี้ไว้กับทีมงานทุกท่านด้วยนะครับเพราะถ้าภารกิจครั้งนี้สำเร็จ
ลุล่วงไปได้ด้วยดี สถาบันของพวกเราก็จะได้มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น และต่อไปในอนาคตจะเป็น
สถานที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์แห่งใหม่ของประเทศไทยอีกด้วยครับ”
ประธานในที่ประชุมกล่าวจบ พร้อมเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมประชุมดังกึกก้องไปทั่วห้องประชุม
แห่งนี้ ผ่านไปสักพักเมื่อเสียงปรบมือสงบลง ดร.นวลปรางค์ได้กล่าวน้ำเสียงสดใสขึ้นว่า
6
“ขอเรียนเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันนะคะ”
จากนั้นผู้เข้าร่วมประชุมเริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุมแล้วมุ่งตรงไปยังห้องจัดเลี้ยง
ที่จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มแบบบุฟเฟต์ไว้อย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศเต็มไปด้วย
ความชื่นมื่นและคึกคัก โดยโต๊ะอาหารของศาสตราจารย์วิโรจน์มีผู้เข้าร่วมประชุมอาวุโส
พร้อมด้วยดร.ปารมีและดร.ชัยยศนั่งร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้วย เพียงขวัญเดิน
บันทึกภาพเก็บเป็นข้อมูลเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่อสาธารณชนรับทราบต่อไปในอนาคต
เธอเดินมาจนถึงโต๊ะอาหารของศาสตราจารย์วิโรจน์แต่ไม่พบดร.นวลปรางค์เพื่อนรัก
นั่งร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้วย เธอนึกแปลกใจจึงเดินตามหาจนไปถึงห้องประชุม
“อ้าว....ปรางค์มานั่งอยู่ที่นี่เองฉันเดินตามหาเธอไปทั่วห้องจัดเลี้ยง แล้วนี่กินข้าว
กลางวันแล้วหรือยังจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกพลางส่งยิ้มหวานให้เพื่อนรักก่อนว่า
“อ๋อ....ฉันยังไม่หิวและอีกอย่างฉันยังเก็บเอกสารไม่เสร็จเลยจ้ะ”
เพียงขวัญว่าพลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้เคียงข้างเรือนร่างบอบบางของเพื่อนรัก
“หยุดพักบ้างเถอะปรางค์หักโหมมากเกินไปเดี๋ยวจะพาลไม่สบายเอาได้นะจ๊ะ
เพราะฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอจะผอมลงไปมากกว่าเดิมอีกนะนับวันใกล้จะเหมือนกุ้งแห้ง
เข้าไปทุกทีแล้ว....ป่ะ....ไปเถอะ....ไปกินข้าวกันดีกว่า....เชื่อฉัน”
“ไปก็ได้ แต่ขอบอกก่อนเลยว่า ถึงฉันจะผอมเหมือนกุ้งแห้ง แต่ไม่แรงน้อยนะจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์โต้ตอบติดตลก พลางอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“จ้า....แม่คนเก่ง....ไปเร็ว....ไปกินข้าวกัน”
เพียงขวัญลากเสียงยาวพร้อมฉุดแขนเพื่อนรักให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อเดินไปยังห้องจัดเลี้ยง
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องประชุม แต่ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งร้องทักทายขึ้นว่า
“อ้าว....สองสาวสวยมาอยู่ที่ห้องประชุมนี่เอง ผมเดินตามหาเสียทั่วเลยครับ”
ดร.ชัยยศเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสองพร้อมรอยยิ้มแห่งมิตรไมตรี
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศมีอะไรหรือเปล่าคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ดวงตาของเขาเหมือนพยายามค้นหาคำตอบ
“อ๋อ....ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมไม่เห็นไปรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องจัดเลี้ยง
ด้วยกัน เออ....และอีกอย่างท่านศาสตราจารย์วิโรจน์ถามหาปรางค์ด้วยครับ”
“ขอบใจนะคะเพื่อนที่เป็นห่วง”
ดร.นวลปรางค์ตอบรับเสียงใสด้วยความสนิทสนม แต่เพียงขวัญรู้ดีว่าพฤติกรรมของดร.ชัยยศ
ที่แสดงออกมานั้น เขาทำเพื่อต้องการอะไรบางสิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่เพราะจากข้อมูลเชิงลึก
ในสมัยที่คนทั้งสองเรียนปริญญาเอกคณะเดียวกันเกี่ยวกับบรรพชีวินวิทยา (Paleontology)
ดร.ชัยยศแอบชอบดร.นวลปรางค์อยู่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอดเขาทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจ
7
และพยายามตามตื้อเทียวไล้เทียวขื่อจนจบการศึกษา แต่ก็ไม่สามารถพิชิตหัวใจดวงน้อย
ของเพื่อนสาวคนสวยมาครอบครองได้เป็นผลสำเร็จซึ่งดร.นวลปรางค์ให้ได้ในฐานะความ
เป็นเพื่อนเท่านั้นเพราะเธอมีชายคนรักที่คบหาดูใจอยู่แล้ว และผู้ชายคนนั้นก็คือดร.ปารมี
ซึ่งเป็นรุ่นพี่สถาบันเดียวกัน
“เออ....เย็นนี้ปรางค์ว่างหรือเปล่าครับพอดี....พอดีผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาหารือ
ก่อนเดินทางไปจังหวัดเชียงรายครับ”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามอย่างประหม่า เพราะที่ผ่านมาเขามักจะถูกปฏิเสธอยู่เสมอ หรือถ้าจำเป็น
ต้องไปจริงๆเธอจะมีเพื่อนไปด้วยทุกครั้ง
“ว่างค่ะ แต่ปรางค์จะไปกับเพียงขวัญนะคะ”
“ปรางค์....ผมขอร้องเถอะ ผมอยากให้เราไปด้วยกันเพียงสองต่อสองได้มั้ย เพราะเรื่อง
ที่ผมจะปรึกษาหารือมันเป็นความลับนะครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ปรางค์กับเพียงขวัญ เราสองคนจะไม่มีความลับต่อกัน ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรางค์ เพียงขวัญจะรับรู้หมดทุกเรื่องค่ะ”
“แม้แต่เรื่องของเราอย่างนั้นรึ”
ดร.นวลปรางค์สบตาเขาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แต่เธอก็พยายามเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ในใจ
แล้วเสแสร้งแกล้งทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการฝืนยิ้มให้เขา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
พอๆ กับแววตาอันดุดันว่า
“เรื่องส่วนตัวปรางค์จะแยกแยะไม่เอามาปนกับเรื่องงานหรอกค่ะและอีกอย่างเรื่อง
ในอดีตที่ผ่านมาสมัยเรียนปริญญาเอกด้วยกันปรางค์กับคุณก็ไม่เคยมีอะไรเกินเลยมากไป
กว่าความเป็นเพื่อนเพราะฉะนั้นปรางค์ขอให้คุณอย่ามาทำลายความเป็นเพื่อนและมิตรภาพ
ที่ดีต่อกันเลยและขอได้โปรดเข้าใจปรางค์สักทีเถอะค่ะ”
ดร.ชัยยศถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ใบหน้าหล่อคมเข้มแดงก่ำและชาด้วยวาจาเชือดเฉือนบาดลึกกินใจ เพราะรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรงเขาไม่โต้ตอบแต่แอบบ่นพึมพำในใจว่า
“ใช่สิ ก็เพราะปรางค์มีไอ้หนุ่มรูปหล่อลูกครึ่งคนนั้นแล้วนี่ปรางค์ถึงไม่สนใจและไม่ยอม
เป็นแฟนกับผม มันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจและเป็นมารหัวใจที่น่ากลัวที่สุดต่อไปมันกับผมก็คงอยู่
ร่วมโลกกันไม่ได้เพราะไม่ว่ามันหรือผมจะต้องตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน”
สายตาของเขาที่จดจ้องใบหน้ารูปงามของเพื่อนสาวคนสวย มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนขอความเห็นใจซึ่งมีความขัดแย้งกับความนึกคิดที่อยู่ในใจอย่างสิ้นเชิง เขาฝืนยิ้มให้ก่อนเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า
“ผมขอโทษ....ปรางค์ยกโทษให้ผมนะครับ”
แล้วเขาก็นิ่งเงียบไป แต่แอบชำเลืองตามองเพื่อนสาวคนสวยที่ยืนโชว์เรือนร่างงามระหงอยู่
เบื้องหน้าอย่างชื่นชม เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เหมือนต้องการลดความกดดัน
8
ที่สุมอยู่ในใจให้น้อยลงมากที่สุด ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า
“คือ....คือผม....อาจจะจริงจังกับความรักที่มีให้กับปรางค์มากเกินไป จนลืมนึกถึง
ความรู้สึกของปรางค์ไปครับ”
ดร.นวลปรางค์สบตาเขาด้วยความขุ่นเคือง พลางบ่นพึมพำในใจว่า
“ยัง....ยังไม่หยุดเพ้อเจ้ออีก น่าเบื่อจริงๆอีตาด็อกเตอร์มากรักเพื่อนของฉันคนนี้
แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องอดทนและอดกลั้นให้ถึงที่สุดเพื่องานที่รอคอยอยู่ข้างหน้า”
เธอฝืนฉีกยิ้มหวานให้เขาชื่นใจ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า
“ปรางค์ต้องขอบใจคุณมากเลยค่ะ ที่คุณหยิบยื่นความรักและความปรารถนาดีให้กับ
ปรางค์อย่างมากมายเหลือเกิน แต่ปรางค์ให้ได้แค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้นจริงๆและอยากจะ
บอกว่าปรางค์ให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อนมากกว่าเป็นอย่างอื่นนะคะ”
“โอ.เค. ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของปรางค์แล้วครับ และผมก็ยังดีใจที่ปรางค์ได้ให้ความเป็นเพื่อนกับผมด้วยดีเสมอมา”
ดร.ชัยยศตอบรับเสียงหนักแน่น แต่กิริยาท่าทางเหมือนยังมีอะไรบางสิ่งบางอย่างแอบเก็บซ่อนเร้นเอาไว้
“สรุปแล้วเย็นนี้จะนัดปรึกษาหารือกับปรางค์กี่โมงคะ”
เพียงขวัญแกล้งเอ่ยถาม เพราะนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ
“เออ....ผมว่าเอาตามสะดวกปรางค์ดีกว่าครับ หรือถ้าปรางค์ไม่สะดวกจริงๆผมคิดว่า
เอาไว้ไปคุยที่จังหวัดเชียงรายก็ได้ครับ”
ดร.ชัยยศรีบพูดตัดบทแก้เก้อ
“ถ้าอย่างนั้น วันเสาร์นี้พบกันที่สนามบินนะคะ”
ดร.ชัยยศไม่กล่าวตอบ แค่พยักหน้าหงึกๆเป็นการรับรู้ แล้วจากนั้นเขาก็ผละเดินออกไปจาก
วงสนทนาทันที
“โอ้โห!....ปรางค์นี่สุดยอดเก่งจริงๆ ที่สามารถปฏิเสธนัดคุณด็อกเตอร์ชัยยศได้สำเร็จ”
เพียงขวัญกล่าวชมด้วยความจริงใจ
“ฉันไม่ได้เก่งหรอก แต่ฉันเจอแบบนี้มาหลายหนแล้วจ้ะ”
เมื่อสิ้นคำกล่าว ทั้งดร.นวลปรางค์และเพียงขวัญต่างหัวเราะชอบใจพร้อมกัน
“ป่ะ....ไปกินข้าวกันเถอะฉันหิวแล้ว”
ดร.นวลปรางค์เชิญชวนเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเริงร่าสดใส แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจของเธอยังมี
ความวิตกกังวลอยู่เป็นเนืองๆ ปัญหาเรื่องงานก็พอรับมือแก้ไขได้ แต่ถ้าเป็นปัญหาจากคนนี่สิ
มันจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์สักเพียงใด งานนี้ขอฮึดสู้เพื่อภารกิจสำคัญระดับประเทศเกี่ยวกับ
การตรวจสอบพิสูจน์หาอายุของโลงศพหิน ที่ทีมงานสำรวจได้ขุดค้นพบหลุมศพของคนสมัยโบราณ
บริเวณเทือกเขาสูงในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายต่อไป
ตอนที่ 2
สายตาคู่งามของดร.นวลปรางค์เบิกกว้างจ้องมองภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยความ
กังขาในสิ่งที่ได้พบเห็นเทือกเขาหลวงพระบางตั้งตระหง่านสูงใหญ่สลับซับซ้อน โดยนอนทอด
ตัวยาว เริ่มจากบริเวณแม่น้ำโขงทางเหนืออำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ลงไปทางใต้ผ่าน
จังหวัดน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ จนถึงตะวันตกของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และทางเหนือของ
อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นบริเวณที่เชื่อมต่อกับเทือกเขาเพชรบูรณ์ในภาคกลาง
มีความกว้างประมาณ 50-100 กิโลเมตร และความยาวประมาณ 250 กิโลเมตร เทือกเขาหลวง
พระบางเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารเล็กๆ หลายสาย ที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน
ได้แก่ แม่น้ำว้า แม่น้ำวัว แม่น้ำปาด เป็นต้น ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ ภูเมี่ยง ความสูง2,300 เมตร
จากระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ และใช้กั้นพรมแดนธรรมชาติระหว่าง
ประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาแต่สมัยโบราณ
ดร.นวลปรางค์ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเป็นสุข เธอรู้สึกแช่มชื่นหัวใจที่ได้มายืนอยู่ ณ สถานที่
แห่งนี้ความมหัศจรรย์ใจบังเกิดขึ้นเมื่อสายลมเย็นๆ พัดมาสัมผัสผิวเนื้อนวลให้รู้สึกสดชื่นเสียงลมที่แว่วเข้ามาผ่านโสตประสาทหู เป็นเสมือนดั่งน้ำเสียงของเก้าจั๊วะเพื่อนรักกล่าวคำ
ขอบใจดังมาเป็นระยะๆ เธอพยักหน้ารับรู้และอมยิ้มที่มุมปากด้วยความสุขอิ่มเอิบใจอย่าง
เหลือล้น น้ำเสียงที่ดังแว่วมาสามารถสร้างกำลังใจให้ฮึดสู้ต่อภารกิจสำคัญครั้งนี้ และสนอง
เจตนารมณ์ของเพื่อนรัก
“เก้าจั๊วะเพื่อนรัก ฉันจะทำความฝันของเธอให้สำเร็จจงได้จ้ะ”
เธอแอบพึมพำเบาๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
“ปรางค์....ปรางค์จ๋า”
เพียงขวัญสะกิดแขนพร้อมเรียกชื่อเพื่อนรักอย่างแผ่วเบา
“อ้าว....เพียงขวัญ”
“เป็นอะไรปรางค์ ฉันเห็นเธอยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวตั้งนาน”
“อ๋อ....ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่รู้สึกว่าเก้าจั๊วะมาต้อนรับพวกเราจ้ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสตามความรู้สึกที่สัมผัสได้
“เธอรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ เหรอ”
“อืม....ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
เพียงขวัญทำสีหน้างงๆ เล็กน้อย แต่ก็ต้องกล่าวคล้อยตามอย่างเห็นดีเห็นงามว่า
“อาจเป็นเพราะเธอกับเก้าจั๊วะเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาสมัยเรียนปริญญาเอก
ด้วยกัน และอีกอย่างที่พวกเรามาจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ก็เพราะเก้าจั๊วะฉันคิดว่าดวงวิญญาณ
ของเก้าจั๊วะคงรับรู้ จึงมาต้อนรับพวกเราอย่างแน่นอน”
“เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องทำโครงการนี้ให้สำเร็จ เพื่อสถาบันและเพื่อเก้าจั๊วะ”
“อืม....ใช่เลยจ้ะ พวกเราจะต้องทำให้สำเร็จ....ป่ะ....ไปกันเถอะ รถมารับแล้ว”
10
เพียงขวัญเอ่ยชวน เมื่อเหลือบไปเห็นรถยนต์ของสถาบันวิ่งเข้ามาในรีสอร์ท ซึ่งเป็นรีสอร์ท
ที่ทีมงานสำรวจของสถาบันชุดแรกจัดเตรียมไว้ให้สำหรับใช้เป็นที่พักและใช้เป็นที่ประชุม
ทีมงานของสถาบันทั้งชุดสำรวจและชุดนักวิชาการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับ
ซากดึกดำบรรพ์
ทั้งนี้เมื่อตอนสายๆ หลังจากทุกคนได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
จากนั้นเดินทางต่อไปยังรีสอร์ท เพื่อเข้าห้องพักและรับประทานอาหารกลางวันพร้อมทั้ง
มีการประชุมแสดงความคิดเห็นและซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับโลงศพหินของคนสมัยโบราณ
ที่ยังไม่ได้ขุดนำขึ้นมาจากหลุมศพเพราะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทำการตรวจสอบพิสูจน์
โดยทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นและหาข้อตกลงร่วมกันจนได้ข้อสรุปเป็นมติของที่ประชุม
ซึ่งกล่าวถึงแผนการปฏิบัติงานเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันของทีมงานทั้งสองชุด
รถยนต์ของสถาบันพาทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ เดินทางไป
ยังเทือกเขาหลวงพระบาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ขุดค้นพบโลงศพหินของคนสมัยโบราณยิ่งเดินทาง
เข้าใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เลือดลมในกายของดร.นวลปรางค์สูบฉีดเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ความตื่นเต้นเร้าใจปนกับความท้าทายบังเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว สักพักใหญ่รถยนต์
ของสถาบันมาจอดหยุดอยู่ ณ เนินเขาเตี้ยๆ ที่มีความสูงจากบริเวณโดยรอบประมาณ 200 เมตร
พื้นที่บางส่วนจะสลับกับที่ราบกว้างใหญ่ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี และมีฉากด้านหลังเป็นป่าดิบเขา
(Hill Evergreen Forest)ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ได้แก่ไม้วงศ์ก่อ เช่น ก่อสีเสียด
ก่อตาหมูน้อยก่อหนาม จำปีหลวง ก่วมดอย มณฑาดอยกระโถนฤาษีอบเชย สะเดาช้าง เป็นต้น
ทุกสายตาต่างจ้องมองไปยังผิวหน้าดินที่ถูกขุดขึ้นมาตามแนวดิ่งประมาณ 2 เมตรแล้วถูกเปิด
ขยายให้กว้างขึ้น พร้อมตกแต่งผิวหน้าดินบริเวณนั้นให้สะอาดเตียนโล่งโดยเจ้าหน้าที่ทีมงาน
สำรวจของสถาบันชุดแรก หลังจากนั้นเมื่อทีมงานชุดนักวิชาการลงจากรถยนต์ของสถาบัน
ทุกคนต่างรีบมุ่งตรงไปยังผิวหน้าดินบริเวณนั้นที่เป็นหลุมศพของคนสมัยโบราณนัยน์ตาของ
คนทั้งสองสบประสานอย่างรู้ใจกันและกันแล้วดร.ปารมีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มมิตรไมตรีว่า
“ปรางค์เห็นอย่างงี้ คงหายเหนื่อยเลยใช่มั้ยครับ”
ดร.นวลปรางค์พยักหน้ารับพร้อมยิ้มหวานกลับไปให้
“โอ้มายก๊อด! ทำไม....ทำไมมันถึงอเมซิ่งอย่างนี้”
ดร.ชัยยศร้องอุทานเสียงหลงพลางรีบสาวเท้าเดินแซงทุกคนไปยังหลุมศพของคนสมัยโบราณ
ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยจิตใจร้อนรนและแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจอย่างเป็นสุข เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
“โอ.เค. มั้ยครับหัวหน้าสมศักดิ์”
ดร.ชัยยศกล่าวทักทายหัวหน้าทีมงานสำรวจ เมื่อเขาเดินไปถึงบริเวณหลุมศพของคนสมัยโบราณ
เป็นคนแรก เขาอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากอย่างผู้มีชัย
11
“ทุกอย่างโอ.เค. เรียบร้อยดีครับ”
สมศักดิ์กล่าวจบ พลางยกมือไหว้ดร.ชัยยศที่เดินเข้ามาประชิดตัว และรีบยกมือไหว้อีกสามคน
ที่เดินตามมาติดๆ คือดร.นวลปรางค์ดร.ปารมีและเพียงขวัญ จากนั้นสมศักดิ์พาทุกคนเดิน
ไปยังจุดที่ขุดค้นพบโลงศพหิน พร้อมเริ่มกล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า
“ตามคำสั่งการและข้อมูลของสถาบันที่ให้ทีมงานสำรวจเดินทางมาสำรวจแหล่งซาก
ดึกดำบรรพ์บริเวณภาคเหนือ จนกระทั่งทีมงานสำรวจได้ขุดค้นพบหลุมศพของคนสมัยโบราณ
ในบริเวณนี้ แล้วต่อมาพบโลงศพหินจำนวน 1 โลง ที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกประมาณ 2 เมตร
ซึ่งคาดว่าน่าจะมีอายุเกินกว่า 100 ปีเห็นจะได้ครับ”
สมศักดิ์หยุดกล่าว เมื่อมีเสียงแหลมเล็กเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“แล้วตอนนี้พอจะมองเห็นมั้ยคะว่าโลงศพหินนั้นทำมาจากหินอะไร”
“จากที่ผมสามารถมองเห็นได้คร่าวๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นโลงศพหินที่ทำมาจากหินแกรนิต
ครับคุณเพียงขวัญ”
เพียงขวัญพยักหน้ารับรู้หงึกๆ แล้วกล่าวเสริมต่ออีกว่า
“อืม....ถ้าอย่างนั้นคงได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมจีนอย่างแน่นนอนซึ่งน่าจะเป็น
อารยธรรมจีนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคหินใหม่ที่มีอายุประมาณ 6,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว
โดยเริ่มมีการตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชน รู้จักปลูกบ้านเรือนมีหลังคาเพาะปลูกข้าวฟ่าง เลี้ยงสัตว์
ทอผ้าและทำเครื่องปั้นดินเผาที่เขียนลายสีให้สวยงามมากขึ้น ทั้งนี้อารยธรรมจีนยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ มีแหล่งอารยธรรมที่สำคัญอยู่ 2 แหล่งด้วยกันคือ ลุ่มแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลือง
ซึ่งเป็นที่ราบตอนปลายของแม่น้ำฮวงโห โดยมีความเจริญที่เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเซา (Yang
Shao Culture)เป็นช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ และพบหลักฐานเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะสำคัญคือ เป็นลายเขียนสี มักเป็นลายเรขาคณิตพืช นก สัตว์ต่างๆ และใบหน้ามนุษย์ ส่วนสีที่ใช้จะเป็นสีดำหรือสีม่วงเข้ม นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ลายหรือขูดสลักลายเป็นรูปลายจักสาน ลายเชือกทาบ
ซึ่งจะมีการสืบทอดมาถึงยุคโลหะ (สำริด) และยุคโบราณ (ยุคสมัยประวัติศาสตร์) ค่ะและอีกหนึ่ง
แหล่งก็คือ ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณมณฑลชานตง โดยมีความเจริญที่เรียกว่าวัฒนธรรม
หลงซาน(Lung ShanCulture)เป็นช่วงที่ผู้ชายเป็นใหญ่และพบหลักฐานเป็นเครื่องปั้นดินเผา
ที่มีลักษณะสำคัญคือเป็นภาชนะ 3 ขา คุณภาพดีมีเนื้อละเอียด บาง แกร่ง และสีดำขัดมันเงา แสดงว่ามีการใช้แป้นหมุน และมีวิธีการเผาที่ก้าวหน้ากว่าวัฒนธรรมหยางเซา ซึ่งจะมีการสืบทอด
มาถึงยุคโลหะ (สำริด)เช่นกันค่ะ”
“ดังนั้นจากเหตุผลที่คุณเพียงขวัญอธิบายมาทั้งหมด แสดงว่าซากศพที่นอนอยู่ในโลงศพ
หินแกรนิตนี้ น่าจะมีเชื้อสายมาจากชนชาติจีนสิครับ”
ดร.ปารมีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะ แต่ก่อนอื่นพวกเราต้องขุดนำโลงศพหินขึ้นมาจากหลุมศพเสียก่อน
12
แล้วต่อจากนั้นก็ต้องช่วยกันตรวจสอบพิสูจน์ว่า ซากศพที่นอนอยู่ในโลงศพหินนี้มีเชื้อสาย
มาจากชนชาติจีนจริงหรือเปล่า พร้อมกับตรวจสอบพิสูจน์อีกว่าใช่โลงศพหินแกรนิตหรือมั้ยเพราะถ้าใช่ก็ต้องหาอายุของโลงศพหินแกรนิตนี้ต่อไปค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวแสดงความคิดเห็น ก่อนเดินตรงไปถึงโลงศพหินที่โผล่พ้นจากผิวดินขึ้นมา
ประมาณ 30 เซนติเมตร สายตาคู่งามของเธอจ้องมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความปลื้มปริ่มใจ
ที่สามารถทำความฝันของเก้าจั๊วะเพื่อนรักให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ในระดับหนึ่งสมศักดิ์หัวหน้า
ทีมงานสำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่รอบๆ โลงศพหินตามหลักวิชาการ
เพื่อต้องการนำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพ โดยมีดร.ชัยยศคอยกำกับดูแลและควบคุมการทำงานอย่างไม่ยอมทิ้งห่าง
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศคิดว่าน่าจะเป็นโลงศพหินแกรนิตจริงๆหรือเปล่าคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถาม ขณะช่วยเจ้าหน้าที่ทีมงานสำรวจขุดคุ้ยดินที่อยู่รอบๆ โลงศพหินเช่นกันเธอแอบยิ้มเล็กๆ ในใจอย่างเป็นสุข เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มที่แอบนึกชอบตาม
ลำพังเพียงสองต่อสอง ซึ่งชายหนุ่มเองก็รู้ตัวดีว่ามีหญิงสาวแอบนึกชอบอยู่ แต่เขากลับทำเฉย
เมยไม่สนใจใยดีแต่อย่างใดเพราะเขายังหวังต้องการที่จะพิชิตหัวใจดวงน้อยของเพื่อนสาวคน
สวยมาครอบครอง
“ก็น่าจะเป็นไปได้เหมือนกันครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆพร้อมชักสีหน้าเรียบเฉย จนทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำใจยอมรับกับความเป็นจริง เพราะเป็นฝ่ายที่แอบนึกชอบเขาข้างเดียว
จึงต้องหมั่นทำความดีเพื่อพิชิตหัวใจของชายหนุ่มให้ได้ทีมงานทั้งชุดสำรวจและชุดนักวิชาการ
ต่างร่วมกันลงมือปฏิบัติหน้าที่อย่างขมีขมัน จนเริ่มมองเห็นโลงศพหินชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นโลงศพหินแกรนิตนะครับ”
ดร.ปารมีกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อมองเห็นความชัดเจนของโลงศพหินที่อยู่เบื้องหน้า
“ปรางค์ก็คิดเหมือนกับพี่ด็อกเตอร์ปารมีค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวคล้อยตามอย่างเห็นดีเห็นงาม จนทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงเกิดอาการหมั่นไส้
แต่เขาก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า
“ผมขอฟันธงเลยครับว่าเป็นโลงศพหินแกรนิตอย่างแน่นนอน”
“ถ้าใช่โลงศพหินแกรนิตเพราะฉะนั้นแสดงว่าซากศพที่นอนอยู่ในโลงศพหินแกรนิตนี้
ก็น่าจะมีเชื้อสายมาจากชนชาติจีนจริงๆสิคะ เพราะจากข้อมูลธรณีวิทยาประเทศไทยได้กล่าวไว้ว่า
แนวหินแกรนิตที่พาดผ่านภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดเริ่มต้นบริเวณมณฑลยูนนาน
ตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และเข้ามาทางตอนเหนือที่ราบสูงแถบรัฐชานของ
ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมไปถึงตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในบริเวณตะวันตกของหลวงพระบาง แล้วพาดผ่านภาคเหนือของ
13
ประเทศไทยทั้งหมด จากนั้นต่อเลยลงมาทางใต้ทางตะวันตกและทางใต้ของประเทศไทย
โดยครอบคลุมคาบสมุทรไทย-มาเลเซียทั้งหมด และไปสิ้นสุดที่บริเวณตะวันตกของประเทศ
สาธารณรัฐอินโดนีเซียแถบเกาะสุมาตรา ซึ่งแนวหินแกรนิตเป็นแนวที่เกิดจากกระบวนการ
เกิดภูเขา หรือบรรพตรังสรรค์ (Orogenyหรือ Mountain Building)อยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้
และเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นแนวเทือกเขาแอลป์-หิมาลัย (Alpine-Himalayan Belt)
ที่กำเนิดขึ้นมาตอนช่วงปลายมหายุคพาลีโอโซอิก(Paleozoic)หรือประมาณหลัง 245 ล้านปี
มาแล้วค่ะ”
เพียงขวัญอธิบายอย่างละเอียดตามหลักวิชาการ
“ดังนั้นจากข้อมูลที่เพียงขวัญอธิบายมาทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า ซากศพที่นอนอยู่ในโลงศพ
หินแกรนิตต้องเป็นชนชาติจีนอย่างแน่นอน เพราะมีหลักฐานอยู่ 2 ประเด็นที่เชื่อถือได้ก็คือ
ประเด็นแรกแนวหินแกรนิตบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกตอนบนของประเทศไทย
ส่วนใหญ่เป็นแนวหินแกรนิตตะวันออก(Eastern Province หรือ Eastern Belt Granite) มากกว่า
ที่จะเป็นแนวหินแกรนิตตอนกลาง (Central Province หรือ Central Belt Granite) และแนว
หินแกรนิตตะวันตก (Western Province หรือ Western Belt Granite) แนวหินแกรนิตตะวันออกนี้
มีจุดเริ่มต้นบริเวณมณฑลยูนนานตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และพาดผ่าน
ภาคเหนือของประเทศไทย โดยสามารถพบบริเวณทางด้านทิศตะวันตกของจังหวัดเชียงรายจังหวัดพะเยาและด้านทิศตะวันออกของจังหวัดตาก จังหวัดน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเกิดเป็น
พลูตอนขนาดเล็กลักษณะเนื้อหินค่อนข้างหยาบ และมีอายุอยู่ในช่วง213-256ล้านปี ในยุค
ไทรแอสซิกส่วนในประเด็นที่สองจะกล่าวถึงพิธีกรรมของชนชาติจีนเกี่ยวกับพิธีศพในยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการวิวัฒนาการยาวนานมากว่า 2,000ปี โดยในการประกอบพิธีศพจะเป็น
ไปอย่างเรียบง่าย เมื่อมีคนเสียชีวิตในบ้านก็จะนำศพไปทิ้งให้ไกลจากที่อยู่อาศัยหรือตามป่า
ต่อมาได้รับอิทธิพลความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณ เมื่อมีคนเสียชีวิตดวงวิญญาณยังคงสิงสถิตย์
อยู่ในร่างที่เสียชีวิต จึงมีการนำศพผูกติดกับต้นไม้และนำไปฝังในป่า จากนั้นจะวิวัฒนาการ
มาเรื่อยๆ จนมีการนำศพมาใส่โลงศพ ซึ่งเริ่มขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์เชียงแทน เมื่อประมาณ
1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) จนกระทั่งมาถึงสมัยราชวงศ์เซี่ย (ราชวงศ์แรก
ในยุคโบราณ) ที่เริ่มให้ความสำคัญกับศพมากขึ้น โดยให้มีการทำพิธีกรรมก่อนนำไปฝัง และต่อมา
ในสมัยราชวงศ์โจว หรือ ราชวงศ์จิว (ราชวงศ์ที่ 3 ในยุคโบราณ) เริ่มมีการทำพิธีกรรมให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
โดยมีขุนนางชั้นสูงผู้สำเร็จราชการชื่อ โจวกงจีต้านเป็นบุคคลแรกที่คิดและกำหนดประเพณีต่างๆ
เช่น การแต่งงาน การเฝ้ากษัตริย์ โดยเฉพาะพิธีกรรมเกี่ยวกับพิธีศพที่ต้องทำให้ดีที่สุด และถือ
เป็นสิ่งสำคัญอีกด้วยค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวโดยสรุปอย่างย่อ เพื่อต้องการให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น
“แล้วทำไมต้องใช้หินแกรนิตมาทำเป็นโลงศพละครับ”
14
ดร.ปารมีเอ่ยถามอดีตหวานใจด้วยความสงสัยใคร่รู้พร้อมหันหน้าไปสบตากับเธอที่กำลัง
จ้องมองเขาอย่างไม่วางตาเช่นกัน เธอส่งยิ้มหวานละไมให้เขาก่อนจะอธิบายต่อ แต่ก็ต้องหยุดชะงักงันไป
“เพราะหินแกรนิต (Granite) เป็นหินอัคนีแทรกซอนอันประกอบด้วยแร่ควอรตซ์
แร่เฟลด์สปาร์ และแร่ไมกาปนอยู่ด้วย ผลึกของแร่แต่ละชนิดเกาะก่ายกัน เป็นดอกๆ ประปราย
เนื้อแน่นเสมอ ขนาดปานกลางถึงหยาบ แข็งแรง ทนทาน ส่วนสีจะมีสีชมพู สีเทาเข้ม หรือสีดำ
ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีและทางแร่ ดังนั้นการบรรจุศพลงในโลงศพหินแกรนิตของ
ชนชาติจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาจสันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณ
หลังความตายเหมือนอียิปต์โบราณ เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของดวงวิญญาณ โดยมีความ
เชื่อว่าเมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของ
ผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและเก็บรักษาสภาพของศพไม่ให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา โดยผ่านกระบวนการแช่หรือดองน้ำยารักษาศพ แล้วจะพันศพด้วยผ้าลินินสีขาว
ซึ่งพวกเราจะรู้จักกันดีก็คือ มัมมี่ (Mummy) ยังไงละครับ”
ดร.ชัยยศชิงอธิบายแทน เพื่อต้องการเรียกคะแนนจากเพื่อนสาวคนสวยที่แอบค้อนให้เขา
วงงามๆด้วยความหมั่นไส้ เขากวาดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นก่อนอธิบายต่ออีกว่า
“ต่อจากนั้นจะนำมัมมี่ไปบรรจุลงในโลงศพหินแกรนิต เพราะหินแกรนิตเป็นสิ่งที่หา
ได้ง่ายในพื้นที่ มีความหนาแน่น หนัก แข็งแรงทนทานต่อการผุกร่อนไม่ผุพังง่ายเหมือนโลงศพ
ที่ทำจากไม้ และยังสามารถเก็บรักษาสภาพของศพไม่ให้เน่าเปื่อยผุพังได้อีกด้วยแม้วันเวลา
จะผ่านมากี่ศตวรรษแล้วก็ตาม ซึ่งบรรยากาศตอนนี้เหมือนกับตอนพวกเราไปออกฟิลด์เวิร์ค
ที่ประเทศอียิปต์เลยเนอะปรางค์....ปรางค์ยังจำได้หรือเปล่าครับ”
เขาอธิบายจบพร้อมรอยยิ้มละไมแต่ดร.นวลปรางค์กลับนิ่งเฉยและไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่อย่างใด เพราะเธอรู้ดีว่าการพูดจาแบบนี้ เขาต้องการจะเยาะเย้ยใครบางคนเท่านั้น
“อืม....ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าอารยธรรมจีนโบราณกับอารยธรรมอียิปต์โบราณน่าจะใกล้เคียงกันสิครับ”
“ไม่ใกล้เคียงกันสักเท่าไหร่หรอกค่ะเพราะอารยธรรมอียิปต์โบราณเกิดขึ้นเมื่อประมาณ
3,150ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่จะไปใกล้เคียงกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มี
ความเก่าแก่ที่สุดแห่งแรกของโลก เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนอารยธรรม
จีนโบราณเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชแต่อาจจะใกล้เคียงกันตรงที่มีความเชื่อ
ในเรื่องดวงวิญญาณหลังความตายเหมือนกันค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวเสริมอย่างผู้รู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์โลก
“โอ.เค. สรุปว่าตอนนี้พวกเราทำงานกันมาถูกทางแล้วสิครับ”
“ใช่ค่ะ”
15
ดร.นวลปรางค์ตอบรับเห็นดีเห็นงามคล้อยตามเขาอย่างเต็มใจเธอแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
เพราะรู้ว่าการสำรวจหาแหล่งกำเนิดชาติพันธุ์ที่อาจเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะนั้นใกล้ความ
จริงเข้ามาทุกทีแล้วเธอพึมพำในใจว่า
“เก้าจั๊วะเพื่อนรัก ความฝันของเธอใกล้ความจริงแล้วนะจ๊ะ”
อากาศในยามบ่ายที่เคยร้อนอบอ้าวจนเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลังของทุกคน
แต่มาบัดนี้ใกล้ย่ำค่ำความร้อนอบอ้าวของอากาศกลับจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
บรรยากาศรอบกายเริ่มลดลงเรื่อยๆจนรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจอย่างแปลกประหลาดเพราะตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทีมงานทั้งชุดสำรวจและชุดนักวิชาการต่างช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่
รอบๆ โลงศพหินแกรนิต จากเดิมที่โผล่พ้นขึ้นมาได้ประมาณ 30 เซนติเมตร จนสามารถมองเห็น
ความชัดเจนได้เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์โลงศพหินแกรนิตมีเนื้อหยาบสีดำสนิท ลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีความกว้าง 1.50 เมตร ความยาว 2.50 เมตร และความสูง 2 เมตร
ส่วนด้านบนมีฝาปิดสนิทจนอากาศไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตื่นเต้น
และขนลุกขนพองไปตามๆ กัน โดยเฉพาะดร.นวลปรางค์หัวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
จนแทบยืนไม่ติดพื้น เธอใช้ฝ่ามืออันเรียวงามสัมผัสลูบไล้ไปมาแผ่วเบาบริเวณฝาโลงศพหินแกรนิต
ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ถึงแม้ว่าจะยังมีร่างหลงเหลืออยู่หรือไม่มีร่างหลงเหลืออยู่ก็ตาม ปรางค์ขออนุญาตเรียก
ท่านว่าอาจารย์ใหญ่นะคะ”
“ปรางค์เรียกถูกต้องแล้วครับ”
ดร.ปารมีสบสายตาคู่งามพร้อมกล่าวเออออห่อหมกตามอดีตหวานใจจนทำให้ดร.ชัยยศที่แอบ
ชำเลืองตามองทั้งคู่เกิดอารมณ์หงุดหงิดขึ้นในใจแต่เขาก็ต้องพยายามข่มอารมณ์ให้สงบนิ่งโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นพิรุธจับผิดได้ เขาฝืนยิ้มให้กับทุกคนพลางกล่าวขึ้นว่า
“ปรางค์ทำถูกต้องแล้วครับ อย่างน้อยพวกเราสมควรให้เกียรติแก่ร่างที่นอนอยู่ในโลงศพ
หินแกรนิตนั่น ดังนั้นพวกเราเรียกว่าอาจารย์ใหญ่ถูกต้องที่สุดแล้วครับ และอีกอย่างหนึ่งก่อน
จะทำการเปิดโลงศพหินแกรนิตผมอยากให้พวกเราทุกคนจุดธูปขอขมาร่างของอาจารย์ใหญ่
กันก่อนดีมั้ยครับ”
ทุกคนพยักหน้ายอมรับเงื่อนไขตามที่ดร.ชัยยศกล่าวเสริม
“โอ.เค. สรุปเอาเป็นว่าพวกเราทุกคนยินดีปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของด็อกเตอร์ชัยยศค่ะส่วนสำหรับวันนี้ปรางค์คิดว่าพวกเราพอกันแค่นี้ก่อนดีกว่าเพราะนี่ก็ค่ำมากแล้ว ทุกคนคงหิวและอยากจะพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยลุยงานกันต่อ
นะคะ”
ดร.นวลปรางค์ตัดสินใจตอบแทนทีมงานทุกคน
“เออ....แล้วคืนนี้ใครอยู่เวรยามคะหัวหน้าสมศักดิ์”
“อ๋อ....คืนนี้จะมีผม หัวหน้าสมศักดิ์ และน้องๆ เจ้าหน้าที่อีกสองสามคนครับ”
16
ดร.ชัยยศรีบชิงพูดเสนอตัวเองเพื่อหวังเรียกคะแนนจากเพื่อนสาวคนสวยแต่ดร.นวลปรางค์กลับไม่สนใจในคำพูดและพฤติกรรมที่เขาพยายามแสดงออกมาสักเท่าไหร่ เธอสบสายตาเพื่อน
ร่วมคณะแล้วรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างในใจ
“จะไหวเหรอคะ คุณเดินทางมาจากกรุงเทพตั้งแต่เช้า พอมาถึงเชียงรายก็ลุยทำงานไม่เคย
หยุดพัก แล้วนี่ยังจะมาอยู่เวรยามอีก ปรางค์คิดว่าคุณจะหักโหมมากจนเกินไปนะคะ”
“ปรางค์เป็นห่วงผมเหรอครับ”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เราไม่น่าพูดขึ้นมาเลยจริงๆดูสิ พอได้จังหวะทำมาเป็นชีกอก้อร่อก้อติกกับเราเชียว
โธ่เอ๊ย....อีตาด็อกเตอร์มากรัก”
ดร.นวลปรางค์แอบถอนหายใจเบาๆ พลางฝืนยิ้มให้เขา ก่อนตอบคำถามไปว่า
“ปรางค์เป็นห่วงทุกคนแหละค่ะจะไม่พิเศษกับใครคนใดคนหนึ่งหรอกเพราะทุกคนคือเจ้าหน้าที่ของสถาบัน ดังนั้นปรางค์จะแยกแยะไม่เอามาปนกับเรื่องงาน....”
“เอาล่ะ....เอาล่ะ ผมว่าพวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนจะดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ยังมีงานหนักต้องลุยกันต่ออีก แล้วส่วนเรื่องไปรับอุปกรณ์แล็บที่ส่งมาถึงพรุ่งนี้เช้าผมจะไปรับที่สนามบินเองครับ”
ดร.ปารมีรีบชิงพูดตัดบทโดยเร็ว เพราะถ้าขืนโปรดให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ เห็นทีคืนนี้เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน ดร.นวลปรางค์แอบค้อนให้เขาไปวงเล็กๆ อย่างน่ารัก เพราะดูเหมือน
ว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกลึกๆ ที่อยู่ในใจของเธออย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานสัก
เพียงใดก็ตาม
ตอนที่ 3
บรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทในยามรัตติกาล มันช่างเงียบสงบวิเวกวังเวงน่ากลัวชวน
ขนหัวลุกยิ่งนัก สักพักพลันได้ยินเสียงลมหนาวพัดดังหวีดหวิวอื้ออึงแล้วผ่านเข้ามาโลมไล้
สัมผัสผิวกายแผ่วเบาจนทำให้สองสาวที่นั่งอยู่ตรงห้องโถงของบ้านพักรู้สึกหนาวเหน็บเย็น
สะท้านขึ้นมาจับใจกอปรกับได้ยินเสียงนกป่าบางชนิดที่ออกหากินกลางคืน ต่างแข่งกัน
ร้องลั่นไปทั่วป่าดังแว่วมาแต่ไกลเป็นระยะๆมันกลับยิ่งทำให้สองสาวเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความ
หวาดกลัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ปรางค์....ปรางค์....ทำไม....ทำไมอากาศมันถึงหนาวเย็นยะเยือกขนาดนี้นะ มัน....
มันเหมือนพวกเรานั่งอยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์เลยนะเนี่ย”
เพียงขวัญกล่าวด้วยอาการปากคอสั่นสะท้านใบหน้าซีดเผือดเหมือนไร้สีเลือด
“อาจเป็นเพราะช่วงนี้เข้าฤดูหนาว อากาศทางภาคเหนือคงหนาวเย็นประมาณนี้กระมัง”
ดร.นวลปรางค์ตอบเสียงเรียบ
“แต่....แต่ฉันว่ามัน....มันหนาวเกิ๊นนนน....”
เพียงขวัญกล่าวต่อด้วยเสียงสูง
“ฉันว่าอากาศหนาว....หนาวแบบนี้สิดี ทำงานจะได้ไม่ร้อน”
“แต่ถ้ามันหนาวมากเกินไป ร่างกายของฉันคงทนความหนาวไม่ไหวแน่ๆถ้าเธอไม่เชื่อ
ก็ลองดูมือทั้งสองข้างของฉันสิ มันแห้งเหี่ยวและซีดเหมือนซากศพเลย”
เพียงขวัญกล่าวจบพร้อมยื่นมือทั้งสองข้างให้เพื่อนสนิทร่วมองค์การเดียวกันดู และสิ่งที่ปรากฏ
ต่อหน้าดร.นวลปรางค์ มันเป็นมือที่แห้งเหี่ยวและซีดเหมือนซากศพจริงๆ
“ทำไม....ทำไมมือทั้งสองข้างของเพียงขวัญถึงเป็นอย่างนั้น มิหนำซ้ำที่ข้อมือข้างขวายัง
สวมกำไลหยกด้วย แปลก....แปลกประหลาดจริงๆ”
ดร.นวลปรางค์บ่นพึมพำด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่มองเห็นเธอเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองหน้า
เพียงขวัญที่นั่งอยู่ข้างกาย แต่ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้มันกลับไม่ใช่เพียงขวัญ
“อ้าว!....เก้าจั๊วะ เธอเองเหรอแล้วนี่เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะเพื่อน”
ใบหน้าของคนถูกทักทายนิ่งๆ เรียบเฉยสายตาที่มองมาเย็นชาเหมือนไร้ความรู้สึกจนแลดูน่ากลัว
คนถูกทักทายเป็นเก้าจั๊วะพยายามฝืนยิ้มให้ ก่อนตอบเสียงเยือกเย็นว่า
“ฉันไม่ใช่เก้าจั๊วะ”
“อ้าว!....จะไม่ใช่ได้ยังไง เธออย่ามาพูดล้อเล่นกับฉันแบบนี้สิจ๊ะเพื่อน”
สายตาที่จ้องเขม็งบ่งบอกถึงอารมณ์โกรธเคือง และไร้รอยยิ้มจากที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าอัน
ขาวซีดเหมือนราวหยวกกล้วย
“ไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะอีกไม่นานเกินรอ ความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผยในไม่ช้านี้”
“เธอพูดเรื่องอะไรของเธอ ตอนนี้ฉันงงไปหมดแล้ว”
ดร.นวลปรางค์ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยในคำกล่าว
18
“เธอไม่ต้องงงหรอก ขออย่างเดียวเธอต้องเชื่อฉัน....เธอต้องเชื่อฉัน....ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า....”
คนถูกทักทายเป็นเก้าจั๊วะแผดเสียงร้องออกมาดังลั่นกึกก้องกังวานจนน่ากลัวชวนขนหัวลุก
เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แข่งกับเสียงลมพายุที่พัดกรรโชกมาอย่างแรงและรวดเร็วพาให้เรือน
ยอดต้นไม้ใหญ่โอนเอนไปมาแทบจะขุดรากถอนโคน กิ่งไม้และใบไม้ร่วงปลิวกระจัดกระจาย
เกลื่อนกราดระเนระนาดเต็มพื้นดิน
“เก้าจั๊วะ....เก้าจั๊วะ....เธอหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้....ฉันกลัว....ฉันกลัว”
“ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า....เธอต้องเชื่อฉัน....เธอต้องเชื่อฉัน....ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า....”
“ปรางค์....ปรางค์....เธอเป็นอะไร”
เพียงขวัญเขย่าตัวเพื่อนรักอย่างแรงเพื่อให้รู้สึกตัว เพราะเห็นอาการนอนละเมอและกรีดร้อง
เสียงดังโวยวายลั่นห้องพัก เพียงขวัญกุมมือเพื่อนรักที่เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อใสๆ ไหลซึม
ออกมาเหมือนโดนสาดน้ำเนื้อตัวยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเพียงขวัญบีบกระชับมือนุ่ม
เพื่อนรักแน่นขึ้นเป็นการปลอบโยน พลางเอ่ยเรียกชื่อเบาๆ ว่า
“ปรางค์....ปรางค์จ๋า....เธอปลอดภัยแล้วจ้ะ”
ดร.นวลปรางค์เริ่มรู้สึกตัว แล้วพยายามปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ จนสามารถมองเห็นใบหน้าขาวใสเรียวงามของเพียงขวัญลอยอยู่ตรงหน้า เธอยิ้มละไมให้ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เพียงขวัญ....เพียงขวัญ....ฉัน....ฉันฝันร้าย”
“ใจเย็นๆ ปรางค์ มันเป็นแค่ความฝัน มันไม่ใช่ความจริงจ้ะ”
ดร.นวลปรางค์กวาดสายตามองไปทั่วห้องพัก เหมือนพยายามทบทวนความทรงจำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นความฝันหรือความจริงเพียงขวัญช่วยพยุงร่างอันอิดโรยของเพื่อนรักให้ลุกขึ้นนั่ง
พร้อมส่งแก้วน้ำให้พลางกล่าวว่า
“ดื่มน้ำให้สบายใจก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยๆ เล่าให้ฟังละกันนะจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์พยักหน้าหงึกๆรับคำ เธอดื่มน้ำจนเกือบหมดแก้วด้วยความกระหายใบหน้ารูปงาม
เริ่มมีสีเลือดฝาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนสังเกตได้ และอีกสักพักเสียงเคาะประตูห้องพักดังรัวติดกัน
แล้วตามด้วยเสียงเรียกที่หน้าประตูห้องพัก
“ก๊อก....ก๊อก....ก๊อก....ก๊อก....”
“ปรางค์....ปรางค์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เสียงพี่ด็อกเตอร์ปารมีนี่”
ดร.นวลปรางค์เผลอตัวเอ่ยชื่อคนเคาะประตูด้วยอาการดีใจสุดขีดความสุขและความสบายใจ
แสดงออกมาบนใบหน้ารูปงามที่แดงระเรื่อและเปื้อนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด เพียงขวัญสบตาเพื่อนรัก
พลางแอบคิดในใจว่า
“จริงๆ แล้วเค้าทั้งสองคนยังมีใจรักกันอยู่อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะด้วยเหตุผลอะไร
บางอย่างที่ไม่อาจจะทราบได้ ทำให้เค้าทั้งสองต้องห่างเหินและเกือบเลิกรากัน แต่เค้าทั้งสอง
19
ยังคบกันในฐานะเพื่อนร่วมงานด้วยดีมาโดยตลอด และถึงแม้ว่าปรางค์กับเราจะไม่มีความลับต่อกันก็ตามแต่เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆปรางค์ก็ไม่เคยเล่าให้เราฟังแต่อย่างใด”
เพียงขวัญเดินไปเปิดประตูห้องพัก พลางกล่าวเชื้อเชิญผู้มาเยือน
“เชิญค่ะพี่ด็อกเตอร์ปารมี”
ดร.ปารมีรีบสาวเท้าตรงไปหาดร.นวลปรางค์ที่นั่งอยู่บนเตียงนอนเขาทอดสายตามองอดีตหวานใจ
ด้วยความรู้สึกห่วงใยและห่วงหาอาทรอย่างไม่รู้ตัว เขาทรุดตัวนั่งลงข้างกายพลางว่า
“ปรางค์เป็นอะไรครับ ผมได้ยินเสียงร้องของปรางค์ดังออกมาจากห้องพัก”
ดร.นวลปรางค์สบตาอดีตชายคนรักแววตาที่สื่อออกมาบ่งบอกถึงความรู้สึกอ้างว้างและว้าเหว่เดียวดายยิ่งนัก แต่เธอต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เพราะยังมีภารกิจพิเศษที่สำคัญคอยอยู่เธอส่งยิ้มหวานไปให้เขาก่อนว่า
“เออ....ปรางค์....ปรางค์ฝันร้ายค่ะ”
“ฝันร้ายจะกลายเป็นดีครับ”
ดร.ปารมีกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง เขาพยายามจะกุมมือนุ่มของอดีตหวานใจอยู่หลายครั้ง
แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงหลีกหนีไม่ให้สัมผัสทุกครั้งเช่นกัน
“ปรางค์....ปรางค์ครับ”
ดร.นวลปรางค์สบสายตาเขาที่จ้องมองด้วยแววตาเว้าวอนขอความเห็นใจแม้นว่าวันเวลาจะ
ผันผ่านมาเนิ่นนานสักเพียงใด เขาก็ยังปรารถนาดีและมีความรักอันบริสุทธิ์ใจมอบให้กับเธอ
อย่างเปี่ยมล้น
“แต่เอาเถอะ....ถึงอย่างไรผมก็จะรอรอคอยจนถึงวันนั้นแม้จะยาวนานเท่าไหร่ก็ตาม”
ดร.ปารมีแอบคิดในใจอย่างมีความหวัง
“ปรางค์อยากดื่มน้ำค่ะ”
เธอรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมของเขาที่พยายามทำซ้ำแล้วซ้ำเหล่าเพียงขวัญรีบยื่น
แก้วน้ำให้พลางกล่าวว่า
“นี่จ้ะปรางค์”
“ขอบใจมากจ้ะเพียงขวัญ”
ดร.นวลปรางค์รับแก้วน้ำพร้อมดื่มจนหมดแก้วเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อผ่อนคลายความ
กดดันที่เกิดขึ้นพลางสบสายตากับดร.ปารมีและเพียงขวัญที่ต่างกำลังจ้องมองมาอย่างเขม็ง
“เอาล่ะ ทีนี้เธอจะเล่าความฝันให้ฟังได้แล้วหรือยังจ๊ะ”
เพียงขวัญทวงถาม
“อืม....คือ....คือฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอกับฉันกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องโถง
บ้านพักหลังนี้แหละ เธอบ่นว่าทำไมอากาศมันถึงหนาวเย็นยะเยือกเหมือนนั่งอยู่บนยอดเขา
เอเวอเรสต์ จนมือทั้งสองข้างของเธอแห้งเหี่ยวและซีดเหมือนซากศพ จากนั้นเธอก็ยื่นมือ
ทั้งสองข้างมาให้ฉันดู แล้วก็เป็นความจริงตามที่เธอบอก มันเป็นมือที่แห้งเหี่ยวและซีดเหมือน
20
ซากศพจริงๆแต่ฉันก็ต้องมาสะดุดตาหยุดอยู่กับสิ่งหนึ่งที่ข้อมือข้างขวาของเธอ....”
ดร.นวลปรางค์หยุดเล่าจนทำให้คนฟังเกิดอาการใจร้อนอยากฟังเรื่องราวของความฝันต่อให้จบ
เพียงขวัญรีบร้องทักขึ้นว่า
“ข้อมือข้างขวาของฉันมีอะไร”
เธอดื่มน้ำแก้กระหายอีกครั้งก่อนเล่าต่อว่า
“ข้อมือข้างขวาของเธอสวมกำไลหยกสีเขียวมรกตงดงามมาก แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แปลก
ประหลาดใจยิ่งกว่ากำไลหยกเสียอีก....นั่นก็คือ....”
“นั่นก็คืออะไรจ๊ะปรางค์”
เพียงขวัญคะยั้นคะยอถามต่อด้วยความสนใจใคร่รู้
“พอ....พอฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองหน้าเธอ แต่กลับไม่ใช่เป็นหน้าเธอ”
“อ้าว!....ถ้าไม่ใช่เป็นหน้าฉัน แล้วจะเป็นหน้าใครล่ะ”
ดร.นวลปรางค์หยุดเล่า เพื่อพยายามทบทวนความทรงจำที่พึ่งผ่านมาเกี่ยวกับความฝันที่เกิดขึ้น
เมื่อตอนใกล้รุ่งสาง เธอสบตาเพื่อนรักก่อนเฉลยว่า
“เป็น....เป็นหน้าเก้าจั๊วะ”
“หา!....เป็นหน้าเก้าจั๊วะ”
ดร.ปารมีและเพียงขวัญอุทานเรียกชื่อพร้อมกันด้วยความตกใจ
“ใช่แล้วจ้ะ....เป็นหน้าเก้าจั๊วะ แต่เธอกลับปฏิเสธว่าไม่ใช่เก้าจั๊วะ”
“อ้าว!....คุณพระคุณเจ้า ฉันงงไปหมดแล้ว”
เพียงขวัญอุทานอีกครั้ง พร้อมทำสีหน้าฉงนสงสัยในคำบอกเล่าของเพื่อนรัก
“มันไม่ใช่เธอคนเดียวที่งงหรอกนะ ตัวฉันเองก็งงเหมือนกัน และที่สำคัญเธอยังบอกฉัน
ด้วยว่าอีกไม่นานเกินรอความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผยในไม่ช้านี้”
“ความจริงเรื่องอะไรครับ”
ดร.ปารมีเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยเช่นกัน
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอดีปรางค์ตกใจสะดุ้งตื่นเสียก่อน เพราะกลัวเสียงหัวเราะของ
เพียงขวัญที่ดังก้องกังวานชวนขนลุกขนพอง”
“ฉันเนี่ยนะหัวเราะเสียงดังก้องกังวานชวนขนลุกขนพองอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
เพียงขวัญทวนคำพูดเพื่อนรัก พลางแอบค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้จนทำให้ทั้งดร.ปารมีและ
ดร.นวลปรางค์หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่
“อืม....ใช่สิฉันขอบอกว่าน่ากลัวม๊ากกกก….”
ดร.นวลปรางค์กล่าวเสียงสูง พร้อมอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“เอาเถอะครับ ผมว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี แต่ผมมีเรื่องอยากจะบอกให้ปรางค์ทราบ
อยู่หนึ่งเรื่องครับ”
21
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“ห้องพักของผมถูกรื้อค้นครับ”
ดร.ปารมีกล่าวเสียงจริงจังจนเกือบเครียด
“หา!....จริงเหรอ แล้วมีอะไรหายหรือเปล่าคะ”
ดร.นวลปรางค์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ไม่มีอะไรหายครับ เพราะโชคดีที่ผมเอาติดตัวไปสนามบินด้วย”
เขากล่าวจบ พลางสบตาอดีตหวานใจเหมือนรู้ความในใจซึ่งกันและกัน
“อ้าว....แล้วตอนห้องพักถูกรื้อค้นพี่ด็อกเตอร์ปารมีไม่ได้อยู่ที่ห้องพักเหรอคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คือ....เมื่อคืนประมาณตีสามกว่าๆ ผมเดินทางออกจากรีสอร์ทเพื่อจะไปรับอุปกรณ์
แล็บที่สนามบินครับ”
“อ๋อ....เหรอคะ แล้วทำไมพี่ด็อกเตอร์ปารมีถึงต้องออกเดินทางตั้งแต่ตีสามด้วยล่ะ”
เพียงขวัญยังเอ่ยถามต่อ
“เพราะระยะทางจากรีสอร์ทไปสนามบินมันไกลเกือบๆ จะสองร้อยกิโลเมตรผมจึงจำเป็นต้องออกเดินทางตั้งแต่ตีสาม และอีกอย่างผมถือโอกาสแวะไปเยี่ยมด็อกเตอร์ชัยยศ
กับน้องๆ ที่อยู่เวรยามกันด้วยครับ”
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศเป็นยังไงบ้างคะ”
เพียงขวัญเผลอถามถึงชายที่ตนแอบหมายปองทำให้ทั้งดร.ปารมีและดร.นวลปรางค์ประสานสายตาเพราะมีความคิดที่ตรงกัน
“ทุกคนโอ.เค. แต่ด็อกเตอร์ชัยยศคงเหนื่อยมากหน่อย เพราะเค้าแทบไม่ได้พักผ่อนเลย”
ดร.ปารมีกล่าวแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน แต่เพียงขวัญแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
อย่างปลาบปลื้มใจก่อนกล่าวยกยอปอปั้นอย่างออกนอกหน้าว่า
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศเป็นคนรักงาน และอยากทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีค่ะ”
“ทุกคนล่ะจ้ะที่รักงาน และอยากทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเช่นกัน”
ดร.นวลปรางค์พูดเหน็บแนมเบาๆ เพราะรู้สึกว่าเพื่อนรักจะหลงใหลได้ปลื้มจนลืมตัว เธอสบตา
อดีตชายคนรักเหมือนรู้ความในใจซึ่งกันและกัน เพราะรู้สึกว่าเพียงขวัญต้องมีใจแอบชื่นชอบ
และปลื้มดร.ชัยยศอย่างแน่นอนเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเสียใหม่ ด้วยคำถามที่สงสัยในใจว่า
“แล้วทำไมพี่ด็อกเตอร์ปารมีถึงกลับมาที่รีสอร์ทอีกละคะ”
“อ๋อ....ผมขับรถยนต์ไปได้สักระยะหนึ่ง เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าลืมเอกสารสำคัญที่จะต้องนำไป
แสดงกับเจ้าหน้าที่เพื่อรับอุปกรณ์แล็บที่สนามบินผมจึงต้องขับรถยนต์วกกลับมาที่รีสอร์ท
อีกครั้ง แต่พอมาถึงห้องพักพบว่า ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงานถูกรื้อค้นจนข้าวของกระจุยกระจายและแฟ้มเอกสารต่างๆเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งห้องพักจนสักพักก็ได้ยินเสียงร้องของปรางค์
ดังออกมาจากห้องพักพอดีครับ”
22
ดร.นวลปรางค์สบตาเขาพร้อมพยักหน้ารับรู้
“ถือว่ายังโชคดีที่ไม่มีอะไรหายไป เออ....เอาอย่างงี้เดี๋ยวปรางค์ขอไปรับอุปกรณ์แล็บ
ที่สนามบินด้วยคนนะคะ”
เธอร้องขอด้วยเสียงออดอ้อน จนเขาต้องรีบเอ่ยปากอนุญาตด้วยความเต็มใจ
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งก็ดีเหมือนกันที่ปรางค์มีโอกาสได้เข้าในเมือง เพราะถ้ามี
อะไรขาดเหลือจะได้ซื้อมาทีเดียวเลยครับ”
“เพียงขวัญจะไปด้วยกันมั้ยจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวชวนเชิญเพื่อนรัก
“ไม่ไปดีกว่า ปรางค์ไปกับพี่ด็อกเตอร์ปารมีเถอะจ้ะ”
“ถ้างั้นฉันฝากเธอดูแลงานทางนี้ด้วยนะ แล้วบ่ายๆ เจอกัน”
“อืม....ได้จ้ะ”
เพียงขวัญรีบกล่าวปฏิเสธพัลวันด้วยเหตุผลไม่อยากออกไปไหนไกลจากพื้นที่แห่งนี้ เพราะแท้
จริงแล้วเธอต้องการใกล้ชิดและคอยดูแลดร.ชัยยศที่แอบชื่นชอบและปลาบปลื้มมาตั้งแต่แรกเห็น
ยิ่งตอนนี้เขาตรากตรำทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน กลับทำให้เธอเกิดความสงสารเขาขึ้นมา
จับใจถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีทีท่าตอบสนองความปรารถนาดี และยินยอมตกลงปลงใจในความรัก
ที่เธอมอบให้อย่างเหลือล้นแต่ถึงอย่างไรเธอก็จะเฝ้ารอคอยในความหวังด้วยใจรักแท้อันบริสุทธิ์
ต่อไป
หลังจากดร.ปารมีและดร.นวลปรางค์ออกเดินทางไปสนามบินได้สักพักใหญ่ ดร.ชัยยศก็ปรากฏกายเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่อยู่ข้างบ้านพักของฝ่ายชายเขาเดินข้ามถนนมายังบ้านพัก
ของฝ่ายหญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านพักของฝ่ายชาย
“อ้าว....คุณด็อกเตอร์ชัยยศจะไปไหนแต่เช้าคะ”
เขาหยุดก้าวเดินเมื่อเพียงขวัญร้องทักทาย แล้วยืนอยู่ตรงหน้าบ้านพักของฝ่ายหญิง ถึงแม้ว่า
ในใจจะนึกรังเกียจเดียดฉันท์เพียงขวัญก็ตามที แต่เมื่อมาคิดทบทวนกลับไปกลับมาอยู่หลาย
รอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
“เราควรใช้เพียงขวัญให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ อย่างน้อยเป็นสะพานเชื่อมโยงให้ปรางค์
ไว้เนื้อเชื่อใจและยอมทำตามที่เพียงขวัญแนะนำเพราะเธอทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนม
ชิดเชื้อกันและไม่มีความลับปิดบังต่อกันแต่อย่างใดซึ่งเมื่อปรางค์เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ
และยอมเชื่อฟังเพียงขวัญในระดับหนึ่งการทำงานของเราที่วางแผนเอาไว้จะได้สะดวกราบรื่น
และสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังนั้นเราจะต้องเสแสร้งแกล้งทำดีกับเพียงขวัญ เพื่อให้เธอตายใจ
และยอมทำตามคำสั่งของเราทุกอย่างเอาวะ....เป็นไงเป็นกัน เราต้องทำใจเออออห่อหมกกับ
เพียงขวัญเพื่ออนาคตที่สดใสอันใกล้นี้ เราจะต้องรวย เราจะต้องมีเงินทองมากมายมหาศาล
เราจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากได้ แม้กระทั่งตัวของปรางค์เอง....ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า....”
23
เขาสบตาเธอด้วยสายตาและรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม จนคนถูกมองรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งกาย
ร่างบางของเพียงขวัญอ่อนระทวยแทบยืนไม่ติดพื้นใจดวงน้อยเต้นแรงกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ
ทำให้เลือดสาวสูบฉีดรุนแรงจนใบหน้าสวยหวานแดงระเรื่อเหมือนลูกตำลึงสุกยิ่งเขาก้าวขึ้น
บันไดด้วยมาดแมนสมชายชาตรีแล้วปราดเข้ามาใกล้จนเกือบประชิดตัว กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึก
หวาดหวั่นระคนหวั่นไหวในใจ และเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก เขาส่งยิ้มหวานให้เธอ
อีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ผมพึ่งออกเวรยามมาครับ พอดีเห็นด็อกเตอร์ปารมีกับปรางค์ขับรถยนต์ออกไปด้วยกัน
ผมล่ะเสียดายจริงๆมัวแต่ชักช้าอืดอาดยืดยาดไปหน่อยเลยไม่ทันฝากปรางค์ซื้อของใช้ส่วนตัว
เพิ่มเติมให้ครับ”
“อ๋อ....ค่ะเค้าสองคนออกไปรับอุปกรณ์แล็บที่สนามบินด้วยกันและปรางค์บอกว่าจะกลับ
เข้ามาอีกทีก็คงจะเป็นตอนประมาณบ่ายๆค่ะ”
เพียงขวัญกล่าวพร้อมสบตาเขาด้วยสายตาแห่งมิตรภาพ และยิ้มให้เบาๆ อย่างเขินอายจนทำให้
ดร.ชัยยศรู้สึกว่าจะทำอะไรก็จงรีบทำโดยเร็วที่สุด เพราะสังเกตดูปฏิกิริยาท่าทางที่แสดงออกมาของเพียงขวัญแล้ว เธอมีใจให้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน ดร.ชัยยศฉีกยิ้มหวานฉ่ำให้
พร้อมเดินเข้ามาประชิดร่างบางของเพียงขวัญทันที จนเธอตกใจสะดุ้งสุดตัวโดยไม่ทันตั้งหลัก
เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะบุ่มบ่ามถึงเนื้อถึงตัวได้รวดเร็วเพียงนี้เธอจึงตัดสินใจร้องถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ไปว่า
“คุณ....คุณด็อกเตอร์ชัยยศมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือผม....ผมมีเรื่องอยากจะขอโทษคุณเพียงขวัญครับ”
สายตาที่เขาจ้องมองใบหน้าสวยหวานของเพียงขวัญ มันเหมือนราชสีห์ที่รอจังหวะจะตะปบเหยื่อ
ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่เพียงขวัญกลับไม่หวาดหวั่นและเกรงกลัวแต่อย่างใด เธอชำเลืองตามอง
สายตาของเขาด้วยอาการขวยเขินพลางเอ่ยถามอย่างอ่อนหวานว่า
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศจะขอโทษเพียงขวัญเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาครับบางครั้งผมอาจจะแสดงกิริยาที่ไม่สุภาพ หรือบางครั้งอาจจะ
เฉยเมยไม่สนใจใยดีกับความรู้สึกดีๆ ที่คุณเพียงขวัญหยิบยื่นให้กับผมมาโดยตลอด ผมนี่....
นิสัยแย่มากเลยจริงๆที่ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของคนอื่นสักเท่าไหร่โดยไม่ได้นึกถึงความรัก
ความหวังดีและความปรารถนาดีจนทำให้คนๆ นั้น ที่คอยดูแลเข้าใจใส่เกิดความรู้สึกเศร้า
เสียใจผิดหวังและเจ็บปวดแทบทุกครั้ง ซึ่งคนๆ นั้นก็คือคุณเพียงขวัญ”
เขาหยุดพูดพลางกุมมือนิ่มของเธอไว้แน่น เหมือนพยายามถ่ายทอดความรู้สึกถึงความพิศวาสเสน่หาที่แอบซ่อนเร้นอยู่ในใจ เขาสบตาเธออีกครั้งด้วยแววตาเว้าวอนระคนเศร้าหมองจนน่า
สงสารยิ่งนัก ก่อนกล่าวต่อเสียงทุ้มพร่าด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายว่า
“ดังนั้น....ผม....ผมอยากจะขอโทษคุณเพียงขวัญ และผมหวังว่าคุณเพียงขวัญคงให้อภัยและยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
24
เขาพูดเรื่อยเปื่อยท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้น มันไม่ได้ออกมาจากความบริสุทธิ์ใจและความจริงใจแม้แต่น้อย ส่วนเพียงขวัญกลับไม่คิดเช่นนั้นเพราะที่ผ่าน
มาเธอทุ่มเทหัวใจให้เขาไปจนหมดสิ้นทั้งดวงเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ดร.ชัยยศไม่รอช้ารีบโอบกอดร่างบางของเธอไว้แนบแน่น พลางแอบหอมแก้มนุ่มๆ ไปฟอดใหญ่ จนคนถูกขโมยหอมแก้ม
หลับตาปี๋ด้วยความขวยเขิน
“บ้าจริงเชียว....คุณด็อกเตอร์ชัยยศนี่”
“ทำไมล่ะ บ้าก็บ้ารักนะครับ”
เขายังหยอดคำหวานจนน้ำตาลยังอาย
“เออ....พอดีผมมีเรื่องลับอยากจะบอกคุณเพียงขวัญอยู่หนึ่งเรื่องครับ”
เพียงขวัญขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยในคำกล่าว
“เรื่องลับอะไรเหรอคะ”
“ถ้าคุณเพียงขวัญอยากรู้จริงๆไปที่ห้องพักของผมดีกว่า เพราะเรื่องลับจะพูดแถวนี้
ไม่ได้เด็ดขาด”
“มันจะดีเหรอคะ ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันในห้องพักสองต่อสอง เพียงขวัญคิดว่าจะไม่เหมาะสมนะคะ”
“จะมีใครที่ไหนกันล่ะ มีแค่ผมกับคุณเพียงขวัญเท่านั้น”
น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยวาจาออกมามันช่างนุ่มนวลชวนลุ่มหลงเสียยิ่งนัก เขาโอบกอดร่างบาง
ของเธอกระชับแนบแน่นมากยิ่งขึ้น จนทำให้หญิงสาวใจอ่อนระทวย และเอ่ยปากรับคำเสียง
อ่อนหวานอย่างสั่นระรัวว่า
“ไปก็ได้ค่ะ”
จากนั้นคนทั้งสองประคองกอดเดินไปยังห้องพักของฝ่ายชายที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านพักของฝ่ายหญิงทันที
ตอนที่ 4
ณ ไซต์งานหลุมศพของคนสมัยโบราณอากาศเช้าวันนี้ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่งเย็นสบาย
ทีมงานชุดสำรวจยังคงช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่รอบๆ โลงศพหินแกรนิตตั้งแต่แปดโมงเช้าโดยมี
สมศักดิ์หัวหน้าทีมงานสำรวจคอยกำกับดูแลและควบคุมการทำงานจนเวลาล่วงเลยผ่านไป
เกือบสองชั่วโมง ดร.ชัยยศกับเพียงขวัญก็ได้เดินทางมาถึงไซต์งานด้วยกันสายตาของดร.ชัยยศ
ที่มองไปยังสมศักดิ์ มันเป็นประกายที่แฝงความนัยบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ผู้ชายแค่มองตากันนิดเดียวก็เข้าใจความหมายกันแล้ว ยิ่งเห็นพฤติกรรมของคนทั้งสองเดินคลอเคลียกันมาอย่าง
เปิดเผยเช่นนี้ สมศักดิ์ก็พอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เขารีบเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสองพร้อม
ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณด็อกเตอร์ชัยยศ....สวัสดีครับคุณเพียงขวัญ”
“อืม....”
ดร.ชัยยศรับคำด้วยเสียงในลำคอขณะเดินตรงรี่เข้าไปหาเขาเช่นกัน
“สวัสดีค่ะคุณสมศักดิ์”
เพียงขวัญรับไหว้เขา แล้วกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งสมศักดิ์รู้สึกว่าเช้าวันนี้เจ้านาย
คนสวยจะดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนผิดสังเกต
“เช้านี้เป็นยังไงบ้างหัวหน้าสมศักดิ์”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามเหมือนห่วงงานเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้สามารถมองเห็นโลงศพหินแกรนิตเกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วครับ ผมคิดว่า
วันนี้น่าจะเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตได้แล้วกระมังครับ”
สมศักดิ์รีบรายงานความคืบหน้า
“ดีมากเลยค่ะ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องรอการตัดสินใจของด็อกเตอร์นวลปรางค์อีกที
เพียงขวัญคิดว่าเอาไว้ช่วงบ่ายค่อยว่ากันใหม่ หลังจากพี่ด็อกเตอร์ปารมีกับด็อกเตอร์นวลปรางค์
กลับมาจากรับอุปกรณ์แล็บที่สนามบินนะคะ”
เพียงขวัญกล่าวแสดงความคิดเห็น และทุกคนก็เห็นดีเห็นงามคล้อยตามความคิดเห็นของเธอ
ที่นำเสนอมาหลังจากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย
เพียงขวัญทำงานไปอมยิ้มไปอย่างมีความสุข เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาเมื่อเช้านี้ยิ่งทำให้
หัวใจพองโตอิ่มเอมไปด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน มันหอมกรุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก และรสสวาทที่เขาหยิบยื่นให้จนสุขสมอย่างเหลือล้นเพราะเธอไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าการหมั่นทำความดีกับผู้ชายในฝันที่แอบหลงใหลได้ปลื้ม
มานานแสนนาน สักวันความดีก็สามารถพิชิตหัวใจของเขาได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งความคิดเช่นนี้
มันเป็นความคิดของคนคิดบวกที่มองโลกในแง่ดี แบบโลกสวยสดใสไร้มารยาท แต่แท้จริงแล้ว
มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจเพียงขวัญมาตลอดช่วงเช้านี้ก็คือ
เรื่องลับที่ดร.ชัยยศเล่าให้ฟัง มันเป็นเรื่องลับเกี่ยวกับโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์
26
สายภาคเหนือ ที่ดร.นวลปรางค์เป็นหัวหน้าทีมงานโครงการ
“โครงการสำรวจนี้มีอะไรบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ครับที่รักซึ่งจริงๆ แล้วผมเอง
ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะเรื่องนี้มันเป็นความลับของสถาบัน แต่ตอนนี้ผมกับคุณเพียงขวัญ
ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ผมจึงตัดสินใจอยากจะเล่าเรื่องลับให้ฟัง เผื่อว่าหากผมเกิดเป็นอะไรไป
คุณเพียงขวัญจะได้รับรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังโครงการสำรวจอันชั่วร้ายนี้ครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวใส่ร้ายอย่างหน้าตาเฉย โดยมิได้คำนึงถึงความถูกต้องผิดชอบชั่วดี เขาส่งยิ้มหวาน
ให้แล้วแอบหอมแก้มคนนอนข้างกายฟอดใหญ่ จนเธอรู้สึกเขินอายหน้าแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก
พลางร้องอุทานตกใจว่า
“อุ๊ย!....เรื่องมันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ใช่ครับ มันเป็นโครงการสำรวจอันชั่วร้ายและรุนแรงมากจริงๆ”
เขากล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนคนนอนอยู่ข้างกายเริ่มเกิดความรู้สึกวิตกกังวลใจมาก
ยิ่งขึ้น เธอสบตาเขาเหมือนพยายามค้นหาข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง จึงตัดสินใจเอ่ยถามไปว่า
“โครงการสำรวจนี้มันมีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่หรือคะ”
“ถ้าผมจะเล่าเรื่องลับให้คุณเพียงขวัญฟัง แล้วคุณเพียงขวัญจะเชื่อผมมั้ยครับ”
เธอสบตาเขาอีกครั้ง ก่อนพยักหน้าหงึกๆ รับคำแทนคำตอบ เขาแอบยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเริ่ม
เล่าว่า
“เมื่อปีที่แล้วก่อนจะมีโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือนี้ขึ้นมานั้น
ท่านศาสตราจารย์วิโรจน์ธรรมกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ ซึ่งเป็นคุณพ่อของปรางค์ ท่านจ่ายเงินลงทุนให้ด็อกเตอร์ปารมีกับปรางค์ทำโครงการ
เทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ ซึ่งเป็นการคิดค้นน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์ที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโครงการนี้เรียกว่า คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back to life) ครับ”
“ว้าว! จริงเหรอคะ”
เพียงขวัญร้องอุทานเสียงหลง ด้วยอาการตกใจเมื่อได้ยินเรื่องเล่าที่เป็นความลับของสถาบัน
เพราะตั้งแต่ทำงานอยู่ที่สถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติแห่งนี้ ก็พึ่งจะได้ยิน
โครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือที่เรียกว่า คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back to life)
ซึ่งเป็นเรื่องลับของสถาบันจากปากของชายคนรัก
“มันเป็นไปได้ยังไงกัน สถาบันมีโครงการลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ด้วยเหรอ
แล้วทำไมปรางค์ถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้กับเรารับรู้บ้างเลยล่ะ เพราะที่ผ่านมาปรางค์เคยพูดกับเรา
เสมอว่า เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันเราสองคนจะไม่มีความลับต่อกัน ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรางค์
เราจะรับรู้หมดทุกเรื่อง แต่....แต่ทำไมเรื่องนี้ปรางค์ถึงไม่ยอมบอกให้เรารับรู้ หรือว่า....หรือว่ามันจะเป็นโครงการลับอันชั่วร้ายจริงๆตามที่คุณด็อกเตอร์ชัยยศเล่าให้ฟัง และประเด็นสำคัญ
ก็คือทั้งสองโครงการมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้ยังไงเพราะฉะนั้นมันจะต้องมีอะไรแอบแฝง
27
ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอนปรางค์นะปรางค์ทำไมต้องปิดปังกันด้วย แต่เอาเถอะถ้ามีโอกาสอยู่ตามลำพังสองต่อสอง เราต้องสอบถามหาความจริงให้ได้”
เพียงขวัญขบคิดทบทวนคำบอกเล่าจากปากของชายคนรักอยู่นานสองนานด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
แม้พยายามข่มอารมณ์โกรธเคืองแต่ก็อดโกรธเคืองไม่ได้อยู่ดีเพราะหลงเชื่อลมปากจนไร้ความเชื่อมั่นและความศรัทธาในตัวเพื่อนรักเรื่องลับขนาดนี้ดร.ชัยยศคงไม่โกหกเป็นแน่
เธอคิดสับสนวุ่นวายในใจอยู่พักใหญ่ และแล้วก็ต้องมาสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ
“เพียงขวัญ....เพียงขวัญ....”
“อ้าว....ปรางค์กลับมาแล้วเหรอ แล้วไหนบอกว่าจะกลับมาตอนบ่ายๆ”
เพียงขวัญรีบร้องถามแก้เก้อ
“อ๋อ....พอรับอุปกรณ์แล็บเสร็จปุ๊บก็รีบกลับมาทันทีเลยจ้ะเพราะฉันเป็นห่วงงานทางนี้
เออ....แล้วงานคืบหน้าไปถึงไหนกันแล้วล่ะจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวพร้อมหน้าตายิ้มแย้ม
“หัวหน้าสมศักดิ์รายงานว่า วันนี้สามารถมองเห็นโลงศพหินแกรนิตได้เกือบครบร้อย
เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ และทุกคนรอการตัดสินใจจากเธอว่าวันนี้จะเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตกันเลย
หรือเปล่า”
“อืม....เอาอย่างงี้ เดี๋ยวหลังจากพักกลางวันกันแล้ว รบกวนเธอบอกหัวหน้าสมศักดิ์
ช่วยจัดเตรียมธูปให้ด้วยเพื่อพวกเราทุกคนจะได้ทำพิธีขอขมาร่างของอาจารย์ใหญ่พร้อมๆ กัน
แล้วหลังจากนั้นก็จะได้เปิดฝาโลงศพหินแกรนิตสักที”
“โอ.เค. เอาตามนี้ละกันนะจ๊ะ”
เพียงขวัญตอบรับคำสั่งการของหัวหน้าทีมงานโครงการด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่นแจ่มใส แต่ในส่วน
ลึกของจิตใจกลับเหมือนมีภูเขาไฟกำลังคุกรุ่นแอบซ่อนอยู่ ซึ่งพร้อมที่จะปะทุระเบิดขึ้นมาเสมอ
เธอเกิดความรู้สึกขัดแย้งกับตัวเอง ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในใจจนแทบจะเป็นบ้าเสียให้ได้
แต่ก็ต้องพยายามข่มอารมณ์เก็บความรู้สึกไว้จนลึกสุดใจ
หลังจากทีมงานทั้งชุดสำรวจและชุดนักวิชาการรับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้นแล้ว
ทุกคนได้มายืนอยู่ตรงบริเวณหลุมศพของคนสมัยโบราณ โดยสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังโลงศพ
หินแกรนิตที่อยู่เบื้องหน้าดร.นวลปรางค์แอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างเหลือล้นเธอภาคภูมิใจที่สามารถทำภารกิจสำคัญครั้งนี้ และสนองเจตนารมณ์ของเพื่อนรัก
จนใกล้เป็นผลสำเร็จ
“เก้าจั๊วะเพื่อนรัก ความฝันของเธอใกล้สำเร็จแล้วนะจ๊ะ”
ทุกคนจุดธูปคนละดอกเพื่อขอขมาร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยังมีร่างหลงเหลืออยู่หรือไม่
สักพักกลิ่นและควันของธูปเริ่มฟุ้งกระจายคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นจนมองเห็นคล้ายหมอกขาวบางๆ
ลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ ดร.นวลปรางค์ยิ้มกว้างอย่างสบายใจก่อนพนมมือขึ้นพร้อมด้วยธูปหนึ่งดอกพลางตั้งจิตอธิษฐานเบาๆ ว่า
28
“วันนี้ปรางค์ขออนุญาตเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตของอาจารย์ใหญ่นะคะ และถ้าหาก
ปรางค์พร้อมด้วยทีมงานทุกคนได้กระทำล่วงเกินด้วยกาย วาจา หรือใจ ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้
ตั้งใจก็ดี ปรางค์พร้อมด้วยทีมงานทุกคนขอให้อาจารย์ใหญ่ได้โปรดอโหสิกรรม ทั้งในชาตินี้
และชาติหน้าด้วยเถิดค่ะ”
เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆพลันบังเกิดสายลมเย็นพัดวูบเข้ามายังบริเวณหลุมศพของคนสมัย
โบราณจนทุกคนรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมาจับใจโดยไม่ทันตั้งตัวแต่ตัวเธอเองกลับรู้สึกได้
มากกว่านั้น เมื่อสายลมเย็นๆ พัดมาสัมผัสโสตประสาทหู เป็นเสมือนดั่งน้ำเสียงของเก้าจั๊วะเพื่อนรักกล่าวคำขอบใจดังมาเป็นระยะๆจนเธอต้องแอบอมยิ้มพลางสบสายตากับดร.ปารมี
เหมือนรู้สึกถึงความนัยซึ่งกันและกัน แต่แล้วคนทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อมีเสียงหนึ่ง
ดังขึ้นว่า
“เอาล่ะ....ผมว่ารีบเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตกันดีกว่าเพราะถ้าหากขืนล่าช้าไปมากกว่านี้
เดี๋ยวมืดค่ำจะทำงานลำบากนะครับ”
ดร.ชัยยศพูดเสียงแข็งด้วยท่าทางจริงจัง แต่ความรู้สึกลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาเกิดอาการ
หึงหวงเพื่อนสาวคนสวยเสียมากกว่าดร.นวลปรางค์รู้ดีกว่าพฤติกรรมของเขาที่แสดงออกมานั้น
กระทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ เธอสบสายตากับเพียงขวัญที่แอบจ้องมอง
มาด้วยแววตาแปลกๆ คล้ายๆ มีอะไรอยู่ในใจ เธอส่งยิ้มหวานให้เพื่อนรักอย่างมิตรไมตรี
ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าอย่างงั้นหัวหน้าสมศักดิ์ลงมือเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตได้เลยค่ะ”
และเมื่อหัวหน้าทีมงานโครงการสั่งการให้ปฏิบัติการเปิดฝาโลงศพหินแกรนิตได้เจ้าหน้าที่ทีมงาน
สำรวจต่างมายืนล้อมโลงศพหินแกรนิตที่ตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้าทุกคนจากนั้นช่วยกันเลื่อนฝา
โลงศพหินแกรนิตอันหนักอึ้งออกจากโลงศพหินแกรนิตอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวังความตื่นเต้น
เร้าใจบังเกิดขึ้นเมื่อสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในโลงศพหินแกรนิตชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
และเพียงชั่วอึดใจเดียวภาพที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนก็คือ ร่างของอาจารย์ใหญ่ถูกห่อหุ้มด้วย
ผ้าดิบสีฟ้าครามเข้มจนถึงคล้ำทั้งร่างนอนแช่อยู่ในของเหลวสีน้ำตาลเข้มลักษณะคล้ายน้ำยา
รักษาศพ
“โอ้มายก๊อด! ทำไมมันถึงอเมซิ่งอย่างนี้”
ดร.ชัยยศร้องอุทานเสียงหลงเมื่อมองเห็นร่างของอาจารย์ใหญ่ชัดเจนเต็มตัว ทุกคนต่างมองมา
เป็นจุดเดียวด้วยความทึ่งเพราะภารกิจสำคัญของโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ เกี่ยวกับการขุดค้นพบโลงศพหินแกรนิตครั้งนี้นับว่าได้ประสบความสำเร็จไปแล้ว
ส่วนหนึ่งและเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในประเทศไทยดร.ปารมีสบสายตากับ
อดีตหวานใจพลางว่า
“หายเหนื่อยมั้ยครับปรางค์”
29
ดร.นวลปรางค์พยักหน้ารับพร้อมยิ้มหวานให้จากนั้นคนทั้งสองเดินตรงเข้าไปหาร่างของ
อาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำขึ้นมาจากโลงศพหินแกรนิต สายตาคู่งามของเธอจ้องมองไปทั่วร่างของ
อาจารย์ใหญ่แทบไม่กะพริบตา เธอภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่สามารถสนองเจตนารมณ์ของ
เพื่อนรักได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือจะต้องตรวจสอบพิสูจน์ร่างของอาจารย์ใหญ่ว่า
มีเชื้อสายมาจากชนชาติจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
แต่สำหรับประเทศไทยจะเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า ชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วซึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะหรือไม่อย่างไร
“ปรางค์ขออนุญาตนำร่างของอาจารย์ใหญ่ไปเก็บรักษาไว้ที่ห้องแล็บนะคะ”
เธอกล่าวจบ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทีมงานสำรวจรีบนำร่างของอาจารย์ใหญ่ไปเก็บรักษา
ยังห้องแล็บที่ถูกสร้างขึ้นภายในรีสอร์ทเพื่อรอการตรวจสอบพิสูจน์หาอายุร่างของอาจารย์ใหญ่
ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของดร.ปารมี ส่วนการตรวจสอบพิสูจน์หาอายุของโลงศพหินแกรนิตจะเป็น
หน้าที่หลักของดร.ชัยยศ ดร.นวลปรางค์ และเพียงขวัญ
“ของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ภายในโลงศพหินแกรนิต ผมขออนุญาตนำไปวิเคราะห์
หาองค์ประกอบทางเคมี ร่วมกับเส้นใยจากผ้าดิบที่ใช้ห่อหุ้มร่างของอาจารย์ใหญ่นะครับ”
“โอ.เค. ดีมากเลยค่ะ ปรางค์อยากรู้เหมือนกันว่าของเหลวสีน้ำตาลเข้มมีส่วนประกอบ
อะไรบ้าง”
ดร.นวลปรางค์เอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้
“ของเหลวสีน้ำตาลเข้มมันคือน้ำอะไรเหรอคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามบ้าง
“ถ้าจะให้สันนิษฐานคร่าวๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นน้ำยารักษาศพครับ”
ดร.ปารมีตอบน้ำเสียงจริงจัง
““ว้าว! น้ำยารักษาศพเหรอคะ”
เพียงขวัญทวนคำด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ครับ เพราะจากเคสตัวอย่างที่เคยศึกษาจะมีอยู่สองแห่งที่มีหลักฐานยืนยันได้คือ
เคสตัวอย่างแรกจะเป็นมัมมี่ประเทศอียิปต์เควี 62 (KV62) เป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน
(ฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 โดยมีพระชนม์อยู่ระหว่าง 1,341 - 1,323 ปีก่อนคริสต์ศักราช
และเสวยราชย์รวม 9 ปี ระหว่าง 1,332 - 1,323 ปีก่อนคริสต์ศักราช)หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา
Theban เรียกว่า หุบเขากษัตริย์(The Valleyof the Kings) เมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ตั้งอยู่
บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์โดยถูกสร้างขึ้นในสมัยราชอาณาจักรใหม่ (The New Kingdom)
หรือ สมัยจักรวรรดิ (The Empire)ระหว่าง1,580 - 1,090 ปีก่อนคริสต์ศักราช(ราชวงศ์ที่ 18
ถึงราชวงศ์ที่ 20) ซึ่งถูกขุดค้นพบเมื่อวันที่4 พฤศจิกายนพุทธศักราช 2465(คริสต์ศักราช1922)โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อเฮาเวิร์ดคาร์เตอร์(Howard Carter)
30
ทั้งนี้พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนจะผ่านกระบวนการทำมัมมี่ เพื่อเก็บรักษาสภาพ
ของพระศพไม่ให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา ด้วยการพอกเกลือไว้ประมาณ 40 วันจนแห้งดี
แล้วเคลือบร่างด้วยน้ำยารักษาศพเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนพันด้วยผ้าลินินสีขาวและนำไป
บรรจุลงในโลง ซึ่งผลการวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำยารักษาศพจากเส้นใยผ้าลินิน
ที่ยังหลงเหลืออยู่จะพบน้ำมันงา (Sesame oil) สารสกัดคล้ายขี้ผึ้งเรียกว่า บอล-แซ็ม (Balsam)
ที่ได้จากต้นหรือรากของต้นธูปฤาษี (Cat-tail) ยางไม้มีรสหวานเป็นน้ำตาลตามธรรมชาติที่สกัด
จากต้นอาเคเชีย (Acacia) และยางสน(Turpentine) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด เพราะมี
คุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อยผุพังครับ”
“น้ำยารักษาศพของอียิปต์โบราณนี่สุดยอดยาวิเศษเลยนะครับ สามารถรักษาสภาพ
พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนให้คงเดิมเหมือนในอดีตเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึงว่าสิ
เค้าจึงจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ และอเมซิ่ง
....อเมซิ่งจริงๆ”
ดร.ชัยยศกล่าวชื่นชมเสียงดัง
“แล้วเคสตัวอย่างที่สองคือที่ไหนเหรอคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“เคสตัวอย่างที่สองจะเป็นมัมมี่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนครับมัมมี่ซินจุย (Xin Zhui)
หรือ เลดี้ได(Lady Dai) หญิงสาวชาวจีนซึ่งเป็นภรรยาของหลี่ซาง อัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉางซา
(รัฐฉางซาอยู่ในช่วง 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึงคริสต์ศักราช8)ขึ้นตรงต่อราชสำนักฮั่นตะวันตก
สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกมัมมี่ซินจุยถูกค้นพบในสุสานของครอบครัวอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐ
ฉางซา (สุสานหลี่ซาง) บริเวณหม่าหวังตุย หรือ เนินหม่าหวัง ทางทิศตะวันออกชานเมืองฉางซา
มณฑลหูหนานเมื่อต้นปีพุทธศักราช 2515(คริสต์ศักราช1972)สันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตราวๆ
186 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะมีอายุ 50 ปี ด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ร่างกายไม่แห้ง
และไม่เน่าเปื่อยย่อยสลายไปตามธรรมชาติ แต่กลับยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผิวหนังชุ่มชื้นและมี
ความยืดหยุ่นอย่างมาก ส่วนข้อต่อข้อพับต่างๆสามารถยืดงอและขยับเขยื้อนได้ เหมือนพึ่งจะ
เสียชีวิตเมื่อไม่นานนี้เองแม้ว่าจะผ่านมา2,000 ปีแล้วก็ตามครับ”
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า มัมมี่ซินจุยก็ต้องผ่านกระบวนการทำเป็นมัมมี่เหมือนกับ
มัมมี่พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนสิครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวแสดงความคิดเห็นด้วยความสนใจ
“ถูกต้องแล้วครับ ทั้งสองมัมมี่เกิดขึ้นด้วยพื้นฐานจากการมีความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณ
หลังความตายเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันไปตามอารยธรรมของแต่ละกลุ่มชนชาติโดยขึ้นอยู่
กับปัจจัยสำคัญได้แก่ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ อันประกอบไปด้วยลักษณะที่ตั้ง สภาพ
ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ สัตว์ป่า และความอุดมสมบูรณ์ของดินข้อต่อมา
คือความก้าวหน้าในการคิดค้นเทคโนโลยี เช่นระบบชลประทาน การสร้างพีระมิดในอียิปต์
31
กำแพงเมืองจีนปราสาทหินนครวัด อีกทั้งยังรวมไปถึงวิวัฒนาการทางการแพทย์ เช่น การคิดค้น
น้ำยารักษาศพโดยการทำเป็นมัมมี่ และสุดท้ายจะเป็นความคิดในการจัดระเบียบสังคมเพื่อให้
อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียน หรือข่มเหงรังแกซึ่งกันและกัน เช่น ภาษาเพื่อใช้สื่อสาร
ศาสนา ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และกฎหมายเป็นต้นดังนั้นกระบวนการทำมัมมี่โดย
ใช้วิธีอาบหรือแช่ด้วยน้ำยารักษาศพ เพื่อเก็บรักษาสภาพของทั้งสองมัมมี่จึงไม่เหมือนกันครับ”
“แล้วไม่เหมือนกันยังไงเหรอคะ”
เพียงขวัญตั้งข้อสงสัยตามชายคนรัก
“ผลการวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำยารักษาศพจากมัมมี่พระศพของฟาโรห์
ตุตันคาเมนส่วนใหญ่จะพบยางสน (Turpentine) เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะมีคุณสมบัติฆ่า
เชื้อแบคทีเรีย ป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อยผุพัง ตามที่ผมได้อธิบายไปบ้างแล้ว ส่วนผลการวิเคราะห์
หาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำยารักษาศพจากมัมมี่ซินจุย ซึ่งลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาล
มีส่วนผสมของปรอท และกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคและจุลินทรีย์แต่ยังไม่ทราบใน
รายละเอียดที่ชัดเจนว่าของเหลวสีน้ำตาลนั้นทำมาจากอะไร ซึ่งอาจเป็นความลับก็เป็นได้ครับนอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยผุพังก็คือ ความลึกของหลุมศพประมาณ 20 เมตร
โดยจัดแบ่งเป็นหลุมศพจริงๆ 16 เมตร ส่วนนอกนั้นจะเป็นหน้าดิน 4.5 เมตร และอีกสาเหตุหนึ่ง
รู้สึกว่าจะเป็นการใช้ดินเหนียวสีขาวหนากว่า 1 เมตร มาห่อหุ้มโลงศพจนอากาศและเชื้อแบคทีเรีย
ไม่สามารถถ่ายเทเข้าออกได้และยังใส่ถ่านไม้เพื่อดูดซับความชื้นอีกด้วยครับ”
“โอ.เค. นะคะหลังจากพวกเราทุกคนทราบถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กันแล้ว
ต่อไปก็จะได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ด้วยความเข้าใจตรงกัน และทุกวันพวกเราจะมีดินเนอร์มิตติ้ง
เพื่อสรุปแล้วรายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้อำนวยการทราบความคืบหน้าค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวสรุป
“รายงานความคืบหน้าผลการปฏิบัติงานให้ผู้อำนวยการทราบทุกวัน ผมว่าเป็นความคิด
ที่ดีมากเลยครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวคล้อยตามอย่างเห็นดีเห็นงาม แต่น้ำเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ในใจเขาชำเลืองตามองทุกคนในวงสนทนาด้วยสายตามีเลศนัยพลางอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก พร้อมแอบ
บ่นพึมพำว่า
“ความสำเร็จของเราใกล้เป็นจริงแล้ว....ฮ่า....ฮ่า....ฮ่า....”
ตอนที่ 5
ร่างของอาจารย์ใหญ่นอนหงายเหยียดยาวอยู่บนโต๊ะพร้อมด้วยเครื่องมือแพทย์ครบครัน
แม้ว่าอากาศภายในห้องแล็บจะหนาวเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำราวๆ 4 องศาเซลเซียส เพื่อต้องการเก็บรักษาร่างของอาจารย์ใหญ่ให้อยู่ในสภาพคงเดิมมากที่สุดแต่นัยน์ตา
คู่งามของดร.นวลปรางค์สังเกตเห็นเม็ดเหงื่อใสๆ ผุดซึมขึ้นเต็มใบหน้าหล่อเหลาคมคายของดร.ปารมีอย่างชัดเจน ความตั้งใจและความมุ่งมั่นปฏิบัติงานในหน้าที่ของเขา ทำให้เธอเริ่มมี
ความหวังกลับมาอีกครั้ง
“พี่ด็อกเตอร์ปารมีไม่สบายหรือเปล่าคะ ดูสิ....เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าเชียว”
ดร.นวลปรางค์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ผมสบายดีครับ แต่ว่าครั้งนี้ผมคงเอ็กซ์ไซท์มากเกินไปสักหน่อยเพราะตั้งแต่ทำงานมา
ตลอดทั้งชีวิตผมยังไม่เคยเห็นร่างของอาจารย์ใหญ่ที่ไหนสมบูรณ์ได้ถึงเพียงนี้”
ดร.ปารมีกล่าวพลางปาดเหงื่อไคลที่ไหลย้อยลงมาบนหน้าผากทั้งที่อากาศเวลานี้หนาวเหน็บ
เย็นยะเยือกจับใจเสียเหลือเกิน
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าการค้นพบร่างของอาจารย์ใหญ่ครั้งนี้ ถือว่าพวกเราได้ประสบผล
สำเร็จอย่างมากเลยสิคะ นี่ถ้าสถาบันแถลงข่าวออกไปเมื่อไหร่ สงสัยคงเป็นข่าวใหญ่และโด่งดัง
เป็นพลุแตกไปทั่วโลกแน่ๆ”
เพียงขวัญกล่าวไปพลางพร้อมบันทึกวีดีโอไปพลาง สำหรับเก็บเป็นข้อมูลเพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
ต่อสาธารณชนต่อไปในอนาคต
“ต่อจากนี้ไปพี่ด็อกเตอร์ปารมีคงเหนื่อยจนไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นแน่เพราะการตรวจสอบ
พิสูจน์ร่างของอาจารย์ใหญ่อาจใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งเป็นงานละเอียดอ่อนที่ต้องใช้ความรอบคอบและความถูกต้องแม่นยำอย่างมากที่สุด แต่เพียงขวัญคิดว่ามันก็สุดจะคุ้มอยู่นะคะ”
น้ำเสียงของเพียงขวัญที่กล่าวออกมาเหมือนมีเลศนัย มันแอบแฝงซ่อนเร้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะหลังจากรับฟังเรื่องลับที่ดร.ชัยยศเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์
สายภาคเหนือ ที่ดร.นวลปรางค์เป็นหัวหน้าทีมงานโครงการจึงเป็นเหตุให้ความคิดของเธอเริ่ม
เปลี่ยนไป
“ผมคงไม่โด่งดังเป็นพลุแตกถึงขนาดนั้นหรอก เพราะถึงยังไงการตรวจสอบพิสูจน์ร่าง
ของอาจารย์ใหญ่ก็เป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องทำอยู่แล้วและไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดผมก็
ยินดีเหนื่อยเพื่อสถาบันและเพื่อ....”
ดร.ปารมีหยุดนิ่งเงียบไปไม่ยอมพูดอะไรต่อ เพราะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีบุคคลที่สามร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเขาโปรยยิ้มให้ทุกคนก่อนตัดสินใจกล่าวต่อไปว่า
“ผมหมายถึงเพื่อสถาบันของพวกเรา และเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์
แห่งใหม่ของประเทศไทยครับ”
“เพียงขวัญก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ”
33
เพียงขวัญกล่าวเออออเห็นดีเห็นงามด้วย พร้อมทำการบันทึกวีดีโอต่อเมื่อเห็นดร.ปารมีเริ่ม
ลงมือเปิดผ้าดิบสีฟ้าครามเข้มจนถึงคล้ำ ในส่วนที่เป็นใบหน้าของอาจารย์ใหญ่ออกมาอย่างแผ่วเบาช้าๆด้วยความระมัดระวังและทะนุถนอมแล้วสิ่งที่เฝ้ารอคอยด้วยใจจดใจจ่อก็ปรากฏ
ต่อหน้าทุกคนเมื่อใบหน้าของอาจารย์ใหญ่ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคน
รู้สึกตื่นเต้นระคนปนกับอาการตกตะลึงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะดร.นวลปรางค์อุทานออกมา
ด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ เพราะใบหน้าของอาจารย์ใหญ่คลับคล้ายคลับคลาเพื่อนสนิท
คนจีนที่ล่วงลับไปแล้ว
“เก้าจั๊วะ!”
เธออยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจ จนใบหน้างามแดงก่ำ ริมฝีปากบางสั่นระริกพร้อมน้ำตา
คลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ และดีใจที่สามารถทำความฝันของเพื่อนรักได้เป็นผลสำเร็จ
“อาจารย์ใหญ่ต้องเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะแน่ๆ”
ดร.ปารมีแอบลอบมองอดีตคนรักด้วยหัวใจพองโตอย่างปลาบปลื้มเป็นที่สุด พลางส่งยิ้มกว้าง
ให้ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“หายเหนื่อยแล้วนะครับปรางค์”
ดร.นวลปรางค์พยักหน้าหงึกหงักพร้อมส่งยิ้มหวานให้เขาทั้งๆ ที่น้ำตายังซึมเต็มสองข้างแต่มัน
เป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มและอิ่มเอมใจเหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จครั้งนี้สามารถตอบโจทย์
ของเก้าจั๊วะเพื่อนรักได้อย่างดีเยี่ยมและถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงทุกประการ ทั้งนี้ยัง
มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เชื่อมั่นว่าอาจารย์ใหญ่ต้องเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะก็คือกำไลหยกสีเขียว
มรกตที่สวมอยู่ตรงข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งเป็นข้อมูลตรงกันกับความฝันของเธอ
อย่างถูกต้องแม่นยำ
“กำไลหยก....กำไลหยกสีเขียวมรกตที่สวมอยู่ตรงข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่ ทำไม
....ทำไมมันช่างเหมือนอย่างกับในความฝันของเราเลยมันเป็นไปได้ยังไงกัน”
เธอพึมพำออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“เพียงขวัญ....เธอยังจำความฝันที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย”
“อืม....จำได้สิฉันจำได้แม่นยำเลยมันเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก....แปลกประหลาด
อย่างเหลือเชื่อจริงๆ”
เพียงขวัญกล่าวคล้อยตาม พร้อมบันทึกวีดีโอขณะที่ดร.ปารมีจับข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่
เพื่อต้องการเห็นกำไลหยกสีเขียวมรกตชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นกำไลหยกของแท้นะครับ เพราะดูเนื้อหยกแล้วมีความละเอียดประสาน
กันจนแน่น และยังโปร่งใสแวววาวเหมือนแก้วแม้ว่าจะแช่อยู่ในน้ำยารักษาศพมานานแล้วก็ตาม
แต่ยังไม่เสื่อมสภาพไปกาลเวลาเลยสักนิด”
ดร.ปารมีอธิบายตามหลักวิชาการ
34
“เออ....ใช่จริงๆ ด้วย ปรางค์ดูสิ กำไลหยกดูยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย นี่ขนาดแช่อยู่ในน้ำยา
รักษาศพมานานแสนนาน แต่สีของกำไลหยกยังเขียวมรกตแวววาวสดใสเหมือนแก้วจริงๆ
แถมไม่มีตำหนิอีกต่างหาก”
เพียงขวัญกล่าวเสริมทำเสียงราบเรียบให้เป็นปกติมากที่สุด เพราะแท้จริงแล้วใจเต้นโครมคราม
ยิ่งกว่ากลองเพลเสียอีกเมื่อรู้ว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ เป็นสิ่งสุดแสน
พิเศษน่ามหัศจรรย์ใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่เคยพบเห็นมา และยังไม่เคยขุดค้นพบในประเทศไทย
มาก่อนด้วยซ้ำเธอจึงรีบระงับสติสัมปชัญญะโดยพยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งแล้วเสแสร้ง
แกล้งชวนเชิญให้ดูกำไลหยกดังกล่าวอย่างน้อยเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกลึกๆ ที่มีอยู่ในใจ
และพยายามบันทึกวีดีโอเพื่อจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดให้มากที่สุดตามที่ชายคนรักแอบลักลอบ
นัดพบ และสั่งการก่อนเข้ามาปฏิบัติงานในห้องแล็บนี้
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าอาจารย์ใหญ่จะต้องเป็นผู้มีฐานะ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนสำคัญมากๆ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ก่อนชำเลืองตามองข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่
ด้วยความตื่นตาตื่นใจ และเกิดความมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากเพราะหลังจากได้คิดทบทวน
อยู่หลายๆครั้ง เธอจึงสรุปได้ว่าเก้าจั๊วะคงมาเข้าฝันแล้วแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นกำไลหยกสีเขียว
มรกต เพื่อบ่งบอกอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะก็เป็นได้ เพราะกำไลหยก
สีเขียวมรกตที่สวมอยู่ตรงข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่ มันตรงกันกับความฝันของเธออย่างถูกต้องและแม่นยำทุกประการ
“อืม....ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ตามที่ปรางค์พูดมานะครับ”
ดร.ปารมีกล่าวเสริมคล้อยตามอดีตคนรัก แต่ในใจกลับคิดเลยเถิดไปมากกว่านั้นในทำนองชู้สาว
เพราะขณะต้องสัมผัสเนื้อหนังมังสาส่วนที่เป็นข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่เขาเกิดความรู้สึก
แปลกประหลาดยังไงชอบกลทำไมผิวหนังอ่อนนุ่มเหมือนคนยังมีชีวิตอยู่ แม้จะซีดเซียวไปบ้างตามกาลเวลาแต่ลักษณะสภาพภายนอกดูแล้วเหมือนคนนอนหลับปกติเท่านั้นเองและจากที่ได้
สำรวจในเบื้องต้นอย่างคร่าวๆ พบว่าผิวหนัง เส้นผม ขนตา รวมไปถึงใบหน้ายังอยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อยผุพังแต่อย่างใดซึ่งเมื่อคำนวณอายุแล้วน่าจะราวๆ 20ปีขึ้นไป ส่วนความสูง
ก็ประมาณ 1.69 เมตรเห็นจะได้ เขาจ้องมองร่างของอาจารย์ใหญ่ที่นอนหงายเหยียดยาวตรงหน้า
ด้วยความพิศวงงงงวย พร้อมเกิดความรู้สึกพิสมัยถึงขนาดคลั่งไคล้อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ให้จงได้ยิ่งอยู่ใกล้ชิดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้อารมณ์พิศวาสทวีความต้องการ และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะบ้าคลั่งเสียให้ได้ กิเลสตัณหาราคะบังเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวตอนนี้ความคิดของเขาเกิดความสับสนวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูกมีคำถามมากมายเกิดขึ้นจนแทบ
หัวจะระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา....ทำไม....ทำไมเราถึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดได้ถึงขนาดนี้
โอ้พระเจ้า!....ทำไมเราถึงอยากอยู่ใกล้ๆ อยากโอบกอด อยากสัมผัสลูบไล้เรือนร่างบางอรชร
อันขาวนวลเนียนของอาจารย์ใหญ่เหลือเกิน หรือ....หรือว่าเราหลงเสน่ห์อาจารย์ใหญ่เข้าไป
35
อย่างเต็มเป้าเสียแล้วสงสัยงานนี้เราจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่ออาจารย์ใหญ่ หรือว่าเพื่อ
ตัวเรา เออ....ใช่ คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)โครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์
เราจะต้องชุบชีวิตอาจารย์ใหญ่ให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์ที่เราคิดค้น
ขึ้นมากับมือและคราวนี้นับเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะได้ทดลองน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่
หลังจากที่ได้คิดค้นน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สำเร็จครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วแต่สามารถฟื้นคืนชีพอยู่ได้
แค่เพียง24 ชั่วโมงเท่านั้น....อาจารย์ใหญ่ครับ....ผมจะช่วยชุบชีวิตให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ด้วยน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า CBL2 เพราะสูตรใหม่นี้เป็นการปรับปรุงตัวยา
เพื่อยืดเวลาให้มีชีวิตยาวนานมากขึ้นกว่าครั้งแรกเกือบ 168 ชั่วโมง ดังนั้นผมขออนุญาตทดลอง
ฉีด CBL2ให้กับอาจารย์ใหญ่เพื่อต้องการให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง....อาจารย์ใหญ่อดใจรอผม
ก่อนนะครับเพราะอีกไม่ช้าเราสองคนจะได้พบกันในเร็ววันนี้”
ดร.ปารมีตกอยู่ในภวังค์เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน
“พี่ด็อกเตอร์ปารมี....พี่ด็อกเตอร์ปารมีคะ”
ดร.นวลปรางค์เรียกชื่อเขาอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว
“ครับ....ครับ....ปรางค์เรียกผมเหรอครับ”
“พี่ด็อกเตอร์ปารมีเป็นอะไรไปคะ ปรางค์เรียกอยู่เป็นนานสองนาน”
เพียงขวัญว่าพลางจ้องมองเขาด้วยความฉงนสงสัย
“อ๋อ....ครับ....ผมคงคิดอะไรเพลินไปหน่อย พอดียังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำยารักษาศพ
ที่ใช้แช่ร่างของอาจารย์ใหญ่ว่า จะมีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนน้ำยารักษาศพจากมัมมี่พระศพ
ของฟาโรห์ตุตันคาเมน และน้ำยารักษาศพจากมัมมี่ซินจุยหรือไม่ อย่างไร ทำไมร่างของอาจารย์
ใหญ่ถึงไม่แห้งและไม่เน่าเปื่อยผุพังย่อยสลายเหมือนกับมัมมี่ทั้งสองดังนั้นถ้าผลการวิเคราะห์
หาองค์ประกอบทางเคมีของน้ำยารักษาศพออกมาเมื่อไหร่ผมจะรีบรายงานผลให้ทราบทันที
เลยนะครับ”
ดร.ปารมีกล่าวแก้เก้อด้วยการอ้างถึงน้ำยารักษาศพที่ใช้แช่ร่างของอาจารย์ใหญ่แต่เขายังจ้อง
มองร่างของอาจารย์ใหญ่ด้วยสายตาเย้ายวนชวนหลงใหล พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเป็นสุข
โดยลืมไปว่ามีใครแอบมองดูพฤติกรรมของเขาอยู่เงียบๆดร.นวลปรางค์เห็นแววตาที่เต็มไปด้วย
ความเจ้าเล่ห์ฉายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อของเขา ทำให้เธอเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ จึงแอบค้อน
ให้เขาเบาๆ ก่อนตั้งคำถามด้วยความใคร่รู้ว่า
“แล้วกำไลหยกที่ข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่มีส่วนช่วยไม่ให้ร่างแห้งและไม่เน่าเปื่อย
ผุพังย่อยสลายด้วยหรือเปล่าคะ”
“ข้อนี้ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกันครับ เพราะจริงๆ แล้วตัวหยกเองมีคุณสมบัติเย็น
ชนชาติจีนจะมีความผูกพันกับหยกมาตั้งแต่เกิดจนตาย โดยมีความเชื่อว่าเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์
ที่นำความสิริมงคล ความโชคดีมีชัย ความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย รวมไปถึงทำให้มีอายุยืนยาว
36
จึงนิยมใช้เพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นการสร้างความสมดุลอุณหภูมิในร่างกายไม่ให้ร้อนหรือ
เย็นจนเกินไป โดยเด็กผู้หญิงจะทำเป็นกำไลหยก ส่วนเด็กผู้ชายจะทำเป็นจี้พระหรือเครื่องใช้
ที่ทำจากหยก และเมื่อเสียชีวิตก็จะฝังหยกไปพร้อมกับศพด้วย เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าหยก
สามารถรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้ โดยแกะสลักเป็นรูปกลมแบนมีรูตรงกลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์
แทนสวรรค์เรียกว่า “ปิ (Pi)”จะนำมาวางไว้ด้านหลังศพ ส่วนบนท้องศพจะวางหยกรูปสี่เหลี่ยม
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนโลกเรียกว่า “จุง (Tsung)”เพื่อให้สวรรค์หนุนหลัง ดังตัวอย่างที่มีการขุด
ค้นพบฉลองพระองค์หยกของพระจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเมื่อ 2,000 ปีก่อน
ซึ่งข้อมูลนี้จะไปเชื่อมโยงกับเคสตัวอย่างที่สองที่เป็นมัมมี่ซินจุย (Xin Zhui)หรือ เลดี้ได(Lady Dai)ดังนั้นผมคิดว่าอาจารย์ใหญ่น่าจะเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะ ด้วยมีเชื้อสายมาจากชนชาติจีน
ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยสืบทอดอารยธรรม
จีนโบราณเกี่ยวกับการเก็บรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา ด้วยน้ำยารักษา
ศพและหยก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีพื้นฐานมาจากความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณหลังความตายครับ”
“โอ้โห!....สุดยอดจริงๆถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ทั้งน้ำยารักษาศพและหยกจึงเป็นสิ่ง
มหัศจรรย์สุดแสนพิเศษที่ชนชาติจีนคิดค้นขึ้น เพื่อนำมาใช้สำหรับเก็บรักษาสภาพศพไม่ให้
เน่าเปื่อยผุพัง เพราะฉะนั้นการคิดค้นน้ำยารักษาศพและหยกของชนชาติจีน ก็เป็นภูมิปัญญา
อันล้ำเลิศที่ไม่มีใครเหมือนแล้วก็ไม่เหมือนใครสิคะ”
เพียงขวัญกล่าวชื่นชมเสียงใสอย่างปกติด้วยการพยายามข่มความรู้สึกโกรธเกลียดและเก็บงำ
ความก้าวร้าวเอาไว้ในใจ
“ถูกต้องแล้วครับ ชนชาติจีนมีอารยธรรมเก่าแก่ยาวนานที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช หรือราว 5,000 ปีมาแล้วโดยใช้น้ำยารักษาศพสำหรับเก็บรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยผุพัง ซึ่งจะไปเหมือนกับอารยธรรมอียิปต์โบราณที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,150 ปี
ก่อนคริสต์ศักราชแม้ว่าทั้งสองอารยธรรมจะมีพื้นฐานมาจากความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณหลัง
ความตายเหมือนกันแต่อารยธรรมจีนโบราณจะแตกต่างกับอารยธรรมอียิปต์โบราณตรงมีการ
ใช้หยกเพิ่มขึ้นมาด้วยครับ”
“อืม....ถ้าเป็นข้อมูลเรื่องความเชื่อของชนชาติจีนเกี่ยวกับหยกเก้าจั๊วะเคยเล่าให้ปรางค์ฟังมาบ้างเหมือนกันค่ะชนชาติจีนส่วนใหญ่จะนับถือหยก(Jade)หรือ ยู่ ในภาษาจีนกลาง
หรือ เง็กในภาษาจีนแต้จิ๋ว โดยมีความเชื่อกันว่าเป็นเจ้าแห่งหินดั่งอัญมณีล้ำค่า และเป็น
สัญลักษณ์แห่งคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดก็นิยมนำหยกมาทำเป็นเครื่องประดับและเครื่องใช้ต่างๆ ตามความเชื่อ
ของแต่ละบุคคล เพื่อให้โชคดีและแคล้วคลาดปลอดภัยหลุดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายโดยจะสังเกต
สีของหยกว่ามีโชคหรือมีเคราะห์ ซึ่งถ้าหากหยกมีสีสันสวยสดใสหมายความว่าจะมีโชค แต่ถ้า
หากหยกมีสีหมองลงหรือมองเห็นรอยแตกร้าวชัดเจน หมายความว่าจะมีเคราะห์ค่ะ”
37
ดร.นวลปรางค์ถ่ายทอดข้อมูลอย่างละเอียดลออตามที่ได้รับมาจากเพื่อนรักเมื่อครั้งสมัยศึกษาปริญญาเอกจากคณะและสถาบันเดียวกัน
“แต่ปัจจุบันนี้ในทางอัญมณีศาสตร์ได้แบ่งหยกออกเป็น 2 ชนิดครับโดยชนิดแรกจะเป็น
เจไดต์(Jadeite) ซึ่งมีองค์ประกอบทางเคมีเป็นโซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกตมีค่าความแข็งตาม
สเกลของโมสเท่ากับ 6.5-7และมีความวาวตั้งแต่แบบแก้วจนถึงแบบน้ำมัน ส่วนสีจะมีหลากสี
เช่น เขียวเข้ม ม่วง น้ำตาลอ่อนน้ำตาลแดง เหลือง ขาว เทา และดำ เป็นต้น จัดว่าเป็นหยก
คุณภาพดีสำหรับชนิดที่สองจะเป็นเนฟไฟรต์(Nephrite) ซึ่งมีองค์ประกอบทางเคมีเป็นแคลเซียม
แมกนีเซียมซิลิเกต มีค่าความแข็งตามสเกลของโมสเท่ากับ6-6.5 และมีความวาวแบบแก้วถึง
น้ำมัน ส่วนสีจะจางกว่าเจไดต์ครับ”
ดร.ปารมีอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมพลางยิ้มอ่อนโยนให้กับอดีตหวานใจที่ยืนอยู่ข้างกาย แต่กลับ
ทำให้เธอเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมากะทันหันที่ถูกแย่งซีนไปอย่างหน้าตาเฉยจึงแกล้งส่งค้อนวงงาม
ให้เขาอย่างน่ารักเขาหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคออย่างชอบอกชอบใจ จนลืมไปว่ามีบุคคล
ที่สามแอบชำเลืองมองพฤติกรรมของคนทั้งสองด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยาที่กำลังเกิดขึ้นในใจ
เพียงขวัญยิ้มเจื่อนๆ ให้ก่อนอุทานร้องเสียงหลงปนติดตลกว่า
“ว้าว! สุดยอดไปเลย สงสัยงานนี้เพียงขวัญจะต้องไปหาหยกมาใส่บ้างแล้วล่ะค่ะ”
“แล้วอยากลืมหามาเผื่อปรางค์ด้วยนะครับ”
ดร.ปารมีหยอดคำพูดแสดงความห่วงใย
“แหม....ไม่ต้องเป็นห่วงปรางค์หรอกจ้ะคุณเพื่อนรักของเพียงขวัญจะต้องเป็นเพชรเม็ดงามๆหรือไม่ก็ต้องเป็นทองคำแท้เท่านั้นค่ะ”
เพียงขวัญพูดเสียงอ่อนแกมประชดนิดๆจนดร.นวลปรางค์รู้สึกได้ เธอแอบคิดในใจว่าทำไมหมู่นี้
เพียงขวัญมักมีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบนั่งเหม่อลอย แล้วแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวบ่อยๆ
แถมยังชอบทำตัวลับๆ ล่อๆอย่างน่าสงสัย และพูดจาอะไรออกมาไม่ค่อยจะเกรงอกเกรงใจ
เหมือนแต่ก่อน นับวันเริ่มแสดงออกถึงความก้าวร้าวและนิสัยใจคอเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เหมือนมีอะไรบางอย่างเก็บซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ในใจเธอพยายามสงบสติอารมณ์และทำใจให้
สงบนิ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเพชรหรือเป็นทองคำปรางค์ไม่สนใจเท่าไหร่หรอก แต่ตอนนี้
สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นน้ำยารักษาศพกับกำไลหยกสีเขียวมรกตที่สวมอยู่ตรงข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่ค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าว พลางค้อนให้อดีตชายคนรักที่แอบส่งสายตาหวานๆ มาให้เธอสบตากับเขา
อย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ก่อนกล่าวต่อด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงจริงจังว่า
“ดังนั้นจากข้อมูลทางอัญมณีศาสตร์แสดงว่า กำไลหยกสีเขียวมรกตที่สวมอยู่ตรงข้อมือ
ข้างขวาของอาจารย์ใหญ่น่าจะเป็นหยกชนิดเจไดต์(Jadeite) จึงพออนุมานได้อย่างคร่าวๆว่า
สภาพโดยรวมของเนื้อหยกยังสมบูรณ์ไม่แตกร้าวบุบสลายและไม่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
38
แต่อย่างใดส่วนสีหยกไม่หม่นหมองจางลงไปเลยสักนิด แต่ยังคงเขียวมรกตโปร่งใสแวววาว
เหมือนแก้วซึ่งตามความเชื่อของชนชาติจีนส่วนใหญ่จะนิยมหยกสีเขียวมากที่สุด เพราะสีของ
หยกจะเป็นสัญลักษณ์ของความสิริมงคล เพราะฉะนั้นกำไลหยกสีเขียวมรกตจะเป็นสัญลักษณ์
ของความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวยส่วนสีอื่นๆเช่นหยกสีขาวจะเป็นสัญลักษณ์ของความมีโชค
หยกสีม่วงจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุขสมบูรณ์ในชีวิตที่ดีพร้อม หยกสีอ่อนเหมือนเนื้อแก้ว
จะเป็นสัญลักษณ์ของจิตใจที่สงบสุขสำหรับความแข็งและความหนาแน่นของหยกถือเป็น
ลักษณะเด่นที่เปรียบเสมือนความฉลาดและความกล้าหาญ ส่วนความลื่นเป็นมันของผิวหยก
เปรียบเป็นความยุติธรรม แล้วสุดท้ายการให้ความรู้สึกนุ่มนวลถือเป็นเครื่องหมายของความ
กตัญญูจ้ะ”
“โอ้โห!....ข้อมูลเรื่องหยกที่ปรางค์อธิบายมาทั้งหมดสุดยอดมากเลยจ้ะนี่ถ้าหากใน
อนาคตคิดจะเปิดร้านขายหยก ปรางค์สามารถเปิดร้านขายหยกได้อย่างสบายเลยนะจ๊ะ”
คำพูดของเพียงขวัญช่างเหน็บแนมแกมประชดเสียเหลือเกินแล้วกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มบางๆ
เพื่อให้ดูเหมือนเป็นปกติ
“อืม....ไม่ล่ะ....ไม่เอาดีกว่า ฉันไม่ค่อยจะถนัดงานทางด้านการค้าการขายสักเท่าไหร่
ขายไปขายมาเดี๋ยวจะพากันเจ๊งเสียเปล่าๆ”
ดร.นวลปรางค์พูดด้วยเสียงแข็งกระด้าง
“รู้แล้วหน่า ฉันหยอกเธอเล่นเฉยๆ จ้ะ”
เพียงขวัญพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน โดยไม่ยอมสบตากับทุกคนในวงสนทนาดร.นวลปรางค์รู้สึกว่า
คำพูดคำจาของเพียงขวัญเหมือนหมาหยอกไก่ แต่เธอก็ยินยอมให้อภัยและไม่ติดใจเอาความใดๆจากนั้นเธอสบตากับอดีตชายคนรักก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า
“อันที่จริงพวกเราจะต้องขอบใจเก้าจั๊วะมากกว่านะ เพราะข้อมูลเรื่องหยกทั้งหมดทั้งมวลนี้
ปรางค์ก็ได้มาจากเก้าจั๊วะเล่าให้ฟังค่ะ”
ทั้งดร.ปารมีและเพียงขวัญต่างพยักหน้ารับรู้
“แต่ตอนนี้ปรางค์คิดว่าพวกเราหยุดพักกันก่อนดีกว่ามั้ยคะเพราะทุกคนเหน็ดเหนื่อย
มาทั้งวันแล้ว”
“หยุดพักก็ดีเหมือนกัน เพียงขวัญเริ่มหิวข้าวแล้วล่ะค่ะ”
“โอ.เค. ครับถ้าปรางค์กับเพียงขวัญอยากหยุดพักก็ออกไปก่อนก็ได้ ผมขออนุญาตเก็บ
รายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวผมจะตามออกไปครับ”
ดร.ปารมีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาของเขายังจดจ้องมองร่าง
ของอาจารย์ใหญ่อย่างไม่กะพริบด้วยแววตามีเลศนัยอยู่เป็นนานสองนานโดยทั้งสองสาวสวย
ที่ออกไปจากห้องแล็บไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ตอนที่ 6
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาหนักสลับเบาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ทำให้ทั่วรีสอร์ท
เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายระดับน้ำในลำห้วยข้างรีสอร์ทเริ่มเพิ่ม
ปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆสาเหตุเกิดจากกระแสน้ำป่าสีแดงขุ่นที่ไหลเชี่ยวกรากรุนแรงมาอย่าง
รวดเร็วแล้วค่อยๆ เอ่อล้นตลิ่งก่อนไหลทะลักเข้าท่วมบ้านพักภายในรีสอร์ทและเพียงชั่ว
อึดใจเดียวสภาพโดยรอบรีสอร์ทเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำป่าที่ท่วมท้นเหมือนทำนบแตกฝนยิ่งตก
ยิ่งทำให้อุณหภูมิลดลงฮวบฮาบจนรู้สึกหนาวสั่นสะท้านขึ้นมาถึงขั้วหัวใจ ทุกคนอยู่ในอาการ
ตื่นตระหนกตกใจและเริ่มหวาดกลัวไปตามๆ กัน เมื่อกลุ่มก้อนเมฆสีดำทะมึนยังส่งเสียง
ร้องคำรามดังมาแต่ไกลสลับกับแสงฟ้าแลบแปลบสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะๆท่ามกลาง
ความมืดหม่นขมุกขมัว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นพื้นน้ำเข้าแทนที่พื้นดินได้อย่างถนัดถนี่
ทั้งสองสาวสวยงงงายกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะเพียงขวัญอยู่ในอาการกลัว
สุดขีดเนื้อตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกตกน้ำ เมื่อเห็นน้ำป่ากำลังไหลบ่าข้ามถนนภายในรีสอร์ท
มุ่งตรงมายังบ้านพักของฝ่ายหญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านพักของฝ่ายชาย
“ปรางค์นี่มันเกิดอาเพศอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ฝนถึงตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้
ปรางค์....เธอดูโน่นสิน้ำกำลังไหลข้ามถนนจะเข้ามาถึงบ้านพักของพวกเราแล้ว”
เพียงขวัญพูดเสียงดังแข่งกับสายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดราวกับฟ้ารั่ว
ดร.นวลปรางค์มองตามเพื่อนรักกล่าวก่อนตอบคำถามด้วยใจระทึกหวั่นกลัวเช่นกัน
“ใจเย็นๆ ก่อนเพียงขวัญ เธอไม่ต้องกลัว เพราะน้ำป่ามาเร็วไปเร็ว”
“เธอจะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง เธอดูสิน้ำไหลเข้ามาแล้ว”
เพียงขวัญตื่นเต้นร้อนรนเหมือนคนสติแตกเพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ไม่เคยพบ
เจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนและแล้วเพียงชั่วพริบตาเดียวน้ำป่าก็ซัดกระหน่ำไหลเข้ามาถึง
บ้านพัก จากนั้นแผ่กระจายเอ่อล้นท่วมท้นไปทั่วบริเวณห้องโถงที่ทั้งสองสาวสวยยืนอยู่
ความแรงของกระแสน้ำป่าที่ไหลมาอย่างเชี่ยวกราก ทำให้เธอทั้งสองเสียหลักเซถลาแล้วลื่นไถลไปติดผนังบ้านพักก่อนจะดำผุดดำว่ายอยู่ในกระแสน้ำป่าสีแดงขุ่นที่ไหลบ่าเข้ามาด้วย
ความรุนแรงและรวดเร็วชนิดไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองสาวสวยตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกและหวาด
ผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังนับว่าโชคดีที่มีสติสัมปชัญญะและมีผนังบ้านพักกักตัวเอาไว้
ถ้าไม่เช่นนั้นคงถูกกระแสน้ำป่าพลัดลอยหายไปเป็นแน่เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีความรุนแรง
ได้ชะลอลงอย่างช้าๆและระดับน้ำป่าค่อยๆ ลดลงจนท่วมเหลือเพียงแค่น่องจนสามารถมองเห็น
เนื้อตัวของเธอทั้งสองเปียกปอนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนผสมกับเศษใบไม้รากไม้
ที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นสาบฟุ้งกระจายจนน่าเวียนหัว ดร.นวลปรางค์ยืนเคว้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนบีบ
แขนเพียงขวัญเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้คลายความหวาดกลัว พลางพูดเสียงบางเบาว่า
“เธอเชื่อฉันหรือยัง น้ำป่ามาเร็วไปเร็ว”
“อืม....ฉันเชื่อเธอร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ น้ำป่ามาเร็วไปเร็วจริงๆ”
40
เพียงขวัญตอบด้วยเสียงยานคาง ขณะอยู่ในอาการอ่อนระโหยโรยแรงเพราะสู้กับกระแสน้ำป่า
ที่ไหลเชี่ยวกรากมาเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ดร.นวลปรางค์กวาดสายตามองไปทั่วรีสอร์ทที่ยัง
เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำป่าสีแดงขุ่นและซากต้นไม้น้อยใหญ่ที่ถูกถอนรากถอนโคนไหลมากับกระแส
น้ำป่ากองพะเนินเทินทึกเต็มหน้าบ้านพัก
“โอ้แม่เจ้า!....ทำไมน้ำป่ามันช่างร้ายกาจและน่ากลัวเสียเหลือเกินมันสามารถเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากการทำลายธรรมชาติให้กลับกลายมาเป็นธรรมชาติได้ดังเดิมอย่าง
รวดเร็วในชั่วพริบตา นี่แหละที่เค้าเรียกว่าธรรมชาติเอาความเป็นธรรมชาติของตนเองกลับคืน”
แล้วเธอต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อมีเสียงหนึ่งร้องเรียกชื่อมาแต่ไกล
“ปรางค์....ปรางค์อยู่หรือเปล่าปรางค์ปลอดภัยดีมั้ยครับ”
หลังจากน้ำป่าชะลอความรุนแรงและลดระดับลงจนท่วมเหลือประมาณเกือบเอว ดร.ชัยยศรีบ
ลุยน้ำป่าข้ามถนนภายในรีสอร์ท แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านพักของฝ่ายหญิง พร้อมเรียกหาหญิง
ที่ตนเองหมายปองด้วยความเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าหญิงอื่นใด จนลืมไปว่ายังมีหญิงอีกหนึ่งคน
ที่เป็นภรรยาตนเองอย่างลับๆเพียงขวัญแอบค้อนให้เขาด้วยอารมณ์หึงหวงและบังเกิดความรู้สึก
น้อยเนื้อต่ำใจกับพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาต่อหน้าต่อตา แต่เธอก็ต้องทำใจยอมรับสถานะ
ของตนเอง จึงต้องเก็บงำความเจ็บช้ำขมขื่น และกล้ำกลืนฝืนทนกับความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ
โดยให้มันเป็นความลับต่อไป
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศ....เพียงขวัญอยู่นี่ค่ะ”
เพียงขวัญชิงตอบรับแทนด้วยความดีอกดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ จนลืมความโกรธเคืองและ
อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเสียสิ้น เธอพยายามเดินลุยน้ำท่วมที่เหลือเพียงแค่น่อง เพื่อต้องการ
อยากพบเจอชายคนรักที่กำลังย่างกายก้าวเท้าขึ้นมาบนบ้านพักเช่นกัน แต่เธอก็ต้องพบกับ
ความผิดหวังจนเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กับเขา เพราะใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายปราศจาก
รอยยิ้ม สีหน้าบึ้งตึงไม่ยินดียินร้ายเหมือนไร้ความรู้สึก แม้ว่าจะพยายามส่งยิ้มหวานให้ด้วย
มิตรไมตรี แต่เขากลับไม่ยิ้มรับแต่อย่างใด ใบหน้ารูปงามแดงก่ำด้วยความโกรธที่ยิ้มเก้อจนเสีย
ความรู้สึกความอับอายขายขี้หน้าทำให้น้ำตาเจ้ากรรมแทบรื้นออกมาเสียให้ได้ แต่เธอก็ต้อง
ควบคุมอารมณ์และเก็บความรู้สึกให้สงบนิ่งโดยเร็วที่สุด แม้ว่าจะเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงใด
แต่ก็ต้องทำใจอดทนฝืนยิ้มสู้ต่อไปเธอสบตาเขาก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบว่า
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศปลอดภัยดีนะคะ”
“อ๋อ....ผมปลอดภัยดีครับ แล้วคุณเพียงขวัญล่ะปลอดภัยดีนะครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวด้วยวาจาสุภาพอ่อนโยน ซึ่งผิดกับกิริยาท่าทางเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา โดยดูเหมือนว่า
เขาคงฉุดคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เพียงขวัญปลอดภัยดีค่ะ เออ....แล้วพี่ด็อกเตอร์ปารมีไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่น้ำป่าไหลเข้าท่วมรีสอร์ท จนลดระดับลงไปบ้างแล้ว
41
ก็ยังไม่เห็นวี่แววของดร.ปารมีปรากฏกายแต่อย่างใดดร.นวลปรางค์สบตากับทุกคนในวงสนทนา
พลางกวาดสายตามองออกไปทั่วรีสอร์ทที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำป่าสีแดงขุ่นเธอขบคิดด้วย
ความวิตกกังวลใจ เพราะเกิดนึกเป็นห่วงอดีตชายคนรักเช่นกัน
“ผมไม่เห็นด็อกเตอร์ปารมีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวเสียงเข้มจริงจัง เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างเป็นนัยๆ
“อ้าว....เมื่อคืนพี่ด็อกเตอร์ปารมีไม่ได้กลับบ้านพักเหรอคะ แต่ครั้งหลังสุดก่อนแยกกับพวกเรา พี่เค้าบอกว่าจะขอเก็บรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย จนกระทั่งเกิดพายุฝนตกหนักทำให้น้ำท่วมเต็มรีสอร์ทไปหมด เออ....แล้วนี่เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
เพียงขวัญกล่าวตามความเป็นจริงคำพูดของเพียงขวัญทำให้ดร.นวลปรางค์กระวนกระวายใจ
จนเกิดนึกเป็นห่วงอดีตชายคนรักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอมองหน้าทุกคนในวงสนทนาก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าอย่างงั้น....ปรางค์คิดว่าพวกเราไปห้องแล็บกันดีกว่า เผื่อเจอพี่ด็อกเตอร์ปารมียังอยู่ที่นั่น”
ทั้งดร.ชัยยศและเพียงขวัญพยักหน้าหงึกๆพร้อมกัน คล้อยตามความคิดเห็นของดร.นวลปรางค์
อย่างเห็นดีเห็นงามด้วย
“ก็ดีเหมือนกัน ผมชักจะเริ่มเป็นห่วงด็อกเตอร์ปารมีขึ้นมาแล้วสิ ยิ่งรีสอร์ทถูกน้ำท่วม
ใหญ่ซะขนาดนี้ ผมเกรงว่าตัวด็อกเตอร์ปารมีเองอาจจะได้รับอันตราย และยิ่งห้องแล็บด้วยแล้ว
ไม่รู้ว่าจะได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหนดังนั้นพวกเราสมควรรีบไปห้องแล็บกันโดยด่วน
จะดีกว่า เพราะถ้าหากเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นมาจริงๆอย่างน้อยพวกเราจะได้ช่วยทันท่วงทีครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวแสดงความคิดเห็นเสมือนประหนึ่งเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนร่วมงานเสียเหลือเกิน
แต่แท้จริงแล้วความรู้สึกลึกๆที่อยู่ในใจเขาแอบชิงชังและเครียดแค้นมาโดยตลอดทั้งนี้เขาคิด
คาดคะเนเอาไว้ว่าข้อแรกถ้าดร.ปารมีได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตจริงๆความรักของเขาจะได้หมด
มารหัวใจไปเสียทีส่วนข้อที่สองอยากรู้นักว่า ดร.ปารมีแอบทำอะไรกับร่างของอาจารย์ใหญ่
หรือเปล่าซึ่งเป็นความลับของโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือ โครงการคัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)งานนี้ความลับจะได้ถูกเปิดเผยเสียที
“แล้วพวกเราจะไปกันยังไง น้ำยังท่วมอยู่เลยนี่คะคุณด็อกเตอร์ชัยยศ”
เพียงขวัญเอ่ยถามทำเสียงออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้ พร้อมส่งสายตาหวานช้ำให้กับชายคนรัก
“ตอนผมลุยน้ำมาบ้านพักของพวกคุณ กระแสน้ำลดความรุนแรงลงไปมากแล้วครับ
และตอนนี้ปริมาณน้ำลดลงจนเหลือประมาณเกือบเอวแล้วผมคิดว่าจากบ้านพักนี้ไปที่ห้องแล็บ
คงไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์หรอกครับ”
“โอ.เค. ถ้างั้นพวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ”
การกระทำของดร.นวลปรางค์เร็วกว่าคำพูดเธอรีบสาวเท้าลงไปลุยน้ำป่าที่ลดจนเหลือเกือบเอว
เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังห้องแล็บอย่างทันทีทันใดเพราะตอนนี้เธอเกิดความรู้สึกห่วงใยดร.ปารมี
42
ขึ้นมาจับใจโดยมีดร.ชัยยศและเพียงขวัญเดินลุยน้ำป่าตามไปติดๆอย่างไม่ยอมทิ้งห่าง
ณ ห้องแล็บภายในรีสอร์ทหลังจากลุยน้ำป่าผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทุกคนต่างมา
ยืนอออยู่ภายในห้องแล็บด้วยใจระทึกเพราะสภาพที่เห็นเป็นการสูญเสียเครื่องมือแพทย์
และอุปกรณ์แล็บชนิดที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้อีก นัยน์ตาคู่งามของดร.นวลปรางค์
กวาดมองไปทั่วห้องแล็บแล้วนึกใจหายทุกสิ่งทุกอย่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
และน้ำป่าที่ยังท่วมขังอยู่ประมาณครึ่งน่องเห็นจะได้ เธอเดินสำรวจไปอย่างช้าๆ ด้วยความ
ระมัดระวังเหมือนพยายามมองหาอะไรสักอย่างที่คิดอยู่ในใจ แต่ก็ยังหาไม่เจอแต่อย่างใด
เพียงขวัญเดินตามหลังพลางว่า
“ปรางค์ดูสิ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์แล็บจมน้ำเสียหายหมดเลย”
“อืม....ช่างมันเถอะของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้แต่ตอนนี้พวกเรารีบตามหา
พี่ด็อกเตอร์ปารมีกับอาจารย์ใหญ่กันก่อนดีกว่า”
“เออ....ใช่ ผมลืมไปเสียสนิทเลย นอกจากด็อกเตอร์ปารมีแล้ว พวกเราจะต้องตามหา
อาจารย์ใหญ่ด้วย”
ดร.ชัยยศกล่าวเสริมคล้อยตามอย่างเห็นดีเห็นงาม เพราะที่ผ่านมาคิดอยู่เสมอว่าสักวันความลับ
จะต้องถูกเปิดเผย และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง วันนี้แหละจะเป็นวันเปิดเผยความลับของโครงการ
เทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือ โครงการคัมแบ็คทู ไลฟ์ (Comeback tolife)เขาหันซ้ายแลขวา
พลางตะโกนเรียกหาดร.ปารมีเสียงดังฟังชัด
“ด็อกเตอร์ปารมี....ด็อกเตอร์ปารมีอยู่มั้ยครับ”
บรรยากาศโดยรอบยังคงอยู่ในความเงียบสงบ และไม่มีเสียงโต้ตอบแต่อย่างใด ยิ่งเงียบเท่าไหร่
ความคิดของดร.นวลปรางค์ยิ่งเพิ่มความฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอแทบจะเป็นบ้าตายเสีย
ให้ได้ความเชื่อมั่นในตนเองลดน้อยถอยลงเหมือนคนขาดสติ น้ำตาเจ้ากรรมเริ่มรื้นขอบตาคู่งามร้อนผ่าวเกินระงับความรู้สึกได้ดร.นวลปรางค์สบตาเพียงขวัญเพื่อนรักที่ยังกุมมือนุ่มเธอไว้แน่
พลางบีบเบาๆ เหมือนปลอบโยนให้อบอุ่นใจ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงบางเบาว่า
“ปรางค์จ๋า....ปราค์ใจเย็นๆก่อนนะจ๊ะพี่ด็อกเตอร์ปารมีคงไม่ได้รับอันตรายอะไรหรอก
ฉันคิดว่าพี่เค้าอาจไปหลบน้ำท่วมอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ เลยจ้ะ”
เธอพยักหน้าหงึกๆเหมือนจะยอมรับในคำปลอบโยนแต่แท้จริงแล้วความรู้สึกลึกๆ ที่อยู่ในใจ
ยังอดเป็นห่วงเป็นใยเขาไม่ได้เลยสักนิด หยาดน้ำตาแห่งความทุกข์ร้อนหมองใจและความกดดัน
ที่สะสมมานาน มันถูกระบายออกมาไหลรินอาบสองแก้มไม่ยอมหยุด ในชั่วโมงนี้เธอลืมอับอาย
ไปเสียหมดสิ้นเพราะไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกของตนเองไว้ในใจได้อีกต่อไปเพียงขวัญแอบ
คิดในใจว่า
“จากพฤติกรรมของดร.นวลปรางค์ที่แสดงออกมานั้นย่อมถือเป็นที่ประจักษ์ว่าเค้าทั้งสอง
ยังมีความรักและห่วงหาอาทรต่อกันอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องบางเรื่องเป็นกำแพงขวางกั้น
43
เอาไว้ แต่สักวันหนึ่งกำแพงที่ขวางกั้นนั้นคงถูกทำลายพังลงไปอย่างแน่นอน แล้วเค้าทั้งสองจะได้ประสบความสุขสมหวังในที่สุด”
ดร.ชัยยศเดินเข้าไปสะกิดแขนเพียงขวัญเบาๆ เหมือนรู้ความนัยซึ่งกันและกันก่อนกล่าวเสริม
คล้อยตามไปว่า
“ผมคิดว่าด็อกเตอร์ปารมีคงพาอาจารย์ใหญ่หลบน้ำท่วมไปอยู่ที่ไหนสักแห่งตามที่
คุณเพียงขวัญว่ามาแน่ๆเลยครับ”
“อืม....น่าจะเป็นไปได้สูง เพราะตอนนี้ตัวพี่ด็อกเตอร์ปารมีกับอาจารย์ใหญ่หายไปทั้งคู่
ดังนั้นเพียงขวัญคิดว่าเค้าทั้งสองคงไปด้วยกัน และน่าจะปลอดภัยดีด้วยค่ะ”
เพียงขวัญยืนยันเสียงแข็ง พลางสบตาชายคนรักที่แอบส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัยดร.นวลปรางค์
กวาดสายตามองไปทั่วห้องแล็บที่พังพินาศไม่เป็นชิ้นดี พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ขอให้เป็นอย่างที่เพียงขวัญพูดมาเถอะเพราะถ้าพี่ด็อกเตอร์ปารมีปลอดภัย ย่อมแสดงว่า
อาจารย์ใหญ่ก็ต้องปลอดภัยด้วยเช่นกัน”
“แต่ประเด็นสำคัญตอนนี้ก็คือ ด็อกเตอร์ปารมีพาอาจารย์ใหญ่ไปหลบน้ำท่วมอยู่ที่ไหน”
ดร.ชัยยศตั้งคำถามเหมือนต้องการให้ทั้งสองสาวสวยคิดตาม แต่จุดประสงค์หลักมุ่งตรงไปยัง
ดร.นวลปรางค์เพราะเขาต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่าง เพื่อให้เธอรู้สึกถึงความคิด
ความอ่านที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำเกี่ยวกับความลับของโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์
หรือ โครงการคัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)โดยเขาพยายามคิดแผนกลลวงเพื่อต้องการ
ให้เธอยอมเปิดปากเล่าความจริงเกี่ยวกับความลับของโครงการดังกล่าวให้ได้
“ผมคิดว่าปรางค์ก็น่าจะพอเดาออกอยู่นะครับ ทำไมด็อกเตอร์ปารมีถึงหายไปพร้อมกับ
อาจารย์ใหญ่เค้าทั้งสองไปหลบน้ำท่วมอยู่ที่ไหน และด้วยเพราะเหตุใดทำไมด็อกเตอร์ปารมี
ถึงต้องทำเช่นนี้ เค้าทำเพื่ออะไรหรือว่าต้องการทดลอง CBL2”
ดร.นวลปรางค์จ้องมองดร.ชัยยศด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เพราะมันเป็นคำถามที่เขาตั้งใจถามเหมือน
รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องลับของสถาบัน
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศพูดมาแบบนี้หมายความว่ายังไงกันเพียงขวัญงงและไม่เข้าใจเลย
จริงๆแล้ว....CBL2มันคืออะไรเหรอคะ”
เพียงขวัญเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ในใจรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่เต็มอกตามที่เธอเคยได้รับฟัง
ข้อมูลมาจากชายคนรักดร.นวลปรางค์รู้สึกร้อนผ่าวด้วยไม่อาจทนต่อแรงกดดันที่อยู่รอบกาย
จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจ และอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ เพื่อจะได้ผ่อนคลายจาก
ความเครียดที่บังเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เธอสบตาทุกคนในวงสนทนาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ก่อนจะปริปากเอ่ยขึ้นว่า
“เออ....ปรางค์มีเรื่องบางเรื่องอยากจะบอกให้ทุกคนทราบ ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
มันเป็นโครงการพิเศษที่เกี่ยวกับ....”
44
ดร.นวลปรางค์หยุดเอ่ยไปดื้อๆ เหมือนยังลังเลใจว่าจะพูดต่อดีหรือจะไม่พูดต่อดี
“โครงการพิเศษอะไร ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง”
เพียงขวัญเสแสร้งแกล้งถาม
“เอาล่ะ ผมคิดว่าพวกเรากลับไปที่บ้านพักกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยๆ ให้ปรางค์ช่วยอธิบาย
โครงการพิเศษของสถาบันให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อปรางค์มีความพร้อมมากกว่านี้
ดีมั้ยครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวแสดงความคิดเห็น ซึ่งดูเหมือนเขาจะมีความปรารถนาดี และมีความเห็นอกเห็นใจเสียเต็มประดา แต่แท้จริงแล้วแผนกลลวงเพื่อต้องการรู้ความลับของโครงการดังกล่าว
จะได้ถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้านี้ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแอบแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายอัน
มิชอบ และบ่งบอกถึงความละโมบโลภโมโทสันที่ฝังลึกอยู่ในใจอย่างแสนร้ายกาจยิ่งนัก
วันแรกของการกลับมามีชีวิตใหม่ (24 ชั่วโมง)
มวลกระแสลมแรงที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างของเรือนไม้ไผ่ได้โอบกอดหอบเอา
ไอเย็นเอื่อยๆมาเป็นระลอก จนทำให้ผิวกายเนื้อนวลอันเปล่งปลั่งของหญิงสาวแรกรุ่นนางหนึ่ง
ได้กลับมีความรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจอีกครั้ง หลังจากไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มา
นานแสนนานเกือบศตวรรษสักพักไออุ่นจากแดดอ่อนๆ ยามอรุณรุ่งเริ่มแผ่รัศมีเป็นวงกว้าง
มากขึ้นเรื่อยๆ จนละอองน้ำค้างที่เกาะตามยอดหญ้าและยอดสนสามใบเริ่มทยอยมลายหายไป
ในอากาศภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นทะเลหมอกขาวบริสุทธิ์ดั่งราวปุยนุ่นแผ่ห่มคลุมเทือกเขา
สูงจรดผืนฟ้าครามสดใสอากาศอันแสนบริสุทธิ์ทำให้หัวใจหญิงสาวพองโตชุ่มฉ่ำมีชีวิตชีวาขึ้น
มาใหม่อีกครั้ง หลังจากมีโอกาสกลับฟื้นคืนชีพได้เหมือนดังเดิมอย่างปาฏิหาริย์นัยน์ตากลมโต
เป็นประกายฉายแววสดใสอย่างมีความสุขเมื่อสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ ที่สามารถหวนคืนกลับมา
จนรู้สึกได้จริงๆเธอกวาดสายตาไปทั่วเรือนไม้ไผ่ แล้วพยายามคิดทบทวนความหลังครั้งเก่าที่
เคยพักพิงอาศัยอยู่ แม้ว่าบางส่วนจะผุพังไปบ้างตามกาลเวลา
“ทำไมปล่อยหื้อเฮือนของข้าเจ้าชำรุดทรุดโทรมได้ถึงขนาดนี้แล้วทุกคนหายไปไหน
กันหมด”
หญิงสาวบ่นพึมพำในใจพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงงงวย ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา
ค่อยๆปรากฏให้เห็นภาพในอดีตชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความสับสนมึนงง
ก่อนอุทานออกมาเบาๆ ว่า
“ใจ่....ใจ่แล้ว….น้ำป่า....น้ำป่ากำลังไหลเข้าท่วมหมู่บ้านของข้าเจ้า...ไผก็ได้ช่วยข้าเจ้าตวย
....น้ำป่า....น้ำป่ากำลังไหลเข้ามาถึงเฮือนของข้าเจ้าแล้ว”
ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลผุดผ่องเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลพรากอาบสองแก้ม เธอสะอื้นไห้
ปริ่มจะขาดใจเมื่อเห็นภาพของตนเองกำลังสำลักน้ำป่า แล้วค่อยๆ จมหายไปกับกระแสน้ำป่า
ที่กำลังไหลเชี่ยวกรากอย่างบ้าคลั่ง
45
“ช่วยตวย....ช่วยข้าเจ้าตวย ข้าเจ้ากำลังจมน้ำ”
เวลาคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆ พร้อมกับภาพที่ปรากฏอยู่ก็ค่อยๆ เลือนจางหายไป เธอใช้
หลังมือขาวเนียนปานหยาดน้ำตาที่ยังพรั่งพรูออกมาเป็นสายแล้วพยายามไล่เรียงเหตุการณ์
ที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองอีกครั้ง ว่าที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เพราะภาพที่เห็นสร้าง
ความสับสนวุ่นวายขึ้นในจิตใจจนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูกหญิงสาวสะบัดศีรษะไปมาเบาๆ
ก่อนบ่นพึมพำในใจว่า
“ข้าเจ้าจำได้รางๆ ว่ากำลังจมน้ำแล้วทำไมตอนนี้ข้าเจ้าถึงมาอยู่บนเฮือนได้จ๊ะได”
คิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนสงสัย เธอหยิกแขนตนเองเบาๆ เพื่อต้อการ
ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ
“ข้าเจ้าบ่ได้ฝันนี่”
หยดน้ำค้างที่ไหลเป็นทางยาวมาตามหลังคาจาก ได้ตกลงบนใบหน้ารูปไข่ขาวนวลของเธอ
ให้รู้สึกถึงความเย็นชุ่มฉ่ำ เธอปานหยดน้ำค้างด้วยหลังมือขาวเนียนเบาๆ แต่ครั้งนี้ต้องสะดุด
หยุดมองที่ข้อมือ พลางอุทานด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า
“กำไลหยก....กำไลหยกของข้าเจ้ายังอยู่ มันบ่ได้หายไปไหน”
เธอลูบคลำกำไลหยกสีเขียวมรกตด้วยความดีอกดีใจสุดขีดเมื่อรู้ว่ามันยังสวมอยู่ตรงข้อมือ
ข้างขวาเหมือนเดิม ถึงแม้สีจะหมองคล้ำไปบ้างแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สำคัญ
ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะกำไลหยกสีเขียวมรกตชิ้นนี้เป็นมรดกตกทอดที่ส่งมอบกันมาจากบรรพ
บุรุษโดยส่งมอบให้ครอบครองต่อๆ กันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายสู่รุ่นพ่อแม่ แล้วส่งมอบต่อไปยัง
รุ่นลูกหลานเหลนโหลนในภายภาคหน้าสำหรับกำไลหยกสีเขียวมรกตชิ้นนี้หญิงสาวได้รับมอบ
มาจากผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของหมู่บ้าน และมีฐานะร่ำรวยมากกว่าใครๆ ในหมู่บ้าน
อีกด้วย
“ป้อเจ้าแม่เจ้า กำไลหยกยังบ่ได้หายไปไหน ข้าเจ้าขอสัญญาว่าจะรักษาเอาไว้หื้อเมิน
ตราบชั่วชีวิตของข้าเจ้า”
หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตาที่ยังไหลรินอาบสองแก้ม ความโศกเศร้าอาดูร เดียวดาย และหวาดกลัว
ทำให้เธอสะอื้นไห้ออกมาอย่างมิอาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้
“ป้อเจ้าแม่เจ้าไปอยู่ตี้ใด ข้าเจ้ากึ๊ดเติงหาขนาดเจ้า”
เธอพร่ำพรรณนาถึงบุพการีอันเป็นที่เคารพรักยิ่ง เพราะเนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้เจอะเจอกัน
ความคิดถึงและความห่วงหาอาทรมันสุดแสนทรมานจิตใจเสียยิ่งนัก ไออุ่นๆ จากอกพ่อแม่ที่เคยโอบกอดเฝ้าทะนุถนอมและเลี้ยงดูเอาใจใส่เป็นอย่างดี เธอไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนั้น
มานานแสนนาน
“น้ำ....ขอน้ำหน่อย....”
หญิงสาวหยุดสะอื้นไห้แล้วนิ่งเงียบไปสักพัก เธอพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วมาเป็นระยะๆ
จากที่ใดที่หนึ่งแล้วค่อยๆ กวาดสายตามองไปทั่วเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง
46
“น้ำ....หิวน้ำ...ขอน้ำหน่อย....”
นัยน์ตากลมโตเหลียวมองไปทางประตูทางเข้าเรือน เธอพยายามขยี้ตาซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง
แล้วเพ่งมองไปยังร่างๆ หนึ่งที่นอนเหยียดยาวอยู่ตรงบริเวณนั้น
“อ้าว....แล้วนี่ไผกันล่ะ ทำไมมานอนอยู่บนเฮือนของข้าเจ้าได้”
เธอบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะกลั้นใจสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาร่างๆ นั้น
ด้วยความตกใจและหวาดกลัว แต่เธอก็ต้องทำใจดีสู้เสือเพื่อต้องการให้รู้แน่ชัดว่า ร่างๆ
นั้นคือใครแล้วทำไมถึงมานอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่หลังนี้ได้อย่างไร
ตอนที่ 7
หญิงสาวจ้องมองร่างนั้นด้วยความพิศวงสงสัยเธอค่อยๆ ชะโงกหน้ารูปไข่ขาวนวล
เข้าไปใกล้ให้มากที่สุด เพื่อต้องการสำรวจให้แน่ชัดว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือได้เสียชีวิตไปแล้ว
เธอกระพริบตาถี่ๆอยู่หลายครั้งเพื่อไล่ความพร่ามัวในนัยน์ตากลมโตสักพักภาพเบื้องหน้า
ค่อยๆปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆจนเธอต้องเผลอร้องอุทานออกมาเบาๆ ว่า
“เป็นป้อจายนี่”
“น้ำ....น้ำ....ขอน้ำหน่อย....”
ร่างนั้นร้องเรียกหาน้ำด้วยเสียงสั่นเครือ หญิงสาวจ้องมองหน้าหล่อเหลาคมคายเขาเขม็งด้วย
ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเพราะยังไม่รู้เลยว่าชายผู้นี้เขาเป็นใคร เขามาจากไหน แล้วทำไม
ถึงมานอนสลบไสลอยู่บนเรือนไม้ไผ่ของตนเองได้ เธอจดๆ จ้องๆ อยู่เป็นนานสองนานพอสมควร
ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปสัมผัสบริเวณหน้าผากของเขาด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ
“ยังบ่ตายนี่”
เมื่อรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เธอจึงค่อยๆ ช้อนศีรษะเขาขึ้นอย่างแผ่วเบาแล้วกระดกกระบอกไม้ไผ่
ที่ใส่น้ำฝนใสสะอาดบริสุทธิ์จรดไปยังริมฝีปากบางรูปกระจับ เพื่อให้เขาดื่มน้ำฝนเย็นๆ ดับความ
กระหายสักพักสีหน้าของดร.ปารมีเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง เขาพยายามคิดทบทวนความ
ทรงจำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายแม้ว่าจะผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม ภาพของ
กระแสน้ำป่าที่ไหลทะลักเข้ามาถึงห้องแล็บมันพัดพาเอาทั้งเขาและอาจารย์ใหญ่ดำผุดดำว่าย
ลอยไหลไปตามกระแสน้ำป่าอันเชี่ยวกรากความบ้าคลั่งของน้ำป่าเปรียบเสมือนต้องการแก้แค้น
และเรียกร้องหาความยุติธรรม เพื่อต้องการทวงคืนความเป็นธรรมชาติกลับคืนมาให้เหมือน
ดังเดิม ซึ่งความเสียหายทั้งหมดทั้งมวลมีสาเหตุเกิดจากน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้นภาพที่ปรากฏลำดับ
ต่อมาจำได้ว่าทั้งเขาและอาจารย์ใหญ่พยายามพยุงตัวลอยคอไม่ให้จมน้ำ โดยปล่อยให้กระแส
น้ำป่าพัดไหลไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาไม่สามารถสู้กับแรงต้านของกระแสน้ำป่าเอาไว้ได้และแล้ว
เรี่ยวแรงที่มีอยู่ครั้งสุดท้ายได้หมดลงไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ โดยที่เขายังไม่รู้เลยว่าคนที่
คอยพยุงตัวลอยคอไม่ให้จมน้ำไปกับกระแสน้ำป่านั้น ได้กลับฟื้นคืนชีพมีชีวิตอีกครั้ง ด้วยน้ำยา
ชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่ (CBL2) ที่เขาทดลองฉีดให้กับอาจารย์ใหญ่ก่อนน้ำป่าจะไหลเข้าท่วม
ห้องแล็บภายในรีสอร์ทไม่ถึงชั่วโมง
“อ้าย....นี่จ้ะน้ำเจ้า”
หญิงสาวว่าพลางป้อนน้ำฝนเย็นเฉียบให้เขาดื่มอีกครั้ง ดร.ปารมีเริ่มรู้สึกตัวและพยายามปรือตา
อันหนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนไม้ไผ่ที่ผุพังลงไปตามกาลเวลา
เขาหยุดมองอยู่ตรงเสียงที่เรียกเมื่อสักครู่ แล้วกระพริบตาถี่ๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจ้องเขม็งหญิงสาว
ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความมึนงงสงสัยใบหน้ารูปไข่ขาวนวลค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น
เรื่อยๆสักพักเขาก็ต้องร้องอุทานออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจ
“อาจารย์ใหญ่....อาจารย์ใหญ่ใช่มั้ยครับ”
48
หญิงสาวเองก็อยู่ในอาการตกใจเช่นกัน พร้อมอุทานร้องเสียงหลงออกมาว่า
“บ่ใจ่....บ่ใจ่....ข้าเจ้าจื้อเหม่ยลี่เจ้า”
ดร.ปารมีจ้องมองหน้าหญิงสาวแทบไม่กะพริบตาอยู่เป็นนานสองนาน พลางครุ่นคิดทบทวน
วกไปวนมาอยู่หลายรอบจนเครียด ความสับสนวุ่นวายใจบังเกิดขึ้นแทบไม่ทันตั้งตัว เพราะเขา
เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดถึงขั้นเลยเถิดในทำนองชู้สาวอีกครั้ง เมื่อได้สัมผัสแนบชิดหญิงสาว
ถึงเนื้อถึงตัว โดยเฉพาะรอยยิ้มอันอ่อนหวานละมุนละไมยิ่งทำให้หัวใจของเขาอ่อนระทวยแทบ
จะบ้าคลั่งเสียให้ได้ ความใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดทำให้รู้สึกพิสมัยรักใคร่ชอบพอจนเขาไม่สามารถ
ควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
“เธอผู้นี้นั่นหรือ....คืออาจารย์ใหญ่....อาจารย์ใหญ่จริงๆ เหรอโอ้มายก๊อด! ทำไมเธอ
งดงามราวนางฟ้านางสวรรค์อย่างนี้ เธอทำให้เราหลงเสน่ห์และตกหลุมรักเข้าอย่างจังเสียแล้ว”
แววตาของดร.ปารมีที่ยังจ้องมองหญิงสาวอยู่นั้น มันเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงเสน่หาราคะและมุ่งหวัง
อยากครอบครองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของให้ได้ จนลืมไปว่าชีวิตของหญิงสาวผู้นี้สามารถกลับฟื้นคืนชีพ
มีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง 168 ชั่วโมงเท่านั้นความน่ารักน่าใคร่ของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มหัวใจพองโต และเต้นโครมครามจนแทบคลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแต่แล้วเขาต้องสะดุ้งตื่นจาก
ห้วงภวังค์เมื่อหญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู
“อ้าย....อ้ายเจ้า”
“ครับ....ครับ”
เขาขานรับเสียงเบา พลางค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตามความต้องการ
เพราะร่างกายยังอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรงกำลังวังชาเขาพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง
แต่คราวนี้ประสบผลสำเร็จได้ด้วยหญิงสาวเข้าไปโอบประคองกอด เพื่อช่วยให้เขาได้ขยับตัวนั่ง
ในท่าสบาย เรือนกายของชายหนุ่มหญิงสาวแนบแน่นสนิทชิดเชื้อจนลมหายใจอุ่นๆ รินรดสัน
จมูกของกันและกัน นัยน์ตากลมโตคู่สวยถูกจ้องมองลึกอยู่นิ่งนานจนร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ความเขินอายแสดงออกทางใบหน้าน่ารักสวยหวานแดงระเรื่อ ใจเต้นตึ้กตั้กแทบไม่เป็นจังหวะ
นานพอสมควรจนหญิงสาวได้สติกลับคืนมาเธอรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขา ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามแก้ความเขินอายว่า
“อ้ายเป็นไผ แล้วมานอนอยู่บนเฮือนของข้าเจ้าได้จ๊ะได”
“ผม....ผมเป็นนักวิจัย จบมาทางด้านมานุษยกายวิภาคศาสตร์ครับ”
หญิงสาวขมวนคิ้วมุ่นด้วยความมึนงงกับคำกล่าว
“นักวิจัย....นักวิจัยแปลว่าอะไรเจ้า”
“อ้าว....คุณสามารถพูดภาษาไทยได้ด้วยนี่”
ดร.ปารมีอุทานออกมาอย่างประหลาดใจพลางชำเลืองตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วย
ความสงสัยใคร่รู้
49
“อาจารย์ใหญ่....เธอเป็นใครกัน ทำไมสามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจนขนาดนี้”
เขาหยุดคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจอธิบายขึ้นว่า
“นักวิจัยเป็นบุคคลที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อต้องการ
ให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับข้อมูลหรือทฤษฎีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ทั้งประสบความ
สำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ”
หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยแววตาสดใสและฉีกยิ้มกว้างด้วยอารมณ์สดชื่นเธอพยายามปรับตัว
เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเขา และทำความเข้าใจในเนื้อหาของคำอธิบายให้มากที่สุดแต่ก็ยัง
มีข้อสงสัยอยู่ในใจ จึงเอ่ยถามไปว่า
“เออ....อ้าย....อ้าย....”
“ผม....ปารมีครับ แล้วคุณล่ะชื่อ....”
หญิงสาวสบตาเขาก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจับใจ
“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าชื่อเหม่ยลี่เจ้า”
ดร.ปารมีส่งยิ้มหวานพร้อมสายตาหยาดเยิ้มให้ จนหญิงสาวรีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย
เพราะเธอรู้สึกได้ว่าทั้งรอยยิ้มและสายตาของเขา มันแอบแฝงไปด้วยความรักใคร่เสน่หาอย่าง
เห็นได้ชัด
“เหม่ยลี่....เหม่ยลี่.... ”
เขาเอ่ยเรียกชื่อพร้อมจ้องมองหญิงสาวอยู่หลายครั้ง ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า
“ชื่อของคุณคล้ายๆ คนจีนแปลก....แต่ก็เพราะดีไม่ทราบว่าถ้าแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
จะมีความหมายว่าอะไรครับ”
หญิงสาวแอบชำเลืองตามองหน้าเขาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนิดๆพลางครุ่นคิดในใจว่า
“ทำไมเค้าช่างขี้สงสัยจัง หรือว่านักวิจัยจะต้องซักไซ้ไต่ถามเพื่อหาความรู้อยู่เสมอแบบนี้”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพร้อมรอยยิ้มอย่างมิตรไมตรีพลางตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังและ
ตั้งใจว่า
“ใช่เจ้า ข้าเจ้ามีเชื้อสายคนจีน เพราะบรรพบุรุษของพ่อข้าเจ้าเป็นชาวเมี้ยวที่อาศัยอยู่
ในมณฑลยูนนาน จีนแผ่นดินใหญ่ส่วนชื่อของข้าเจ้า....เหม่ยลี่...เมื่อแปลเป็นภาษาไทยจะมี
ความหมายว่าสวยงามเจ้า”
“ถ้าอย่างงั้น คุณก็คือผู้หญิงสาวที่สวยงามนะสิ คนก็งามนามก็เพราะ เหมาะสม....เหมาะสมที่สุดมากเลยครับ”
เขาพูดปนยิ้มอย่างเป็นสุข ดวงตาอันคมกริบฉายแววความรู้สึกพิสมัยรักใคร่ชอบพอออกมา
อย่างเปิดเผยผสมกับรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ระบายบนใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ยิ่งทำให้จิตใจ
หญิงสาวเริ่มหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัวเขาส่งยิ้มหวานพร้อมสายตาหยาดเยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนพูดต่อ
ด้วยเสียงสุขุมอ่อนโยนว่า
“ต่อไปนี้ผมขอเรียกคุณว่า เหม่ยลี่นะครับ”
50
หญิงสาวพยักหน้ารับเบาๆ แทนคำตอบ พร้อมก้มหน้าก้มตาอายม้วนต้วนด้วยความขวยเขิน
ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เพราะอดนึกขำพฤติกรรมของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าไม่ได้จริงๆ
“เหม่ยลี่....คุณเป็นอะไร....ทำไมถึงหน้าแดงก่ำขนาดนั้น”
เขาเอ่ยถามแกมหัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้าเจ้า....ข้าเจ้า....”
หญิงสาวรีบพูดจนลิ้นพันกัน
“ไม่สบาย....ตัวร้อนหรือเปล่าครับ”
เขาไม่พูดเปล่าพลางรีบคว้าข้อมือหญิงสาวมาจับจนแน่น ความรู้สึกที่ถูกสัมผัสจากมือชายหนุ่ม
กลับยิ่งทำให้เธอร้อนวูบวาบตื่นเต้นขึ้นมาฉับพลัน หัวใจเต้นแรงระรัวแทบไม่เป็นจังหวะถึงแม้ว่า
จะพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นแล้วก็ตาม แต่ร่างเอวบางอ้อนแอ้นอรชรสั่นเทาอย่างไม่
อาจควบคุมความรู้สึกนั้นได้ เวลาผ่านไปชั่วอึดใจหญิงสาวตัดสินใจแกะมือหนาของชายหนุ่ม
ออกจากข้อมือตนเอง พร้อมเอ่ยขึ้นเชิงขอร้องว่า
“อ้าย....อ้ายปล่อยมือข้าเจ้าเถอะเจ้า”
ดร.ปารมีจ้องมองด้วยสายตาหยาดเยิ้มฉ่ำหวานปานหลงรักหมดใจ เขาหยุดนิ่งไปสักพักเหมือน
คิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าแววตาท่าทาง และน้ำเสียงหวานซึ้งตรึงใจว่า
“ผมอาจจะรุ่มร่ามกับคุณไปหน่อย....ขอโทษด้วยนะครับ และต่อไปสัญญาว่าจะไม่ทำ
แบบนี้อีก หวังว่าคุณเหม่ยลี่จะยกโทษให้และไม่ถือโทษโกรธผมนะครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับเบาๆ พร้อมฉีกยิ้มกว้างแทนคำตอบรอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ
เหลาคมคาย ก่อนตัดสินใจตั้งคำถามใหม่ไปว่า
“เออ....ทำไมคุณเหม่ยลี่ถึงพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนละครับ”
เธอมองเขาด้วยแววตาเปล่งประกายออกมาอย่างสดใส ก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูว่า
“อ๋อ....แม่ของข้าเจ้าเป็นชาวสิบสองปันนา ซึ่งภาษาที่ใช้พูดกันส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไทลื้อเจ้า”
ดร.ปารมีชักสีหน้างงๆ ก่อนเอ่ยถามต่อว่า
“อ้าว....ถ้างั้นคุณเหม่ยลี่ก็สามารถพูดได้หลายภาษาสิครับ”
หญิงสาวยิ้มยิงฟันกว้างจนตาหยี พลางหัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจ
“ใช่แล้วเจ้า ข้าเจ้าสามารถพูดภาษาชาวเมี้ยวได้ โดยมีรากเหง้ามาจากภาษาในตระกูล
ม้ง-เมี่ยนส่วนใหญ่จะใช้ภาษาจีนยูนนานเป็นหลัก ซึ่งเป็นภาษาจีน อิ่นหน่านหว่า ในตระกูล
จีน-ทิเบต และภาษาจีนกลางตะวันตกเฉียงใต้ หรือ แมนดาริน ภาษานี้เป็นภาษาของพ่อข้าเจ้า
และพูดภาษาไทลื้อได้ซึ่งเป็นภาษาของแม่ข้าเจ้า โดยมีรากเหง้ามาจากภาษาในตระกูลไท-กะได
ทั้งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากจีนและพม่ามากกว่าล้านนา ดังมีสุภาษิตของชาวไทลื้อว่า “มีม่านเป๋นป่อ
51
มีฮ่อเป๋นแม่”แต่จะฟังเข้าใจได้ง่ายมากกว่าเพราะมีสำเนียงเชียงรุ่ง หรือ สำเนียงคนยอง
เป็นภาษากลาง และมีสำเนียงคล้ายกับภาษาคำเมืองของชาวล้านนา โดยมักมีคำต่อท้าย
“เจ้า” เหมือนกัน ส่วนภาษาสุดท้ายก็คือภาษาไทยเจ้า”
เขาพยักหน้าหงึกๆ ยอมรับในความสามารถของหญิงสาว พร้อมส่งสายตาและรอยยิ้มอัน
หวานแหววให้ เธอยิ้มรับพลางเอ่ยถามว่า
“อ้าย....อ้ายปารมีหิวหรือยังเจ้า”
“อืม....ผมเริ่มหิวนิดหน่อย แล้วคุณเหม่ยลี่ล่ะ หิวหรือยังครับ”
“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เจ้า”
หญิงสาวตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
“อ้ายปารมีนอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนนะเจ้า เดี๋ยวข้าเจ้าออกไปหาของกินมาให้”
“อ้าว....คุณเหม่ยลี่จะออกไปหาที่ไหนผมขอไปด้วยสิ”
“อ้ายปารมีไม่ต้องไปหรอก นอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ดีกว่า ข้าเจ้าออกไปแป๊บเดียวเองเจ้า”
เธอพูดเสร็จก็รีบพาร่างเอวบางผละออกไปทันที โดยปล่อยให้ดร.ปารมีจมอยู่กับความนึกคิด
ที่สับสนวุ่นวายในใจของตนเองแต่เพียงลำพังคนเดียว
“คุณเหม่ยลี่....ผมควรจะทำอย่าไรดี ตอนนี้ผมตัดสินใจไม่ถูกเลยจริงๆ ว่าจะสารภาพ
บอกกับคุณดีไหม หรือว่าปล่อยให้มันอยู่ในใจของผมไปตลอดชีวิต คุณเหม่ยลี่....ผม....ผมหลงรักคุณเข้าแล้ว แต่....แต่ว่าความรักที่ผมมีให้คุณ มันมีวันเวลาเป็นตัวกำหนด เพราะคุณสามารถ
มีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง 168 ชั่วโมงเท่านั้นวันเวลาของความรักมันเริ่มหดลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
ทุกวินาที เพราะนับจากวันนี้ไปคงเหลืออีกแค่เพียง 144 ชั่วโมง คุณเหม่ยลี่....ผมจะทำอย่าไรดี
ช่วยผมตัดสินใจด้วย....”
เขาหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความวิตกกังวลและสับสนในใจ เมื่อนึกถึงดร.นวลปรางค์
อดีตคนพิเศษที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ช่วงระยะหนึ่งสมัยศึกษาปริญญาเอก
ในมหาวิทยาลัยเดียวกันและต้องมาทำงานอยู่ในทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์
สายภาคเหนือด้วยกันอีก
“ปรางค์....ผมรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจจนทำตัวไม่ถูกถึงแม้จะรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
และน่ารังเกียจเดียดฉันท์ที่สุดทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้หลงเสน่ห์ และตกหลุมรักแล้วก็ตาม
แต่ผมก็ทนฝืนความรู้สึกไม่ได้จริงๆ อาจารย์ใหญ่....เธอชื่อเหม่ยลี่....ซึ่งจากที่ได้สัมผัสในเบื้องต้น
เธอเป็นผู้หญิงสวยน่ารักนุ่มนวลสุภาพอ่อนโยนและเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของกุลสตรี
สมเป็นแม่ศรีเรือน คุณเหม่ยลี่เป็นชนชาติม้ง โดยทางพ่อมีเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยว
และทางแม่มีเชื้อสายมาจากชนชาติไท สิบสองปันนา ทั้งนี้จากข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์
ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะ ซึ่งมีความเชื่อว่าน่าจะเป็นแหล่งอารยธรรม
เก่าแก่โบราณและอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเธอก็ได้ดังนั้นผมจึงวิเคราะห์อย่างคร่าวๆ ได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือ ชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วในประเทศไทย
52
ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในมณฑลกุ้ยโจวมากที่สุด นอกนั้นอาศัยอยู่ประปรายในมณฑล
ยูนนาน มณฑลหูหนาน มณฑลเสฉวน มณฑลหูเป่ย์มณฑลไห่หนาน และเขตปกครองตนเอง
กว่างซีจ้วงอีกทั้งบางส่วนได้มีการอพยพย้ายถิ่นฐานลงมาทางใต้ของประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากต้องการหาพื้นที่เพาะปลูก และสถานการณ์ไม่สงบ
ทางการเมือง โดยเข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทย ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในบริเวณตะวันตกของหลวงพระบาง ประเทศสาธารณรัฐ
สังคมนิยมเวียดนามและมีบางส่วนได้อพยพลี้ภัยจากสงครามไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส และประเทศออสเตรเลียอีกด้วยซึ่งการอพยพของชาติพันธุ์เมี้ยว
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีด้วยกัน 4 ครั้งคือ(ขออนุญาตอ้างอิงข้อมูลของ Dr.Li Ting Guiซึ่งอ้าง
โดยเลอภพ (2536))
1. ครั้งที่ 1 การอพยพออกจากบริเวณทางใต้ของสองฝั่งแม่น้ำฮวงโหหรือ แม่น้ำเหลือง
(Southern Portion of the Yellow River)
เมื่อราว 5,000 ปีที่ผ่านมา ชนกลุ่มจู่ลี่ หรือ ชาติพันธุ์เมี้ยว เป็นชนกลุ่มแรกที่มีอาชีพ
เกษตรกร ทำไร่นา และเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร อีกทั้งรู้จักใช้ทองสัมฤทธิ์ ชนกลุ่มจู่ลี่อยู่ภายใต้การปกครองกษัตริย์นามว่า ชิยู ต่อมาชนกลุ่มฮั่นได้อพยพเข้ามาทางทิศตะวันตกเพื่ออยู่อาศัย
ในพื้นที่เดียวกันกับชนกลุ่มจู่ลี่ โดยมีผู้นำนามว่า ฮั่นหย่าทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก แต่อยู่มา
ได้ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกัน และเพราะด้วยชนกลุ่มฮั่นมีประชากรที่
มากกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะในที่สุดผลสุดท้ายชนกลุ่มจู่ลี่ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงต้องอพยพถอย
ร่นลงมาทางใต้ใกล้กับแม่น้ำแยงซี
2. ครั้งที่ 2 การอพยพออกจากบริเวณปกครองม้ง
หลังจากชนกลุ่มจู่ลี่อพยพลงมาทางใต้ จากนั้นได้ไปรวมกับชนกลุ่มพื้นเมืองที่เรียกว่า
ซานเมียว และอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ปองดองอย่างแน่นแฟ้นซึ่งชนกลุ่มจู่ลี่จะเรียกชนกลุ่ม
พื้นเมืองนี้ว่า จีน แต่ถึงอย่างไรชนกลุ่มฮั่นก็ยังคงติดตามไล่ล่ารุกรานชนกลุ่มจู่ลี่อยู่เรื่อยๆ
จนทำให้แตกออกเป็นกลุ่มๆ โดยบางกลุ่มหนีถอยร่นลงมาทางใต้อีก ซึ่งในปัจจุบันจะเป็นมณฑล
หูหนาน มณฑลยูนนาน มณฑลเสฉวน เมืองกวางโจวในมณฑลกวางตุ้งเขตปกครองตนเอง
กว่างซีจ้วงและมณฑลกุ้ยโจวโดยมณฑลนี้จะเป็นดินแดนที่เผ่าต่างๆ ของชนกลุ่มจู่ลี่รวมตัว
และอาศัยกันอยู่มากที่สุด แล้วยังมีอีกบางกลุ่มหนีถอยลงมาทางใต้ตามแถบภูเขาของประเทศ
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศไทย
3. ครั้งที่ 3 การอพยพออกจากการปกครองของกษัตริย์จู
เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์จัดแบ่งตัวเองออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อต้องการ
ปกครองตนเองโดยมีทั้งหมด 7 ชนกลุ่ม และ 1 ใน 7ชนกลุ่มนั้น มีชนกลุ่มม้งซึ่งอยู่ภายใต้
การปกครองกษัตริย์นามว่า จู หรือ จือและมีผู้ปกครอง 2 คน ซึ่งอยู่ในตระกูลแซ่ซังหรือโซ้งคือ
คนแรกนามว่า ชงยี่ส่วนคนที่สองนามว่า ซงจีต่อมาในคริสต์ศักราช 221ชนกลุ่มชินเข้ามาต่อสู้
53
แย่งชิงถิ่นอาศัย และได้กำจัดทั้งกษัตริย์และผู้ปกครองจนพ่ายแพ้ จึงเป็นผลทำให้ชนกลุ่มม้ง
แตกระส่ำระสายหนีถอยร่นลงไปอยู่กับชนกลุ่มม้งที่อยู่ดั้งเดิมในมณฑลยูนนาน มณฑลเสฉวน
และเมืองกวางโจวในมณฑลกวางตุ้งหลังจากนั้นในปีคริสต์ศักราช 1640-1919 ชนกลุ่มม้งบางส่วน
ได้อพยพลงมาทางใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยอาศัยอยู่ตามแถบภูเขาของ
ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และประเทศไทย
4. ครั้งที่ 4 การอพยพออกจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ในปีคริสต์ศักราช 1970-1975 การปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ได้แผ่ขยายเข้าสู่
กลุ่มประเทศอินโดจีน จึงทำให้ชนกลุ่มม้งในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ต้องแตกกระจายไปทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นการอพยพมากที่สุดและไปไกลที่สุด โดยย้ายไปอาศัย
อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศ
อาร์เจนตินา และประเทศอิตาลีดังนั้นสรุปได้ว่าคุณเหม่ยลี่น่าจะเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊ว
อย่างแน่นอน”
ดร.ปารมีกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจถึงแม้ว่าจะมีความวิตกกังวลและสับสนในใจอยู่ก็ตาม
ตอนที่ 8
วันที่สองของการกลับมามีชีวิตใหม่ (48 ชั่วโมง)
กลุ่มควันสีขาวลอยคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วเรือนไม้ไผ่จนทำให้เกิดเสียงกระแอมไอ
และจามอยู่เป็นเนืองๆ สักพักใหญ่เจ้าของเสียงต้องเดินออกมาดูแหล่งที่มาของกลุ่มควันนั้น
ก่อนร้องถามไปว่า
“คุณเหม่ยลี่....ทำอะไรของคุณดูสิ....ควันโขมงโฉงเฉงไปหมดแล้ว”
คนถูกเอ่ยชื่อเงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียงที่ร้องเรียกหา เธอส่งรอยยิ้มหวานให้แทนคำตอบ
แต่แค่รอยยิ้มอันอ่อนหวานนั้น กลับยิ่งทำให้หัวใจอันเปราะบางของเขาเต้นโครมครามแทบไม่
เป็นจังหวะ สายตาที่เขาจ้องมองหญิงสาวฉายแววความรู้สึกรักใคร่เสน่หาอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ
จนเลยเถิดถึงขั้นพิศวาสเกินห้ามใจเอาไว้ได้หญิงสาวเองก็อายม้วนต้วนหน้าแดงหูแดงก้มหน้า
ก้มตางุดมองพื้น เมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้ารูปไข่ขาวนวลอย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยขึ้น
ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า
“แก้มของคุณเปื้อนอะไรก็ไม่รู้สีดำๆเออ....ผมขออนุญาตเช็ดให้นะครับ”
เขาพูดจบพร้อมใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ไปมาเบาๆ บริเวณพวงแก้มแดงเนียนใสของหญิงสาว
เธอทำท่าทางเอียงอายและพยายามปกป้องตนเองอยู่นาน แต่มันก็ไม่เป็นผลสำเร็จสักเท่าไหร่
เพราะหัวใจอันบอบบางเริ่มจะเอนเอียง และเกิดความรู้สึกนึกชอบพอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเลย
สักนิดนัยน์ตากลมโตคู่งามจ้องมองรอยเปื้อนสีดำที่นิ้วหัวแม่มือของเขา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“สงสัยถ้าจะเป็นคราบเขม่าจากควันไฟเพราะเมื่อตะกี้นี้ข้าเจ้าก่อไฟเพื่อจะเผาหัวมันเจ้า”
ดร.ปารมีไม่ตอบ แต่แสดงความห่วงใยออกมาทางดวงตาอันคมกริบที่เขายังจ้องมองเขม็ง
อย่างไม่ลดละสายตาแล้วเอ่ยเหมือนตัดพ้อต่อว่าหญิงสาวไปว่า
“ทำไมคุณถึงไม่เรียกผมงานพวกนี้มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ”
“ใครบอกอ้าย งานพวกนี้มันเป็นหน้าที่ของลูกผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งถ้าบ้านไหนลูกเกิด
มาเป็นผู้หญิง พ่อแม่จะอบรมสั่งสอนความเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้ตั้งแต่เด็กเล็กจนโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับออกเรือนมีครอบครัวในอนาคตเจ้า”
เธอพูดเสียงแข็ง แววตาและท่าทางดูจริงจัง
“อ้าว....เหรอ ผมไม่ทราบจริงๆ เออ....ผมขอโทษนะครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสลดปนเศร้า
“ถ้ายังงั้นก็แสดงว่า การดูแลปรนนิบัติภายในครอบครัว โดยเฉพาะงานแม่บ้านจึงเป็น
หน้าที่หลักของผู้หญิง ซึ่งจะเป็นเหมือนกันหมดทุกชนชาติ รวมไปถึงชนชาติไทยด้วยดังนั้นการ
ดูแลปรนนิบัติจึงเป็นวิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบันและเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป
จนมาถึงปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่ผู้ชายกับผู้หญิงมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามหลักสิทธิมนุษยชน
จึงทำให้สถาบันครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงไปจากครอบครัวใหญ่ที่มีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
พร้อมด้วยเครือญาติที่อยู่รวมกันอย่างใกล้ชิด มาเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวสมัยใหม่
55
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสังคมเมืองหรือสังคมสมัยใหม่เพราะฉะนั้นงานแม่บ้านจึงไม่ได้ตกเพียงแค่
ผู้หญิงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่จะเป็นหน้าที่ทั้งฝ่ายผู้ชายและฝ่ายผู้หญิงที่จะต้องช่วยกันครับ”
ดร.ปารมีกล่าวเสริมต่อพร้อมรอยยิ้มละไมส่วนหญิงสาวก็พยักหน้ารับยิ้มๆ เช่นกัน เธอสบตาเขา
ก่อนตัดสินใจกล่าวยืนยันว่า
“ถึงแม้ว่าสังคมในปัจจุบันของอ้ายมีการเปลี่ยนแปลง ที่ผู้ชายกับผู้หญิงมีความเสมอภาค
เท่าเทียมกันแล้วก็ตาม แต่ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งทุกคน ก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตยึดมั่นปฏิบัติ
สืบทอดวิถีชีวิตตามบรรพบุรุษอยู่วันยังค่ำ และจะต้องถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังสืบต่อไปอีกด้วยเจ้า”
“อือ....นับว่าเป็นวิถีปฏิบัติอันดีงามที่ได้สืบทอดกันมาจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ผมยังแอบ
ดีใจและปลาบปลื้มใจแทนบรรพบุรุษชนชาติม้ง ที่ลูกหลานสามารถเก็บรักษาและอนุรักษ์เอา
ไว้จนถึงทุกวันนี้”
เขานิ่งไปสักพักเพื่อคิดตามข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับฟังมาจากหญิงสาวแต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่ติดค้าง
คาใจจึงตัดสินใจเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“แต่....เออ....ผมขอถามหน่อยสิ แล้วทำไมคุณเหม่ยลี่ถึงเรียกตัวเองว่าชาวเขาเผ่าม้งละครับ”
หญิงสาวหัวเราะร่วนเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ ความน่ารักน่าชังของเธอเพิ่มแรงเสน่หา
รักใคร่ จนเขาหลงใหลได้ปลื้มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หญิงสาวแอบชำเลืองตามองคู่สนทนาที่ยืนอยู่
เบื้องหน้า จึงรู้ว่าเขาก็แอบชำเลืองตามองมาเช่นกัน เธออมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเรียวงามก่อนตั้ง
หน้าตั้งตาอธิบายขึ้นว่า
“อ๋อ....คืออย่างงี้ พ่อของข้าเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า พวกเรามีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นชาวเมี้ยวของจีนแผ่นดินใหญ่โน่นซึ่งหลังจากอพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในแหล่งที่
ทำมาหากินใหม่ ทุกคนก็ยังนำวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม และความเชื่อจาก
จีนแผ่นดินใหญ่ติดตัวมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และยังถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปสู่
รุ่นลูกหลานให้สืบต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆโดยเฉพาะวัฒนธรรมการแต่งงาน ซึ่งจะให้ความสำคัญ
และยกย่องผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเพราะผู้ชายจะเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล ด้วยการแต่งงานเพื่อ
ให้มีทายาทสืบสกุลส่วนผู้หญิงจะถูกปิดกั้นไปเสียเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเล่าเรียน
การพบปะผู้คนต่างเผ่าและการเดินทางไปมาหาสู่จากแหล่งที่อยู่อาศัยกับสังคมภายนอกเผ่า
แต่ผู้หญิงทุกคนจะได้รับการอบรมสั่งสอนงานบ้านงานเรือนตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาวเพราะว่า
หลังจากแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ก็จะไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของผู้ชายจึงต้องทำงาน
ทุกอย่างแทนทุกคนในบ้านของผู้ชายด้วย….”
“จริงเหรอ ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งจะต้องทำงานทุกอย่างแทนทุกคนในบ้านของผู้ชาย”
ดร.ปารมีชิงพูดขึ้นด้วยความตกใจและประหลาดใจ เพราะไม่อยากเชื่อในคำกล่าวของหญิงสาว
“จริงๆ เจ้า เพราะเค้าถือว่าได้ซื้อผู้หญิงมาแล้วดังนั้นงานทุกอย่างในบ้านของผู้ชาย
56
จึงตกเป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ใหม่ หรือถ้าจะเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ก็คือคนรับใช้เจ้า”
สีหน้าและน้ำเสียงของเธอเศร้าสลดลงจนเห็นได้ชัด
“โถ....คุณทำไมเปรียบเทียบได้ถึงขนาดนั้น”
เขาพูดน้ำเสียงอ่อยๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจในโชคชะตาของผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้ง
“ก็มันจริงๆ นี่เจ้า ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้ว หน้าที่หลักๆก็คือ
ผลิตลูกเพื่อให้มีทายาทสืบสกุลและช่วยครอบครัวทำมาหากิน โดยจะต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ตีห้า
ทุกวัน เริ่มต้นด้วยการหุงหาอาหารเช้าให้สมาชิกในบ้านกินกันก่อนต่อจากนั้นถึงหาอาหารให้
หมูกับไก่กินและพอฟ้าเริ่มสางก็ต้องรีบไปตักน้ำให้เต็มโอ่งทุกใบ ก่อนเตรียมตัวไปทำงานในไร่
ซึ่งส่วนใหญ่จะปลูกฝิ่นข้าวไร่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง ฟักทอง และผักกาดเขียว ถ้าหากวันไหนไม่มี
งานในไร่ก็ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ทั้งเลี้ยงลูก ทอผ้า และเย็บปักผ้าเจ้า”
“ฟังๆ แล้ว ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งจะต้องทำงานหนักกว่าผู้ชายจริงๆ”
“ใช่แล้วเจ้างานบ้านของผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งจะสิ้นสุดลง ก็ต่อเมื่อทุกคนภายในบ้าน
ได้นอนหลับกันหมดแล้ว”
หญิงสาวสบตาเขาก่อนตอบรับน้ำเสียงราบเรียบ
“โถ....น่าสงสารจริงๆ”
เขาร้องอุทานออกมาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าอย่างงั้น ก็แสดงว่าผู้หญิงชาวเขาชาวม้งทุกคนจะต้องทำงานบ้านเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง
กันเลยสิเออ....แล้ววันๆผู้ชายเค้าทำอะไรกันครับ”
“อ๋อ....ผู้ชายจะสบายกว่าผู้หญิงมากเลยเจ้า หลังจากตื่นนอนตอนเช้าก็จะนั่งจิบน้ำชา
ไปพลางพูดคุยกันไปพลาง หรือไม่ก็จะนอนสูบฝิ่นกันทั้งวัน”
“สูบฝิ่น!....”
เขาร้องอุทานเสียงหลงอย่างลืมตัว พลางนิ่งคิดไปสักพักใหญ่ บทสนทนาเมื่อครั้งเก่าที่เก้าจั๊วะ
เคยเล่าให้เขาและดร.นวลปรางค์ฟังเริ่มหวนกลับคืนมา สมัยศึกษาปริญญาเอกจากสถาบัน
เดียวกันเธอได้เล่าถึงสาเหตุว่าทำไมชนชาติจีนที่อพยพมาอาศัยอยู่ตามภูเขาของประเทศไทย
มักนิยมปลูกฝิ่น
“ฝิ่น (Opium)(Papaver somniferumL.)เป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขา(ชาวเขาเผ่าม้ง) โดยมีความเชื่อว่า ฝิ่นเป็นพืชแห่งความสุข ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเทพแห่งความ
งอกงามและความเจริญพันธุ์ที่ดลบันดาลให้สามีภรรยาก่อกำเนิดทายาท ซึ่งสามารถเห็นการ
ใช้ฝิ่นได้ในพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น งานศพ งานแต่งงาน งานรื่นเริง พิธีเซ่นไหว้ผี
ในหมู่บ้าน และใช้เป็นยารักษาโรค หรือช่วยระงับความเจ็บปวดได้เช่น ปวดหัว ปวดท้องแก้ท้องเสีย แก้อาการไอและใช้เป็นยานอนหลับ เป็นต้น
57
ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ชาวเขาเผ่าม้งนิยมปลูกฝิ่น และนับวันจะเพิ่มจำนวน
มากขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่ทราบเลยว่า ในเนื้อฝิ่นมีสารเคมีผสมอยู่มากมาย อันประกอบด้วย
โปรตีนเกลือแร่ ยาง และกรดอินทรีย์ เป็นแอลคาลอยด์ (Alkaloid)มากกว่า30 ชนิด
ซึ่งแอลคาลอยด์เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดให้โทษร้ายแรง จึงจัดเป็น
ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522
และแอลคะลอยด์แบ่งออกเป็น2 ประเภท ได้แก่
(1) ออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมา เพราะมีสารมอร์ฟีน (Morphine) ในปริมาณมาก
ที่สุด โดยพบได้ทุกส่วนของต้น ยกเว้นที่ราก เมล็ด และแหล่งปลูกฝิ่น เช่นฝิ่นจากจีนมีสาร
มอร์ฟีน 4-11เปอร์เซ็นต์ฝิ่นจากอินเดียมีสารมอร์ฟีน 10 เปอร์เซ็นต์ ฝิ่นจากตุรกีมีสารมอร์ฟีน
10-16 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของไทยมีสารมอร์ฟีนไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ถ้าฝิ่นหนัก 500 กรัม
จะให้สารมอร์ฟีนไม่เกิน 100 กรัมซึ่งสารมอร์ฟีนมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเสพ
จะทำให้มีความรู้สึกสดชื่นเคลิ้มฝัน และอาการเจ็บปวดหายไป ซึ่งทางเภสัชวิทยาถือว่าเป็น
ยาทำให้นอนหลับ (Hypnotic)
(2) ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบหย่อนคลายตัวเพราะมีสารปาปาเวอร์รีน (Papavarine)
เป็นตัวสำคัญ ซึ่งทางเภสัชวิทยาไม่ถือว่าเป็นสารเสพติดเมื่อเสพจะทำให้กล้ามเนื้อของร่างกาย
หย่อนคลายตัว
ดังนั้นถ้ามีการใช้ฝิ่นในปริมาณมากจนเกินความจำเป็นต่อร่างกายผู้ใช้จะเกิดการติดฝิ่น
และได้รับผลข้างเคียงหรือผลกระทบคือ ร่างกายทรุดโทรม ซูบผอม ตัวเหลือง ริมฝีปากเขียว
ถ้าเสพฝิ่นไปนานๆ สติปัญญาจะเริ่มถดถอยและเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกตัวชอบนั่งเหม่อมองออกไปโดยไม่มีจุดหมายชีพจรและหัวใจเต้นช้าลง เซื่องซึม ง่วงหงาวหาวนอนไม่พูดไม่สนใจสิ่งรอบตัว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
ทั้งนี้ผู้ใช้จะสามารถเสพฝิ่นได้ 4 วิธีด้วยกัน ได้แก่
1) สูบ เป็นวิธีที่ชาวเขาเผ่าม้งนิยมใช้กันมากที่สุด ซึ่งจะเรียกการสูบฝิ่นว่า “เห่าเย้ง”
ส่วนชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “ออปี่”แต่มีความหมายเหมือนกันคือ “ดื่มน้ำ”การเสพฝิ่นวิธีนี้
จะสูบจากกล้องที่ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ โดยปลายด้านหนึ่งหุ้มด้วยกระเปาะซึ่งทำมาจากส่วน
ที่เป็นข้อของไม้ไผ่ และมีการเจาะรูขนาดเล็กบนกระเปาะ สำหรับนำฝิ่นดิบหรือสุกบดผสม
กับยาบางชนิด เช่น ยาทัมใจ ยาประสะบอแรด หรือยาแอสไพริน มาติดไว้บนรูบนกระเปาะ
2) กินหรือถุน เป็นวิธีที่นิยมใช้น้อย เพราะไม่ได้รับรสชาติหรือกลิ่นของฝิ่นโดยส่วนใหญ่
58
มักจะเป็นผู้ที่ติดฝิ่นอย่างหนักมาแล้ว
3)ดื่มเป็นการนำฝิ่นชงในน้ำร้อนแล้วดื่ม แต่ก็ยังเป็นวิธีที่นิยมใช้น้อย
4) สอดทางทวารหนัก เป็นวิธีที่นิยมใช้น้อยเช่นกัน”
“อ้ายเจ้า....อ้ายปารมีเจ้า”
เธอร้องเรียกเขาอยู่เป็นนานสองนาน
“ครับ....ครับ”
เขารีบขานรับจนลิ้นรัวเป็นพัลวัน
“อ้ายเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าเจ้า”
“อ๋อ....ผมไม่ได้เป็นอะไรยังสบายดีครับเมื่อกี้มัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ พร้อมตั้งคำถามด้วยความสงสัยในความคิดของเขา
“อ้ายคิดอะไรเหรอเจ้า”
“เออ....ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับฝิ่นที่ผู้ชายเค้าสูบกันมันจะต้องผ่านกรรมวิธีอะไรมาบ้าง”
เธอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“ฝิ่นที่ข้าเจ้าเคยเห็นพ่อกับลุงสูบกันมันได้มาจากการกรีดดอกฝิ่นที่เรียกว่า “กระเปาะฝิ่น”
หลังจากกลีบและเกสรร่วงไปแล้วประมาณ 3-4 วัน เพื่อทำให้เกิดรอยแผลจนมีน้ำยางสีขาว
ไหลซึมออกมา แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แสงอาทิตย์ส่องจนน้ำยางแห้ง และพร้อมที่จะเก็บได้ในบ่าย
วันรุ่งขึ้นเจ้า”
“อืม....ผมพึ่งรู้นะครับว่ากระเปาะฝิ่นก็คือดอกฝิ่นนั่นเอง สวยแต่ซ่อนพิษร้ายเอาไว้อย่างน่ากลัว”
หญิงสาวหัวเราะร่วนเสียงดัง
“ใช่แล้วเจ้า ความสวยงามใช่ว่าจะคงทนและหอมหวานไปตลอดกาลเพราะในความ
สวยงามที่มองเห็นแค่เพียงภายนอกนั้น อาจจะแอบซ่อนเร้นพิษสงความร้ายกาจเอาไว้ก็เป็นได้เจ้า”
เธอกล่าวจบพร้อมสบสายตาเขาอย่างมีเลศนัย จนเขารู้สึกว่าเหม่ยลี่น่าจะไม่ใช่หญิงสาวชาวเขา
เผ่าม้งธรรมดาๆ เสียแล้วล่ะเพราะคำพูดคำจาของเธอเหมือนเป็นผู้มีความรู้และมีความฉลาด
หลักแหลมพอตัวมิใช่น้อย เธอส่งยิ้มหวานพร้อมยื่นหัวมันเผาที่สุกแล้วให้เขา
“นี่อ้าย....หัวมันเผาเจ้า”
ดร.ปารมีรับหัวมันเผาที่ส่งกลิ่นหอมฉุยแล้วค่อยๆ ลอกเปลือกสีดำออกอย่างช้าๆ ก่อนหักออก
จากกันจนเห็นเนื้อหัวมันเผาเหลืองอร่าม ไอควันสีขาวจางๆ ฟุ้งกระจายล่องลอยในอากาศส่ง
กลิ่นหอมชวนกินจนน้ำลายไหล เขาเป่าลมออกจากปากเพื่อไล่ความร้อน ก่อนใส่ปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย หญิงสาวแอบอมยิ้มที่มุมปาก เพราะอดนึกขำท่าทางของเขาไม่ได้ ที่กินไปเป่า
ปากไปจนลืมอาย เธอจึงยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำใสสะอาดให้เขาเพื่อลดความร้อนในปาก
พลางเอ่ยถามยิ้มๆ ขึ้นว่า
59
“อร่อยมั้ยอ้าย”
เขาดื่มน้ำในกระบอกไม้ไผ่ยังไม่ทันเสร็จ พลางรีบตอบคำถามอย่างว่องไวว่า
“อืม....อร่อย...อร่อยมากผมพึ่งจะเคยกินหัวมันเผาครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยนะครับ”
หญิงสาวหัวเราะชอบใจกับคำสารภาพของเขา เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ดร.ปารมีเริ่มรู้สึกอิ่ม
และได้ชะลอการกินลงเรื่อยๆ เขาแอบชำเลืองตามองเหม่ยลี่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินหัวมันเผา
ด้วยความเอร็ดอร่อยเช่นกัน โดยไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งแอบมองดูพฤติกรรมอยู่ เขาอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก พลางคิดในใจว่า
“น่านับถือความเป็นกุลสตรีของผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งจริงๆ พวกเธอสุดยอดของความ
เป็นแม่ศรีเรือน ถึงแม้ว่าจะเต็มใจหรือจำต้องทนกับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตมาจากบรรพบุรุษพวกเธอทุกคนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และต้องถ่ายทอดวิถีชีวิตให้คนรุ่นหลังสืบ
ต่อไปอีกด้วย”
“อ้าย....อ้ายปารมีเจ้า”
หญิงสาวร้องเรียกเขาอีกครั้ง
“ครับ....ครับ”
เขารีบขานรับ พลางเอ่ยถามทันควัน
“คุณเหม่ยลี่มีอะไรเหรอครับ”
“เออ....อ้ายปารมีอยากฟังเรื่องฝิ่นต่อมั้ยเจ้า”
“อืม....ฟังสิ เรื่องฝิ่นยังไม่จบเลยนี่ครับ”
เธอสบตาเขาพร้อมรอยยิ้มรัญจวนใจ
“หลังจากกรีดกระเปาะฝิ่นจนน้ำยางสีขาวข้นไหลซึมออกมาแล้วปล่อยทิ้งไว้หนึ่งคืน
จนน้ำยางเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แห้งเหนียวขึ้นจนเป็นยางฝิ่นซึ่งจะมีกลิ่นเหม็นเขียว
และรสชาติขมมาก จากนั้นจะขูดยางฝิ่นออกจากกระเปาะฝิ่นด้วยเครื่องมือที่มีลักษณะเป็น
แผ่นโลหะโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดเท่าฝ่ามือและเมื่อรวบรวมได้พอประมาณก็จะนำไป
ห่อเก็บไว้ด้วยกระดาษสา หรือกลีบดอกฝิ่นเรียกว่าฝิ่นดิบ(Raw opium)และถ้านำฝิ่นดิบ
1 ส่วน ผสมกับน้ำ 3 ส่วน ต้มหรือเคี่ยวจนแห้งเหนียวจนเป็นสีดำคล้ายยางมะตอยและมี
กลิ่นฉุน เรียกว่าฝิ่นสุก (Prepared opium) โดยฝิ่นสุกนี้จะนิยมใช้สูบมากที่สุด ส่วนกากฝิ่นที่
เหลือจากการสูบที่มีลักษณะเป็นเม็ดสีดำคล้ายถ่าน เรียกว่ามูลฝิ่น (Dross opium) สามารถ
ปั้นเป็นแท่งยาวแล้วนำมาใช้ต่อได้เจ้า”
“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องฝิ่นได้มากมายขนาดนี้ล่ะครับ”
หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนตอบไปว่า
“อ๋อ....ทำไมจะไม่รู้ล่ะข้าเจ้าเห็นฝิ่นมาตั้งแต่เล็กจนโตเพราะก่อนนอนทุกคืนจะต้อง
ช่วยแม่ปั้นฝิ่นสุกให้พ่อสูบในตอนเช้าเจ้า”
“อ้าว....เหรอครับ ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งสุดยอดของเป็นแม่ศรีเรือนจริงๆ”
60
“อื้อ....”
เธอแค่นเสียงบางเบาออกมาจากลำคออย่างสุขใจ
ไอแดดอุ่นๆ สีทองเปล่งประกายสาดส่องไปทั่วเรือนไม้ไผ่ ผนวกกับไอร้อนๆ จากหัวมันเผา
ได้ช่วยบรรเทาอุณหภูมิภายในร่างกายทั้งสองให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง หยาดน้ำค้างเริ่มร่วงหยดไหลลงมาตามกิ่งสนสามใบและหลังคาจากของเรือนไม้ไผ่ แต่เหมยขาบ หรือ แม่คะนิ้ง ยังดารดาษ
ขาวโพลนเกาะติดอยู่ตามยอดไม้ใบหญ้าเต็มไปทั่วพื้นดินซึ่งวันนี้เป็นวันที่สองของการใช้ชีวิต
อยู่ร่วมกันเกือบจะครบสี่สิบแปดชั่วโมงคนทั้งสองเริ่มมีความสนิทสนมชิดเชื้อกันมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวได้ลดอาการประหม่าและกล้าสบตาเขาอย่างไม่หวั่นกลัวและเขินอายแต่อย่างใด
เธอโปรยยิ้มหวานละมุนก่อนตัดสินใจเอ่ยเชิญชวนไปว่า
“แดดเริ่มมาแล้ว อ้ายอยากออกไปตากแดดแก้หนาวมั้ยเจ้า”
ชายหนุ่มหันหน้ามามองพร้อมกับยิ้มรับ
“อืม....เอาสิออกไปเดินยืดเส้นยืดสายซะบ้างก็ดีเหมือนกัน และอีกอย่างจะได้สูดอากาศ
บริสุทธิ์ให้เต็มปอดด้วย”
“เจ้า”
หญิงสาวตอบรับคำ พลางเดินนำหน้าดร.ปารมีออกไปข้างนอกเรือนไม้ไผ่ที่เก่าผุพังโกโรโกโส
เขาเดินตามร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นอย่างว่านอนสอนง่าย แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณ
หน้าเรือนไม้ไผ่ที่เริ่มสว่างด้วยแสงแดดอ่อนๆ รำไรใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาได้สัมผัส
ลมเย็นๆ ที่ผสมผสานกับหมอกจางๆ พัดผ่านเข้ามากระทบอย่างจังจนทำให้รู้สึกหนาวสั่น
สะท้านขึ้นมาจับใจ ดวงตาอันคมกริบมองทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตาพลางร้องอุทานออกมา
อย่างลืมตัว
“ว้าว! สุดยอด นี่พวกเราอยู่บนภูเขาใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้วเจ้า”
เธอตอบคำถามพร้อมยิ้มหวานจนแก้มปริ
“ถึงว่าสิ ทำไมอากาศมันหนาวเย็นผิดปกติ เออ....แล้วผมขึ้นมาได้ยังไงครับ”
“ข้าเจ้าแบกอ้ายขึ้นมาเองเจ้า”
“แบกตัวผมเนี่ยนะ!....”
ดร.ปารมีร้องอุทานเสียงดังอย่างตกใจ พลางจ้องมองเธอด้วยความพิศวงงงงวย เขาแอบคิดในใจว่า
“เป็นไปได้ยังไงกัน ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเหม่ยลี่ไปเอาพละกำลังมาจากไหนมากมาย
ทำไมถึงสามารถแบกผู้ชายอย่างเราขึ้นมาอยู่บนภูเขานี้ได้ คิดแล้วมันเหลือเชื่อและไม่น่าเชื่อจริงๆ ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งสุดยอด....สุดยอดมากๆ”
เขาสูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติเข้าลึกๆ ช้าๆ จนเต็มปอดใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายสดใส
ออกสีชมพูระเรื่อไปด้วยสีเลือดฝาด แววตาที่ฉายออกมาเต็มเปี่ยมความสุขกายและใจอย่าง
เหลือล้น เพราะภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์และงดงามยิ่งนัก
61
“โอ้มายก๊อด! อเมซิ่ง....อเมซิ่งไทยแลนด์ งดงามเหมือนอย่างกับภาพวาด”
แสงอาทิตย์สีเหลืองทองกระทบสายหมอกที่รวมตัวกันเป็นผืนใหญ่ มองไกลๆ เหมือนคลื่น
ทะเลหมอกสีขาวบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนไหลไปตามเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเขามองตะลึงแทบ
ไม่กะพริบตา จนหญิงสาวแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“อ้าย....อ้ายปารมีไม่เคยเห็นเหรอเจ้า”
“อืม....ใช่ครับผมขอสารภาพตามตรงอย่างไม่อายเลยว่าไม่เคยเห็นธรรมชาติแบบนี้
มาก่อนทะเลหมอกขาวๆตัดกับแสงเหลืองทองของดวงอาทิตย์มันช่างงดงามเหนือคำบรรยาย
อันที่จริงประเทศไทยเรานี้ยังมีสถานที่สวยๆ แปลกๆ ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรอีกมากมายซึ่งอาจจะตกสำรวจหรือยังไม่มีการค้นพบก็เป็นได้แต่ถึงอย่างไรผมต้องขอบใจคุณเหม่ยลี่มากๆ
ที่อุตส่าห์แบกตัวผมขึ้นมาไว้บนภูเขานี้เพราะถ้าไม่เช่นนั้นผมคงจมน้ำป่าเสียชีวิตไปแล้วก็ได้
และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ ผมคงเสียใจอย่างที่สุด ถ้าพลาดโอกาสไม่ได้มาเห็น
ภาพธรรมชาติอันงดงามแบบนี้”
“เจ้าาาา....”
เธอทำเสียงลากยาวด้วยความไพเราะเสนาะหู จนผู้ได้ยินแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ปลาบปลื้มใจ
อย่างเป็นสุขเหลือล้นแต่ก็ต้องจำยอมหักห้ามใจไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ในห้วงกิเลสตัณหา
เพราะเขาได้สัญญากับเธอไว้เมื่อคราวที่แล้ว
“ต่อไปผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก หวังว่าคุณเหม่ยลี่จะยกโทษให้และไม่ถือโทษโกรธผมนะครับ”
แม้จะสายมากแล้ว แต่ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาสัมผัสผิวกายก็ยังทำให้รู้สึกหนาวสะท้านมาเป็น
พักๆทะเลหมอกเริ่มค่อยๆ จางหายไป จนสามารถมองเห็นเทือกเขาน้อยใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เขากวาดสายตามองไปทั่วอย่างไร้จุดหมายปลายทาง แต่แล้วก็ต้อง
หยุดมองตรงภูเขาที่อยู่ใกล้ตัวในระยะประมาณ 500 เมตร คิ้วเข้มขมวดชนกันด้วยความสงสัย
อย่างหนักก่อนตัดสินใจร้องถามไปว่า
“เออ....ผมขอถามหน่อยสิตรงภูเขาลูกโน้นดูเหมือนจะมีสวนดอกไม้ใช่มั้ยครับ”
หญิงสาวหัวเราะร่วนลงคออย่างชอบใจ
“อ๋อ....ไม่ใช่สวนดอกไม้ แต่นั่นคือไร่ฝิ่นเจ้า”
“ไร่ฝิ่น!....”
“ใช่แล้วเจ้า ถ้าอ้ายอยากไปดูไร่ฝิ่น เดี๋ยวขอเจ้าจะพาไปเจ้า”
“ไป....ไปสิ ผมอยากเห็นอยู่เหมือนกัน”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ต้องรีบสืบเท้าเดินตามหญิงสาวไปโดยทันทีทันใดเพราะเธอเดิน
จ้ำอ้าวออกไปด้วยความคล่องแคล้วว่องไวโดยไม่ได้สนใจเลยว่ายังมีคนเดินตามหลังมาติดๆ
“คุณเหม่ยลี่คอยผมด้วยสิ ผมเดินตามไม่ทันแล้วครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ แต่ยังเดินนำทางไปไร่ฝิ่นพลางแอบอมยิ้มอย่างเป็นสุข
62
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงหลังจากคนทั้งสองเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าเขาลำเนาไพรที่
ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย เสียงน้ำไหลดังแว่วมาจากลำธารเล็กๆ ที่ไหลเซาะเลี้ยว
ลดไปตามซอกหินผสมผสานกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเรือนยอดไม้ จึงทำให้บรรยากาศ
โดยรอบเริ่มอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆสักพักใหญ่สิ่งที่ค้นหามาเกือบชั่วโมงก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
หญิงสาวไม่รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่มองเห็นสักเท่าไหร่นัก เพราะเคยได้สัมผัสมาแล้วตั้งแต่เล็กจนโต
แต่ความรู้สึกของดร.ปารมีผิดกันราวฟ้ากับดิน เขามองตะลึงแทบไม่กะพริบตาพลางอุทาน
ออกมาอย่างลืมตัวว่า
“โอ้มายก๊อด! นี่คือไร่ฝิ่นจริงๆ เหรอครับ”
“ใช่แล้วเจ้า”
เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า ทุกพื้นที่ของภูเขาเกือบทั้งลูกนั้น ดารดาษไปด้วยต้นฝิ่น
ที่ชูช่อออกดอกบานสะพรั่งสีสดสวย และท้าทายความหนาวเย็นกับแสงแดดรำไรๆ เขาสูดอากาศ
บริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ผมสุดแสนเสียดายมากๆ เลยครับ ที่ฝิ่นถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษร้ายแรง ประเภท 2
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522โดยจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทแก่ผู้เสพ ซึ่งถ้าหากมองรูปลักษณ์ภายนอกของดอกฝิ่นอย่างผิวเผิน ส่วนใหญ่จะมองเห็นแค่เพียง
ความสวยงามเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันเป็นความสวยงามที่ซ่อนพิษร้ายอย่างน่ากลัว”
หญิงสาวยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้ายอมรับกับความเป็นจริง ดร.ปารมีกวาดสายตามองไปทั่วไร่ฝิ่น
ด้วยความเพลินตาเพลินใจ แต่แอบตั้งคำถามในข้อสงสัยเกี่ยวกับสีของดอกฝิ่นเขามาหยุดมอง
ตรงใบหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาแห่งมิตรไมตรีก่อนตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นว่า
“เออ....ผมขอถามหน่อยสิดอกฝิ่นแต่ละสีมีความแตกต่างกันอย่างไรครับ”
“อ๋อ....สีของดอกฝิ่นจะขึ้นอยู่กับความนิยมปลูกเจ้าซึ่งสีที่นิยมปลูกกันมากที่สุดคือสีขาว
สลับแดง เพราะกระเปาะฝิ่นจะให้น้ำยางมากกว่าสีอื่นๆ ส่วนสีขาวจะให้กระเปาะฝิ่นค่อนข้าง
ยาวและผิวบาง สีแดงจะให้กระเปาะฝิ่นกลมและผิวค่อนข้างหนา สำหรับสีม่วงผิวของกระเปาะฝิ่นจะไม่เรียบ จึงทำให้กรีดยากเจ้า”
“อืม....คุณนี่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องฝิ่นจริงๆเลยนะครับ”
หญิงสาวหัวเราะร่วนชอบใจในคำกล่าวชมจากนั้นคนทั้งสองเดินฝ่าเข้าไปในไร่ฝิ่นที่ขึ้นเต็มพื้นที่
ดร.ปารมีรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สัมผัสต้นฝิ่นอย่างใกล้ชิด เขาสูบดมกลิ่นหอมและลูบไล้ความอ่อนช้อย
ของกลีบดอกฝิ่นเบาๆ ด้วยความทะนุถนอมเพราะเมื่อมารู้ถึงความหมายสีของดอกฝิ่นแต่ละสี
ยิ่งทำให้เข้าใจและรู้ซึ้งซึ่งความเป็นมาเป็นไปของฝิ่นดิบได้อย่างละเอียดลออ
“….ความสวยงามที่ซ่อนพิษร้าย!.....”
เขาแอบพึมพำในใจ
เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ หลังจากหญิงสาวปล่อยทิ้งให้เขาชื่นชมไร่ฝิ่นแต่เพียงลำพัง
คนเดียว เธอเดินรี่เข้าไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มละไมพลางว่า
63
“อ้ายปารมี....อ้ายปารมีเจ้าวันพรุ่งนี้ที่หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งตรงภูเขาลูกโน้น เค้าจะมี
งานปีใหม่กันอ้ายอยากไปเที่ยวมั้ยเจ้า”
“งานปีใหม่....งานปีใหม่ชาวเขาเผ่าม้ง”
เขาทวนคำพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงงงวย
“น่อเป๊โจ่วฮ์ เป็นงานปีใหม่ชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 แต่ถ้าเป็นปฏิทิน
ไทยจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 2 และถ้าเป็นปฏิทินจีนจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 12เจ้า”
“แล้วคุณเหม่ยลี่รู้ได้ยังไง ว่าวันพรุ่งนี้หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งจะมีงานปีใหม่กัน”
“อ๋อ….พอดีเมื่อตะกี้นี้ข้าเจ้าไปเจอน้องๆกำลังช่วยกันกรีดกระเปาะฝิ่นอยู่ที่ปลายไร่ฝิ่น
ฝั่งกระโน้น คุยกันไปคุยกันมาน้องๆ เลยชวนข้าเจ้าไปเที่ยวงานปีใหม่เจ้า”
“โอ.เค. ไปก็ไปครับ ผมอยากเห็นงานปีใหม่ชาวเขาเผ่าม้งอยู่เหมือนกัน”
เขาตกปากรับคำด้วยความสนอกสนใจ สักพักหญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“เออ....ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราเจ้า”
แล้วเธอก็นิ่งเงียบไปไม่ยอมพูดต่อ จนเขารู้สึกอึดอัดกับกิริยาที่หญิงสาวหยุดนิ่งเขาสบตาเธอ
อย่างไม่ลดละสายตา ก่อนตัดสินใจเค้นถามด้วยเสียงแข็งว่า
“แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเราคืออะไร”
“เออ....มี....มีใครก็ไม่รู้กำลังตามหาพวกเรา หลังจากน้ำป่าไหลท่วมรีสอร์ทเจ้า”
ดร.ปารมีรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาเริ่มกังวลใจและขบคิดในใจว่า
“รู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่สองแล้วสินะที่เราหายไปจากรีสอร์ท ป่านนี้ปรางค์คงเป็นห่วง และคงออกตามหาเรากับเหม่ยลี่อย่างแน่นอน”
ตอนที่ 9
ทางด้านฝั่งรีสอร์ทวันนี้เป็นวันที่สองหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำป่าไหลท่วมรีสอร์ท
เจ้าหน้าที่รีสอร์ทเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านพักให้กลับมาเหมือนดังเดิม ส่วนทีมงานทั้ง
ชุดสำรวจและชุดนักวิชาการโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือ ต่างช่วยกัน
เก็บกวาดและทำความสะอาดห้องแล็บเท่าที่สามารถดำเนินการได้ ทุกคนเหมือนตายแล้ว
เกิดใหม่เพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์น้ำป่าเช่นนี้มาก่อนและยังนับว่าโชคดีที่ทุกคนไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ดร.ปารมีกับอาจารย์ใหญ่
ที่สูญหายไปเท่านั้น
“ปรางค์....ปรางค์จ๋าแล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีล่ะ จะหยุดแต่เพียงเท่านี้หรือว่า
จะลุยสู้กันต่อไป”
เพียงขวัญเอ่ยถามด้วยความวิตกกังวลถึงงานของโครงการดร.นวลปรางค์เงียบไปเป็นครู่ใหญ่
เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอสบสายตาเพื่อนรักด้วยแววตาสับสนและวิตกกังวล
เช่นกัน ก่อนตัดสินใจตอบคำถามไปว่า
“สู้สิจ๊ะ พวกเราก้าวเดินมาใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว จู่ๆจะมาหยุดและถอยได้ยังไงกัน”
“อืม....โอ.เค. สู้ก็สู้ พวกเราจะเดินไปให้ถึงเส้นชัยด้วยกัน”
เพียงขวัญกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนให้กำลังใจ แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจยังมีความสับสน
วุ่นวายมากยิ่งกว่าเพื่อนรัก เพราะใจหนึ่งรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง ที่การทำงาน
ของโครงการเกิดปัญหาและอุปสรรคมากมายส่วนอีกใจหนึ่งรู้สึกชิงชังอย่างไร้เหตุผลหลังจาก
ได้รับฟังเรื่องลับที่ดร.ชัยยศแอบเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์โดยเป็น
การคิดค้นน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์ที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า คัมแบ็ค ทู ไลฟ์
(Come back to life) ซึ่งเป็นโครงการที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ภายใต้โครงการสำรวจแหล่งซาก
ดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือที่ดร.นวลปรางค์เป็นหัวหน้าทีมงานโครงการ จึงเป็นสาเหตุทำให้
ความคิดของเธอเปลี่ยนไปและต้องเสแสร้งแกล้งทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด เพื่อกลบเกลื่อน
ความรู้สึกชิงชังที่ฝังลึกอยู่ในใจ
สักพักใหญ่เจ้าหน้าที่รีสอร์ทเข้ามาแจ้งว่าอุปกรณ์สื่อสารและสัญญาณดาวเทียมเกี่ยวกับ
ระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) พร้อมใช้งานสำหรับดินเนอร์มิตติ้ง เพื่อเป็นการ
รายงานผลการปฏิบัติงานของโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือให้กับท่าน
ศาสตราจารย์วิโรจน์ธรรมกาญจน์ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ
ซึ่งเป็นคุณพ่อของปรางค์ทราบ
“ไปกันเถอะปรางค์ เด็กมาตามแล้ว”
เพียงขวัญเอ่ยชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ใบหน้ารูปงามของดร.นวลปรางค์ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“อืม....”
เธอว่าพลางเดินตามเพื่อนสาวที่เดินนำลิ่วไปอย่างไม่คิดจะคอยเลยสักนิด จนเดินตามแทบไม่ทัน
65
แต่เป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ ก็คือต้องการรีบไปเจอชายคนรักที่คอยอยู่ห้องประชุมนั่นเอง
สองสาวเดินเข้าไปในห้องประชุมด้วยความเร่งรีบ เพราะหัวหน้าทีมงานทั้งชุดสำรวจ
และชุดนักวิชาการโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือนั่งคอยกันหน้าสลอน
“มากันแล้วสาวๆ เชิญนั่ง....เชิญนั่งครับ ทุกคนพร้อมกันหมดแล้ว”
ดร.ชัยยศกล่าวเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงจริงจังและยังทำตัวเหมือนอย่างกับเป็นหัวหน้าทีมงานโครงการเสียเองเพียงขวัญแอบปลาบปลื้มและคิดในใจ รู้สึกว่าวันนี้เขาจะอารมณ์ดีและมี
ความสุขกายสบายใจอย่างเห็นได้ชัด เธอส่งยิ้มหวานๆ ให้เขาด้วยความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อสองสาวทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย เขาเริ่มกล่าวขึ้นทันทีว่า
“วันนี้พวกเรานัดดินเนอร์มิตติ้งกัน เพื่อรายงานความคืบหน้าผลการปฏิบัติงานให้กับท่านผู้อำนวยการทราบแต่....เออ....”
เขาหยุดเงียบไป เมื่อกล่าวถึงผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ
ซึ่งเป็นคุณพ่อของปรางค์ สายตาเจ้าเล่ห์ของเขาอยู่ไม่นิ่ง กวาดมองไปทั่วห้องประชุมก่อนมาหยุดอยู่ตรงใบหน้ารูปงามของดร.นวลปรางค์
“แต่....อะไรเหรอคะคุณด็อกเตอร์ชัยยศ”
เพียงขวัญเสแสร้งแกล้งถามเพื่อหวังเอาใจ พร้อมส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับชายคนรักที่นั่งอมยิ้ม
แก้มปริอยู่ฝั่งตรงข้ามเขามองหน้าเพียงขวัญอย่างไม่เต็มใจนักพลางคิดในใจว่าถึงแม้จะรู้สึกรำคาญสักเพียงใด แต่ก็ต้องเสแสร้งแกล้งตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานๆ ให้เธอรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจ
“อ๋อ....ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีผมพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงรอท่านผู้อำนวยการ....
เออ....ผมอยากให้ปรางค์ช่วยอธิบายโครงการพิเศษของสถาบันให้ฟังสักหน่อย เพื่อว่าทุกคนจะได้รับรู้และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์หลักเกี่ยวกับโครงการพิเศษดังกล่าวเพราะอย่างน้อยจะได้หาย
ข้อข้องใจและข้อสงสัยต่างๆ ครับ”
น้ำเสียงของเขาที่เปล่งวาจาออกมาเมื่อสักครู่ ฟังแล้วราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงแต่แท้จริงแล้วน่าจะเชื่อได้ว่าต้องมีวาระซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายหลอกลวงให้ไขความลับโครงการพิเศษของสถาบันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอย่างแท้จริง
ดร.นวลปรางค์นิ่งอยู่เป็นพักและพยายามคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก่อนจะมีโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือ โครงการคัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)
ความสับสนวุ่นวายบังเกิดขึ้นในใจจนเครียดเธอถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับหลับตาลง
อย่างช้าๆ เพื่อทำใจยอมรับกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้แต่เมื่อมาคิดทบทวน
ดูอีกครั้งกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดได้รับความเสียหายและสร้าง
ความเดือดร้อนให้กับผู้ใดเลยสักนิดแล้วทำไมดร.ชัยยศถึงต้องแสดงอาการความอยากรู้อยากเห็น
และเกิดสนอกสนใจกับโครงการพิเศษของสถาบันอย่างเกินหน้าเกินตาจนเห็นได้ชัดโดยเฉพาะคำถามที่เขากล่าวอ้างว่าเพื่อให้ทุกคนหายข้อข้องใจและข้อสงสัยต่างๆ นั้น มันเหมือนมีอะไร
66
แอบแฝงซ่อนเร้น....เขามีวัตถุประสงค์อะไร?และอยากรู้ไปทำไม?
ดร.นวลปรางค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พลางกวาดตามองไปทั่วห้องประชุม ก่อนตัดสินใจ
ตอบคำถามของดร.ชัยยศไปว่า
“โอ.เค. ปรางค์จะอธิบายโครงการพิเศษของสถาบันให้ทุกคนฟัง เพราะจริงๆ แล้วมันก็
ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกค่ะ....”
เธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะเพื่อพยายามกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอ แต่มันก็ช่างแสนยากลำบากเสีย
เหลือเกินเธอฝืนยิ้มกว้างให้กับทุกสายตาที่จับจ้องมองมาเป็นจุดเดียวกัน ก่อนกล่าวต่อด้วย
น้ำเสียงจริงจังว่า
“คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)เริ่มต้นจากการเสียชีวิตของคุณแม่ปรางค์เมื่อปีที่แล้ว
คุณพ่อเสียใจเป็นอย่างมาก และยังทำใจยอมรับกับความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้ ท่านจึงให้ด็อกเตอร์ปารมีคิดค้นน้ำยาสำหรับฉีดเพื่อให้คุณแม่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเค้า
สามารถคิดค้นน้ำยาได้เป็นผลสำเร็จ แต่....แต่ว่า....”
เธอหยุดกล่าวแล้วนิ่งงันไปเป็นครู่ แต่ครั้งนี้สีหน้าแสดงความเศร้าหมองจนสังเกตได้
“แต่ว่า....อะไรเหรอปรางค์”
เพียงขวัญโพล่งถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“แต่ว่าคุณแม่ของปรางค์กลับฟื้นมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น”
น้ำเสียงของเธอเศร้าสร้อยจนน่าสงสารจับใจ เพียงขวัญบีบมือนุ่มเบาๆ เพื่อปลอบใจเพื่อนรัก
ก่อนเอ่ยขึ้นมาด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า
“ฉันเสียใจด้วยนะจ๊ะปรางค์”
ดร.นวลปรางค์พยักหน้ารับคำ พร้อมใบหน้าหวานที่ยังคงฉายแววโศกเศร้าอยู่ถึงแม้ว่าวันเวลา
จะผ่านไปเป็นปีแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของการสูญเสียบุพการีอันเป็นที่รักยิ่งนั้น ยังทำให้จิตใจ
อยู่ในภาวะโศกเศร้าและเสียใจอยู่ตลอดเวลา ความรักและความผูกพันดีๆ ภายในครอบครัว
ยังเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน และไม่อาจลบหายไปจากชีวิตได้เลยนัยน์ตาคู่งามของเธอ
มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อต้องการระบายความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจให้มลายหายไปโดยเร็ว
ที่สุด และพยายามลดความกดดันจากทุกสายตาที่ยังจ้องมองมาเป็นจุดเดียวกัน
“เออ....ผมอยากจะขออนุญาตถามปรางค์อีกสักข้อได้มั้ยครับ”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามด้วยกิริยาท่าทางและน้ำเสียงอย่างเป็นงานเป็นการ
“ได้สิคะ....เชิญค่ะ”
เธอหันไปตามเสียงเรียก พร้อมตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“CBL2 คืออะไรครับ”
มันเป็นคำถามที่เขาตั้งใจและตรงประเด็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่าเขารอเวลานี้มานานพอสมควร
เธอนิ่งงันไปพลางคิดในใจว่า
67
“การโต้ตอบที่ดีที่สุดคือการสงบนิ่งไม่โต้ตอบอะไรกลับไป เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิด
ความขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งจากนั้นจึงค่อยๆ แก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างมีสติและรอบคอบ
ให้ดีที่สุด”
ดร.นวลปรางค์กวาดสายตามองไปทั่วห้องประชุมอีกครั้งแล้วมาหยุดอยู่ตรงเพียงขวัญที่แอบลอบมองเธออยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้เพียงขวัญไม่เหมือนเดิม และมักจะชอบทำปฏิกิริยาแปลกๆ ที่เอนเอียงไปทางดร.ชัยยศจนเห็นได้ชัด เธอสบตาเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนตัดสินใจตอบคำถามด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า
“CBL2 เป็นน้ำยาชุบชีวิตที่สืบเนื่องมาจากการคิดค้นพบCBL1 ได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว
แต่น้ำยาที่ได้มาครั้งแรกยังไม่สมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจ เพราะจากการทดลองฉีดน้ำยากับร่าง
อาจารย์ใหญ่ซึ่งเป็นคุณแม่ของปรางค์ผลปรากฏว่าอาจารย์ใหญ่สามารถกลับฟื้นมีชีวิตอยู่ได้
แค่เพียง24ชั่วโมงเท่านั้นคุณพ่อของปรางค์จึงให้ด็อกเตอร์ปารมีไปศึกษาคิดค้นหาตัวยามาใหม่
เพื่อยืดเวลาให้มีชีวิตยาวนานมากขึ้นกว่าครั้งแรก จนกระทั่งเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา เค้าก็สามารถ
คิดค้นและปรับปรุงน้ำยาชุบชีวิตสูตรใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ โดย CBL2 สามารถยืดเวลาให้มีชีวิตยาวนานมากขึ้นกว่าครั้งแรกเกือบ 168 ชั่วโมงค่ะ”
“มีชีวิตอยู่ได้ 7 วันเลยเหรอ”
ดร.ชัยยศโพล่งถามขึ้นอย่างตกใจ
“ใช่ค่ะ มีชีวิตอยู่ได้เกือบ 168 ชั่วโมง หรือเกือบ 7 วัน”
“ว้าว! สุดยอด....สุดยอดจริงๆ เออ....แล้วตอนนี้ CBL2อยู่ที่ไหนเหรอ อยากเห็นจังเลยค่ะ”
ดร.นวลปรางค์ฉุดคิดสงสัยกับคำถามของเพื่อนรักว่าทำไมถึงอยากรู้อยากเห็น CBL2อย่างออก
หน้าออกตาซะขนาดนี้ เธอพยายามเก็บอาการโกรธเคืองและสงบนิ่งให้เป็นปกติเหมือนไม่มี
อะไรเกิดขึ้น เธอสบตาพร้อมยิ้มกว้างให้ ก่อนตอบคำถามไปว่า
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าCBL2อยู่ที่ไหน เพราะที่ผ่านมาพี่ด็อกเตอร์ปารมีน่าจะเก็บ
รักษาไว้ในห้องแล็บแต่ตอนนี้ห้องแล็บถูกน้ำท่วมพังเสียหายไปหมดแล้วดังนั้น CBL2 ก็น่าจะ
ถูกน้ำท่วมเสียหายไปด้วยเช่นกัน”
“แต่ผมคิดว่าน่าจะอยู่กับด็อกเตอร์ปารมีมากกว่านะครับ”
ดร.ชัยยศกล่าวแสดงความคิดเห็น โดยชี้แนะเฉพาะเจาะจงตัวบุคคลอย่างชัดเจน จนทุกคนใน
ห้องประชุมต่างฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์เสียงขรมระงม
“แต่เพียงขวัญคิดว่าไม่น่าจะอยู่กับพี่ด็อกเตอร์ปารมีหรอกค่ะ”
เพียงขวัญพูดแทรกขึ้นเสียงแหลมดัง และในคำกล่าวเหมือนมีอะไรแอบซ่อนเร้นชอบกล
“อ้าว....ถ้าไม่ได้อยู่กับคุณด็อกเตอร์ปารมีถ้าอย่างงั้นก็อาจจะมีทางเลือกที่เป็นไปได้อยู่
สองทางครับ”
สมศักดิ์หัวหน้าทีมงานสำรวจกล่าวเสริมแสดงความคิดเห็นบ้าง
68
“ยังไงเหรอคะหัวหน้าสมศักดิ์”
เพียงขวัญร้องถามเสียงใส
“เออ....สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มันเป็นแค่เพียงสมมุติฐานเท่านั้นเองครับ”
“โอ.เค. ว่ามาเลยหัวหน้าสมศักดิ์”
ดร.ชัยยศกล่าวแทนทุกคนด้วยความสงสัยใคร่รู้ในคำกล่าวของเขา
“คือ....ข้อแรกผมคิดว่า CBL2 อาจจะสูญหายไปกับน้ำป่าที่ไหลท่วมห้องแล็บ
เมื่อสองวันก่อน ส่วนข้อที่สอง....”
สมศักดิ์หยุดพูดพลางสบตาเจ้านายที่นั่งจ้องหน้าเขาเขม็ง แววตาที่ฉายความเจ้าเล่ห์
เพทุบายออกมาเมื่อสักครู่ ทำให้เขาต้องหยุดคิดให้รอบคอบอีกครั้งก่อนจะหลุดปากพูด
อะไรออกไปเพราะก่อนหน้านั้นเขากับดร.ชัยยศเคยคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง CBL2และตก
ปากรับคำที่จะทำงานลับด้วยกันโดยมีการแบ่งผลประโยชน์ให้กันคนละครึ่ง
“ข้อที่สองคืออะไรเหรอคะหัวหน้าสมศักดิ์”
เพียงขวัญร้องถามเสียงดัง จนทำลายบรรยากาศที่เงียบอยู่เมื่อกี้นี้หายไปหมดสมศักดิ์
สบตาเจ้านายอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ก่อนตัดสินใจตอบ
คำถามว่า
“ส่วนข้อที่สองCBL2 เป็นผลงานที่สำคัญของสถาบัน ซึ่งถ้าวิเคราะห์ดูจะเห็นว่า
อาจมีมูลค่ามากมายมหาศาลดังนั้นผมคิดว่าคุณด็อกเตอร์ปารมีคงไม่ปล่อยให้ CBL2
สูญหายไปกับน้ำป่าหรอกครับ....”
“เว้นเสียแต่ว่า....เค้าทดลองฉีดCBL2กับอาจารย์ใหญ่ไปแล้ว”
ดร.ชัยยศพูดแทรกขึ้นมาทันควันโดยไม่ได้สนใจมารยาททางสังคมเลยสักนิด เสียงวิพากษ์
วิจารณ์ดังระงมตามมาหลังจากเขาพูดจบ เขาหรี่ตามองไปรอบๆ ห้องประชุม พร้อมๆ กับ
ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าและท่าทางจริงจังว่า
“ผมขอให้ทุกคนหยุดพูดกันก่อน แล้วฟังผมทางนี้”
ทุกคนหยุดวิพากษ์วิจารณ์ และต่างนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรกันอีกทุกสายตามองไปยังเขา
เป็นจุดเดียวกัน เพื่อตั้งหน้าตั้งตาคอยฟังต่อ
“ถ้าด็อกเตอร์ปารมีทดลองฉีด CBL2 กับอาจารย์ใหญ่จริงๆ พวกคุณคิดว่าสิ่งที่เค้าทำ
อยู่นี้มันถูกต้องหรือมั้ยเพราะจริงๆ แล้วตามกฎระเบียบของสถาบันข้อ23 กล่าวว่า ถ้าแต่ละ
โครงการจะมีการทดลองใดๆ ก็ตาม เห็นชอบให้ดำเนินการได้อย่างเปิดเผยและจะต้องแจ้ง
ให้แต่ละโครงการรับรู้ด้วยแต่เอ....ผมนึกออกแหละผมลืมไปเลยว่าโครงการนี้มันเป็นโครงการ
ลับสุดยอดของสถาบัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องเปิดเผย และไม่ต้องทำการแจ้งให้แต่ละโครงการ
รับรู้ดังนั้นพวกคุณลองคิดดูสิ ตามที่ผมพูดมาทั้งหมดทั้งมวล มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้องครับ”
ทุกคนในห้องประชุมต่างทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อดร.ชัยยศพูดจบ บรรยากาศภายในห้องประชุม
เงียบสงบไม่มีผู้ใดปริปากพูดสักคน มันเงียบเสียจนสามารถได้ยินเครื่องปรับอากาศที่กำลัง
69
ปรับอุณหภูมิภายในห้องประชุมให้เย็นสบายแต่อุณหภูมิร่างกายของดร.นวลปรางค์นี่สิ
กลับพุ่งสูงเหมือนยืนอยู่กลางก่อไฟอันร้อนระอุ เธอนิ่งเงียบอยู่เพียงครู่ พลางค่อยๆ ผ่อน
ลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เพื่อลดความกดดันจากความเครียดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เธอฝืนยิ้มให้กับทุกสายตาที่ต่างจ้องมองกันเขม็ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันเป็นเพียงสมมุติฐานของหัวหน้าสมศักดิ์นะคะ”
“แต่สมมุติฐานของหัวหน้าสมศักดิ์อาจมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงก็ได้นะครับ”
ดร.ชัยยศรีบตอบโต้คำพูดดังกล่าวทันควัน จนลืมความเป็นเพื่อนและหญิงสาวที่เคยหมายปอง
เขาเดินไปเดินมารอบๆ โต๊ะเหมือนกำลังใช้ความคิด สักพักเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง
กว่าเดิมว่า
“ปรางค์คิดว่าตามที่ผมพูดมานั้น มันผิดหรือถูก”
“ปรางค์ก็หาคำตอบให้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ ว่ามันผิดหรือว่ามันถูก เว้นแต่พวกเราต้อง
รีบตามหาตัวพี่ด็อกเตอร์ปารมีให้พบโดยเร็วที่สุด แล้วทุกคำถามก็จะได้คำตอบจากปากของ
เค้าเอง”
“จะไปตามหาให้เสียเวลาทำไม ป่านนี้คงหนีไปไหนต่อไหนแล้วมั่ง”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
น้ำเสียงดร.นวลปรางค์เริ่มขุ่นมัว
“ทำไมปรางค์เข้าใจอะไรยากจังเอาอย่างงี้ดีมั้ย ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆ ปรางค์ยอมรับ
ได้หรือเปล่าล่ะ”
คนถูกถามสบตาเขาพลางว่า
“ยอมรับได้สิคะ”
ดร.ชัยยศหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความสะใจเขาพยายามใส่ร้ายป้ายสีดร.ปารมีให้ถึงที่สุด
เพราะเขาถือว่าดร.ปารมีเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ และเป็นมารหัวใจที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
“ในความคิดของผมด็อกเตอร์ปารมีคงหนีไปกับ CBL2 และอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน
เพราะตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เค้าน่าจะทดลองฉีด CBL2 กับอาจารย์ใหญ่ไปแล้วก็เป็นได้
และถ้าหากผลการทดลองประสบความสำเร็จจริงๆปรางค์ลองคิดดูก็แล้วกันว่า CBL2 จะมีมูลค่า
มหาศาลขนาดไหน”
“คุณอย่าคิดว่าคนอื่นเค้าจะทำเหมือนอย่างกับคุณสิ....ดร.ชัยยศ”
“ท่านผู้อำนวยการ!....”
เสียงของศาสตราจารย์วิโรจน์ ธรรมกาญจน์ แทรกออกมาจากโทรทัศน์ที่ผ่านสัญญาณดาวเทียม
ในการประชุมทางไกล (VideoConference)ดร.ชัยยศหน้าถอดสีซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
ความโกรธเคืองที่บังเกิดขึ้นมีมากกว่าความอับอายขายขี้หน้าเสียอีก เขาค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่ง
เก้าอี้ของตัวเอง ก่อนนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาอะไรกับใครแล้วห้องประชุมทั้งห้องเงียบสนิทไปทันที
70
“ท่านผู้อำนวยการมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนื่ย แหม....มาเสียเงียบเชียว”
ดร.นวลปรางค์กล่าวทักทายผู้เป็นบิดาด้วยอารมณ์ครื้นเครง เพื่อเรียกบรรยากาศครึกครื้นกลับคืนมาดังเดิมศาสตราจารย์วิโรจน์กระแอมไอออกมาเบาๆ พลางว่า
“ยังมาทันได้ยินอะไรบางสิ่งบางอย่างก็แล้วกัน….”
น้ำเสียงและท่าทางดุดันจนน่าเกรงขามดร.นวลปรางค์รู้ดีว่านี่ยังอยู่ในอารมณ์โกรธเคือง
เธอสบสายตากับผู้เป็นบิดาเหมือนรู้ใจซึ่งกันและกัน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“แต่มันยังเป็นแค่เพียงสมมุติฐานของหัวหน้าสมศักดิ์เท่านั้นเองค่ะท่านผู้อำนวยการ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะกระจ่างชัดเจนก็ต่อเมื่อพบตัวพี่ด็อกเตอร์ปารมีค่ะ”
“อืม....แล้วมัวชักช้าทำอะไรกันอยู่ทำไมไม่รีบออกไปตามหากันสักทีล่ะอย่าทำอะไร
ให้คนอื่นเข้าใจผิดยิ่งคนประเภทคิดเองเออเองโดยไร้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน มันจะสร้างความ
เสียหายให้กับสถาบันได้”
ศาสตราจารย์วิโรจน์หยุดเอ่ยพลางมองทุกคนด้วยแววตาจริงจัง แต่ในคำพูดคำจาของเขาเหมือน
เหน็บแนมใครบางคนให้รู้สึกตัวดร.ชัยยศนิ่งเงียบนั่งขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูนด้วยความ
เคียดแค้น คำกล่าวกระทบกระแทกแดกดันของผู้อำนวยการก่อให้เกิดความเจ็บแค้นฝังลึกในใจ
เขาหรี่ตามองไปยังจอโทรทัศน์ที่ปรากฏใบหน้าศาสตราจารย์วิโรจน์ ก่อนเอ่ยวาจาเสียงแผ่วเบาว่า
“ท่านผู้อำนวยการครับ....สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น ผมพูดตามสมมุติฐานของหัวหน้า
สมศักดิ์ แต่ว่าจะเท็จจริงประการใดก็ต้องรีบตามหาด็อกเตอร์ปารมีให้พบโดยเร็วที่สุดซึ่งผม
เห็นด้วยตามที่ปรางค์เสนอมาเมื่อสักครู่นี้ครับ”
“ใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้นถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่คิดเองเออเองโดยไร้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน
แต่ผมต้องขอชื่นชมคุณมากเลยนะด็อกเตอร์ชัยยศ ที่สามารถจำกฎระเบียบของสถาบันได้อย่าง
ถูกต้องแม่นยำ และติดตามผลงานโครงการของคนอื่นได้ดีเยี่ยมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง….
เหมาะสมแล้วที่ผมมอบหมายหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติงานของโครงการต่างๆ ให้คุณเป็น
ผู้ดูแล”
“ครับ....ท่านผู้อำนวยการ”
ปฏิกิริยาและน้ำเสียงที่ตอบรับคำ มันซ่อนเร้นความเจ็บแค้นเกลียดชังที่ถูกกระแนะกระแหน
เหน็บแนม เขาสบตากับหัวหน้าสมศักดิ์ที่แอบลอบมองมาเช่นกัน เขาทั้งสองพยักหน้าให้กัน
อย่างมีลับลมคมในแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่
“พรุ่งนี้แปดโมงเช้าจะเริ่มออกตามหาแล้วค่ะท่านผู้อำนวยการ”
ดร.นวลปรางค์รายงานแผนการทำงานให้ผู้เป็นบิดาฟัง
“อืม....ดีมาก”
“โดยแผนแรกพวกเราจะไปตามหาแถวๆ หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง เพราะเทือกเขาบริเวณนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาเผ่าม้งค่ะ”
71
“ทำไมต้องไปตามหาที่หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งด้วย”
ศาสตราจารย์วิโรจน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“อ๋อ....คืออย่างนี้ครับ พอดีลูกน้องของหัวหน้าสมศักดิ์ที่มาทำงานให้กับพวกเรา
บางคนเป็นชาวเขาเผ่าม้ง โดยเค้าเล่าว่าตอนเช้ามืดทุกคนในหมู่บ้านต่างเห็นกลุ่มควันลอย
ออกมาจากกระท่อมร้าง ซึ่งตามปกติจะไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้บริเวณนั้นแต่อย่างใด
เพราะมีข่าวร่ำลือกันมานมนานว่าเป็นกระท่อมผีบรรพบุรุษ ดังนั้นผู้นำหมู่บ้านหวาดวิตกกลัว
จะเกิดอาเพศขึ้นมาอีกหลังจากเกิดน้ำป่าไหลเข้าท่วมหมู่บ้านเมื่อสองวันก่อน แต่สำหรับ
ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่อาเพศอะไรหรอก และถ้าให้สมมุติฐานอย่างคร่าวๆ อาจจะมีใครบางคน
เข้าไปอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้นเพื่อความมั่นใจว่ามันคืออะไรกันแน่ในวันพรุ่งนี้เช้าผม ปรางค์
เพียงขวัญ และหัวหน้าสมศักดิ์จะเดินทางเข้าไปดูกัน อีกอย่างที่หมู่บ้านจะจัดงานปีใหม่
ของชาวเขาเผ่าม้งพอดี ผู้นำหมู่บ้านจึงเชิญพวกเราไปร่วมงาน และยินดีอำนวยความสะดวก
ตามหาคนหายให้ด้วยครับท่านผู้อำนวยการ”
“อืม....ฟังแล้วมีเหตุผลแต่จะทำอะไรก็อย่าไปทำลายความเชื่อความศรัทธาของ
ชาวเขาเผ่าม้งก็แล้วกัน เออ....คุณแน่ใจมากน้อยแค่ไหนว่าอาจจะเป็นคนของพวกเรา”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ”
“คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมมั่นใจครับ....ท่านผู้อำนวยการ”
ดร.ชัยยศตอบรับเสียงหนักแน่นเพื่อแสดงความมั่นใจ
“แต่ก่อนหน้านั้นผมให้ลูกน้องที่เป็นชาวเขาเผ่าม้งติดประกาศทั่วหมู่บ้าน เพื่อตามหา
คนหายพร้อมรางวัลสำหรับผู้พบเห็น เพราะช่วงงานปีใหม่ชาวเขาเผ่าม้งน่าจะมีคนเยอะอยู่
พอสมควร ดังนั้นโอกาสที่จะพบคงมีมากขึ้นครับท่านผู้อำนวยการ”
สมศักดิ์หัวหน้าทีมงานสำรวจกล่าวเสริม
“ถ้าจะให้ดี คุณเพียงขวัญก็ควรบันทึกภาพและบันทึกวีดีโองานปีใหม่ชาวเขาเผ่าม้ง
เพื่อเก็บเป็นข้อมูลด้วยนะ โอกาสดีๆ อย่างนี้หายากมาก”
“ค่ะ....ท่านผู้อำนวยการ”
เพียงขวัญตอบรับเสียงใส แต่สายตาจับจ้องไปยังคนรักที่สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะพึ่ง
ผ่านเหตุการณ์วิกฤติมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ขายผ้าเอาหน้ารอดได้สำเร็จ แต่ครั้งต่อไปจะพูดจา
อะไรก็ควรรอบคอบมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแผนการที่วางไว้จะพังพินาศหมด
“อืม....เอาล่ะ ไปพักผ่อนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีงานสำคัญคอยอยู่ ผมขอฝากความหวัง
ครั้งนี้ไว้กับทุกท่านด้วย....ผมขอให้ทุกท่านจงโชคดี”
“ครับ/ค่ะ....ท่านผู้อำนวยการ”
ตอนที่ 10
วันที่สามของการกลับมามีชีวิตใหม่ (72 ชั่วโมง)
ณ ลานกลางหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งเช้านี้ดารดาษไปด้วยผู้คนที่มีเชื้อสายชาติพันธุ์ม้ง
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสกับงานฉลองวันปีใหม่ และสนุกสนานกับการละเล่นต่างๆที่แตกต่างกันไปตามวัยและอายุเด็กผู้ชายหลายสิบคนยืนล้อมรอบกันเป็นวง ซึ่งกำลังแข่งขันเล่นลูกข่าง
หรือ เดาต้อลุ๊และถัดไปอีกหน่อยเป็นวงผู้ใหญ่ที่กำลังแข่งขันเล่นลูกข่างเช่นกัน ถ้าใครตีแม่น
หรือหมุนได้นานกว่าทุกคนก็จะเป็นผู้ชนะ ส่วนบริเวณที่เป็นพื้นที่ลาดเอียงกำลังมีการแข่งขันล้อเลื่อนไม้ หรือ ฟอร์มูล่าม้ง หรือ The Wooden Kart Racingถือเป็นภูมิปัญญาที่ดัดแปลงจาก
รถเข็นผลผลิตทางการเกษตร ไม้ฟืน และน้ำซึ่งเป็นการละเล่นสำหรับผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ส่วนหนุ่มสาวจะเล่นโยนลูกช่วง (ntsumpob) หรือ จุเป๊าะโดยลูกช่วง (pob) ทำมาจากเศษผ้า
สีดำ ลักษณะกลมเหมือนลูกบอล และมีขนาดเล็กพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียวได้ โดยฝ่ายชาย
และฝ่ายหญิงจะยืนเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งพร้อมหันหน้าเข้าหากัน แต่มีระยะห่างกัน
พอสมควร เป็นการละเล่นที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกันในขณะโยนลูกช่วง บางคู่จะ
สนทนาซักถามเพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน หรือร้องเพลงโต้ตอบกันเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน
เสียงแคนเจื้อยแจ้วแว่วมาแต่ไกล แล้วดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะและระยะทางที่คนทั้งสอง
เดินลัดเลาะชายป่าจนกระทั่งมาถึงตีนดอยที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏเป็นลานกว้างของ
หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง
“เสียงเฆ่ง....เสียงเฆ่งนี่”
หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงแคนนี้มานานเกือบศตวรรษ
“เสียงอะไรเหรอครับคุณเหม่ยลี่”
ดร.ปารมีเอ่ยถามพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เสียงเฆ่ง....อ๋อ....เสียงเฆ่งก็คือเสียงแคนเจ้า”
เขาทำหน้าฉงนสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน
“เฆ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่เก่าแก่และมีมาช้านานแล้ว ทำจากลำไม้ไผ่และไม้
เนื้อแข็งเจ้า พ่อของข้าเจ้าเคยเป่าและเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า สมัยตะก่อนมีม้งครอบครัวหนึ่ง
มีพี่น้องเจ็ดคน วันหนึ่งพ่อได้เสียชีวิตลง และลูกๆ ต้องการจัดพิธีงานศพให้สมเกียรติ แต่ไม่รู้ว่า
จะทำอย่างไรดี จึงไปขอคำปรึกษากับเทพเจ้าซียี ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยเหลือ
มวลมนุษย์บนโลก และเป็นผู้กำหนดพิธีกรรมที่สำคัญของคนม้ง เทพเจ้าซียีแนะนำให้ลูกคนหนึ่ง
ไปหาหนังสัตว์มาทำกลองไว้ตี และอีกหกคนไปหาลำไม้ไผ่มาคนละอัน ที่มีขนาดและความยาว
ไม่เท่ากัน แล้วนำมาเรียงลำดับตามขนาดและอายุของแต่ละคน เมื่อทุกอย่างพร้อมให้คนหนึ่ง
ตีกลองและอีกหกคนเป่าลำไม้ไผ่ของตนเป็นเพลงเดียวกัน พร้อมกับเดินวนไปรอบๆ คนตีกลอง
หลังจากนั้นพี่น้องทั้งเจ็ดคนก็กลับไปจัดพิธีงานศพให้พ่อตามที่เทพเจ้าซียีแนะนำอย่างสมเกียรติ
ต่อมามีพี่น้องคนหนึ่งได้ตายจากไป ทำให้เหลือคนเป่าลำไม้ไผ่ไม่ครบหกคน จึงไปขอคำปรึกษา
73
กับเทพเจ้าซียีอีกครั้ง และแนะนำให้รวมลำไม้ไผ่ทั้งหกเป็นชุดเดียวกัน แล้วเป่าเพียงคนเดียว
เท่านั้น ส่วนคนอื่นให้ช่วยกันถวายเครื่องบูชาและอาหาร แล้วถือปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบัน
อ้ายปารมีรู้มั้ย....ลำไม้ไผ่ทะลุปล้องทั้งหกมีชื่อเรียกด้วยนะเจ้า”
“อ้าว....เหรอ แล้วมีชื่อเรียกอะไรกันบ้างละครับ”
ดร.ปารมีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“อันแรกเรียกว่า ซย้งตั๋วจื๋อ ส่วนอีกห้าอันจะเรียกว่า ซย้งเฆ่งเจ้า”
คนฟังยิ้มหวานให้ด้วยความชื่นชอบในความรอบรู้ของหญิงสาว เธอสบตากับเขาอย่างเอียงอาย
ก่อนเชิญชวนน้ำเสียงอ่อนหวาน
“อ้ายปารมีอยากเล่นจุเป๊าะมั้ยเจ้า”
“จะดีเหรอ ผมกลัวจะไปเกะกะคนอื่นเค้าเปล่าๆ”
“ไปเตอะ ม่วนดีนะเจ้า”
หญิงสาวว่าพลางเดินนำหน้าออกไปยังลานกว้างตรงบริเวณที่คู่หนุ่มสาวกำลังเล่นโยนลูกช่วง
กันอยู่ด้วยความสนุกสนาน เช้าวันนี้เขาพึ่งจะสังเกตมองเห็นหญิงสาวได้อย่างถนัดถนี่ เรือนร่าง
เล็กๆของเธออยู่ในชุดที่ใหม่และสะอาดหมดจดถึงแม้ว่าสีของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่จะ
หมองลงไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังแสดงอัตลักษณ์ของเธอได้อย่างชัดเจน หนุ่มสาวทุกคนต่าง
แต่งกายอยู่ในชุดชาวเขาเผ่าม้งโดยเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้ากำมะหยี่ ตัวสั้นแขนยาวจรดข้อมือสีดำแต่ชายเสื้ออยู่ระดับเอว ปกสาบเสื้อด้านขวาจะป้ายเลยมาทับซีกซ้ายของตัวเสื้อ ตลอดจนแนว
สาบเสื้อใช้ด้ายสีและผ้าสีปักลวดลายต่างๆ สวยงามสะดุดตา รวมทั้งปลายแขนและชายเสื้อ
อีกด้วยส่วนกางเกงใส่สีเดียวกับเสื้อมีลักษณะขากว้างมากแต่ปลายขาแคบลง เป้ากางเกงจะ
หย่อนลงมาจนต่ำกว่าระดับเข่า และยาวเกือบถึงปลายขากางเกง รอบเอวจะมีผ้าสีแดงพันทับ
กางเกงไว้และนิยมคาดเข็มขัดทับผ้าสีแดงเกือบทุกคนสำหรับเด็กสาวสวมเสื้อผ้ากำมะหยี่
แขนยาวสีน้ำเงินเข้มหรือสีดำ ชายเสื้อยาวถูกปิดด้วยกระโปรงจีบรอบตัวที่ทำเป็นลวดลายต่างๆ
ทั้งปักและย้อม รอยผ่าของกระโปรงที่อยู่ด้านหน้าจะมีผ้าเหลี่ยมผืนยาวปักลวดลายปิดรอยผ่า
และมีผ้าสีแดงคาดเอวทับอีกทีหนึ่ง โดยผูกปล่อยชายเป็นหางไว้ด้านหลังส่วนสาบเสื้อทั้งสอง
ข้างจะปักลวดลายหรือขลิบด้วยผ้าสีด้วยเด็กสาวทุกคนจะพันแข้งด้วยผ้าสีดำอย่างประณีตซ้อน
เหลื่อมเป็นชั้นๆ ซึ่งเป็นการแสดงอัตลักษณ์ของชาวเขาเผ่าม้งเขียวหรือม้งดำหรือม้งจั้ว
อย่างโดดเด่นชัดเจน
ดร.ปารมีจับคู่เล่นโยนลูกช่วงกับเหม่ยลี่อย่างคล่องแคล่วว่องไว หลังจากศึกษาดูคู่หนุ่มสาว
เล่นโยนลูกช่วงอยู่พักใหญ่แววตาของเหม่ยลี่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสนุกสนานกับการ
เล่นโยนลูกช่วงครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัดเพราะเธอไม่ได้เล่นมานานเกือบศตวรรษเขาโปรยยิ้มหวาน
ให้เธอก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“เออ....คุณเหม่ยลี่ผมพึ่งสังเกตเห็นทุกคนใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนกันหมดแล้วยังรวมถึง
คุณด้วย”
74
“อ๋อ....ใช่แล้วเจ้าน่อเป๊โจ่วฮ์ทั้งทีพวกเราชาวเขาเผ่าม้งทุกคนจะใส่เสื้อผ้าใหม่
ที่ทอเองกับมือจากเส้นใยกัญชงเจ้า”
“เส้นใยกัญชง!....”
เขาอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนเอ่ยถามต่ออีกว่า
“เส้นใยกัญชงที่ทำมาจากต้นกัญชาใช่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่เจ้า….กัญชาก็คือกัญชา....กัญชงก็คือกัญชงเจ้า”
หญิงสาวตอบพร้อมเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่ดร.ปารมียังแสดงสีหน้างงงัน
“คืออย่างงี้เจ้า....อ้ายปารมีจะต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า กัญชากับกัญชง
มันเป็นพืชคนละชนิดกันถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างภายนอกคล้ายคลึงกันก็ตาม แต่ยังมีบางส่วน
และเอาไปใช้ประโยชน์แตกต่างกันเจ้า”
เขาหัวเราะแล้วพยักหน้ารับหงึกๆ เพื่อแสดงว่าเข้าใจในคำกล่าวของเธอ
“อ๋อ....ถ้างั้นคุณเหม่ยลี่ช่วยอธิบายให้ชัดเจนมากกว่านี้หน่อยได้มั้ยครับ”
หญิงสาวสบสายตาเขาพร้อมอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากแล้วว่า
“สรุปง่ายๆ ก็คือ ปลูกกัญชาเพื่อเอาใบยอดช่อดอก และกิ่งก้านไปตากแดดจนแห้งสนิท แล้วบดให้ละเอียดสำหรับใช้สูบ ส่วนกัญชงปลูกเพื่อเอาเส้นใยจากลำต้นทำเป็นเส้นด้าย
และเชือกสำหรับใช้ทอเป็นผ้าเจ้า”
“ผ้าทอจากเส้นใยกัญชง!....”
เขาอุทานเสียงดังอย่างลืมตัวจนคู่หนุ่มสาวที่กำลังเล่นโยนลูกช่วงอยู่บริเวณใกล้เคียงต่างหัน
มามองเป็นจุดเดียวกัน หญิงสาวเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนว่า
“ทำไมอ้ายต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น....ข้าเจ้าขอรับรองว่าผ้าทุกผืนจะทอจากเส้นใย
กัญชงจริงๆเพราะมันมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของพวกเราชาวเขาเผ่าม้งมาตั้งแต่เกิดจนตายโดยบรรพบุรุษได้อบรมสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักปลูกและเอามาใช้ประโยชน์มายาวนานจนถึง
ทุกวันนี้เจ้า”
“อือ....ที่ผ่านมาผมเองไม่เคยรู้เรื่องผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชงมาก่อนเลยจริงๆพึ่งจะมารู้ก็ตอนนี้แหละและยิ่งมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งด้วยแล้ว ผมยิ่งทึ้งมากเลยครับ”
หญิงสาวส่งยิ้มหวานๆ ไปให้อย่างมิตรไมตรี ก่อนเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบและจริงจังว่า
“พวกเราชาวเขาเผาม้งจะเรียกกัญชงว่า หมั้ง หรือ ม่าง โดยมีความเชื่อว่าเย่อโซ๊ะ....”
“เดี๋ยว....เย่อโซ๊ะคืออะไรเหรอครับ”
เขาร้องถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“น่าจะแปลว่าผู้วิเศษหรือไม่ก็เทพเจ้าอะไรทำนองนั้นเจ้า”
“อืม....โอ.เค. ....ต่อครับ”
“เย่อโซ๊ะจะเป็นผู้สร้างโลก สร้างคน และให้พันธุ์พืชแก่คนไว้ใช้ประโยชน์ทำมาหากิน
โดยเฉพาะหมั้งถือว่าเป็นพืชมงคลที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างโลกของคน โลกของ
75
เทพเจ้า และโลกของบรรพบุรุษเจ้า”
“อืม....เป็นเรื่องของความเชื่อล้วนๆ แล้วยังไงต่อครับ”
หญิงสาวแอบปรายตามองใบหน้าหล่อคมคายของเขาด้วยแววตาอ่อนหวาน ก่อนเริ่มอธิบาย
ต่ออีกว่า
“ต้นหมั้งหนึ่งต้นสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้ ตั้งแต่ใบใช้ทำเป็นใบชาเมล็ดตากแห้ง
บดละเอียดเป็นยาบำรุงเลือด แต่ถ้าเคี้ยวสดๆ เป็นยาสลายนิ่ว ส่วนเปลือกจะลอกออกจาก
ลำต้นทำให้เป็นเส้นใยแล้วเอามาต่อกันเป็นเส้นด้ายและเชือกเพื่อทอเป็นผ้า สำหรับใช้ทำเสื้อ
กระโปรงกางเกงรองเท้าเพื่อใส่ในงานมงคล งานปีใหม่ งานศพและทำด้ายสายสิญจน์เพื่อ
ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น ผูกข้อมือให้กับเด็กเกิดใหม่ และพิธีอัวเน้งเจ้า”
เธอหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า
“อ้ายปารมีไม่ต้องถามหรอก ข้าเจ้ากำลังจะเล่าให้ฟังต่อเจ้า”
เขาพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบพลางแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“พิธีกรรมต่างๆ ของพวกเราชาวเขาเผ่าม้งจะมีความเชื่อเรื่องผีเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ
ผีบรรพบุรุษ เพราะถือว่าเป็นผีที่คอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข
และทำมาหากินค้าขายเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า สำหรับพิธีอัวเน้ง หรือ ผีเน้งเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ
อย่างมาก ผีเน้งจะต่อสู้กับผีร้ายเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโดยผ่านร่างของหมอผีทรงหรือหมอผีคาถา
ซึ่งเป็นการแลกขวัญหรือวิญญาณของสัตว์ กับขวัญหรือวิญญาณของผู้ป่วยให้กลับคืนสู่ร่างเจ้า”
“แล้วสัตว์อะไรที่ใช้แลกขวัญหรือวิญญาณละครับ”
เขาเอ่ยถามขณะโยนลูกช่วงไปให้หญิงสาว
“อ๋อ....จะเป็นหมู ไก่ หรือวัวก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับครอบครัวนั้นๆ เจ้า”
“อืม....ข้อมูลชัดเจน”
“ยัง....ยังไม่หมด พิธีอัวเน้งจะทำได้สองแบบเจ้า”
“อ้าว....ผมคิดว่าหมดแล้วเสียอีก”
หญิงสาวหัวเราะขันเบาๆ อย่างชอบใจ ก่อนอธิบายต่อขึ้นว่า
“แบบแรกเป็นพิธีอัวเน้งมัวดู้เพื่อเลี้ยงผีหรือเซ่นไหว้ผีให้กับผู้ป่วยเรื้อรังที่มักชอบทำผิด
อยู่บ่อยๆจนเป็นต้นเหตุให้ผีไม่พอใจและลงโทษด้วยการให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนแบบที่สอง
เป็นพิธีอัวเน้งมัวเด้อเพื่อเลี้ยงผีหรือเซ่นไหว้ผีให้กับผู้ป่วยที่เจ็บไข้ได้ป่วยตามปกติซึ่งจากคติ
ของบรรพบุรุษที่เล่าสู่กันมาตั้งแต่โบราณ เพื่ออบรมสอนสั่งลูกหลานให้จดจำมาถึงทุกวันนี้มีว่า
ขวัญหรือวิญญาณของคนนั้น เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง หากขวัญมีความสมบูรณ์ก็เท่ากับว่า
ต้นไม้นี้แข็งแรงมีชีวิตชีวา แต่หากว่าขวัญอ่อนหรือหากผีเอาไป ต้นไม้ต้นนี้ก็จะเหี่ยวเฉา
เมื่อมนุษย์ยังเด็ก ต้นไม้ต้นนี้ก็เปรียบเสมือนต้นกล้า หรือต้นไม้เล็กๆ ที่จะต้องได้รับการดูแล
เอาใจใส่เป็นพิเศษ ด้วยการพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ เป็นต้น ชาวม้งจึงถือว่าการเรียกขวัญเป็น
ประจำทุกปี หรือการทรงเจ้าเป็นการดูแลรักษาต้นไม้แห่งชีวิต และเมื่อต้นไม้ถูกลมพัดแรง
76
แล้วเอียนเอนจะล้ม เปรียบเสมือนกับผีป่าที่ได้นำขวัญไป ก็จะมีการฆ่าสัตว์ส่วนหนึ่งเพื่อนำขวัญ
ของสัตว์มาเป็นไม้ค้ำไม่ให้ต้นไม้ล้ม”
“อืม....ถ้าอย่างงั้นสรุปง่ายๆ ก็คือ วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งสืบทอดมาจากอารยธรรมจีนโบราณอย่างแน่นอน”
“ถูกต้องแล้วค่ะพี่ด็อกเตอร์ปารมี”
เขาหันหลังกลับไปตามเสียงนั้นอย่างว่องไว พร้อมอุทานเรียกชื่อของใครบางคนที่คุ้นหูว่า
“ปรางค์!....”
คนถูกเรียกส่งยิ้มละมุนให้ แต่แอบค้อนเล็กๆ ด้วยความรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้ว่าในใจจะลุกเป็นไฟก็ตาม
“สบายดีมั้ยคะ”
คนถูกถามหยุดเล่นโยนลูกช่วงก่อนตอบคำถาม
“สบายดีครับ….แล้วปรางค์ล่ะสบายดีมั้ย”
ดร.นวลปรางค์เงียบเฉยไม่ยอมตอบคำถาม เธอสบตาอดีตชายคนรักด้วยแววตาที่สื่อออกมา
บ่งบอกถึงความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย เพราะในช่วงวันเวลาที่ผ่านมาเธอเสมือนอยู่ท่ามกลาง
มรสุมอันแสนน่ากลัว ทุกคนที่อยู่รอบกายโดยเฉพาะดร.ชัยยศนับวันเขายิ่งแสดงพฤติกรรมเจ้าเล่ห์เพทุบายมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เหลียวซ้ายแลขวาหวังจะพึ่งพาอาศัย
ใครสักคนก็แทบไม่ได้เลยจริงๆใจหนึ่งอยากเข้าไปโอบกอดเขาให้รู้สึกอบอุ่นใจ แต่ก็ต้องยับยั้ง
ชั่งใจเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจเพราะเห็นเขาจับคู่เล่นโยนลูกช่วงกับผู้หญิงสาว
สวยนางหนึ่ง เจ้าหล่อนอยู่ในชุดชาวเขาเผ่าม้งอันแสดงอัตลักษณ์อย่างงดงามหน้าตาหมดจด
ขาวเนียนใสไร้เครื่องประทินผิวอย่างเห็นได้ชัด ผมขมวดเป็นมวยรับกับใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
แล้วใส่ต่างหูและห่วงคอทำจากเงินแท้เรียงซ้อนกันหลายๆ วง อันแสดงให้เห็นถึงฐานะครอบครัว
ร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และมีอำนาจทางสังคมพอสมควรดร.นวลปรางค์แอบชำเลือง
ตามองอดีตชายคนรักด้วยใจด้านชา ก่อนตัดสินใจตอบคำถามไปว่า
“สบายดีค่ะ….แต่เอ่อ....”
ส่วนเขาเองเหมือนจะรู้ใจอดีตหญิงคนรักเสียเหลือเกิน จึงชิงรีบพูดโพล่งออกมาแก้ต่างให้ตัวเอง
ทันควันว่า
“ปรางค์ไม่ต้องพูดหรอก ผมรู้นะว่าปรางค์คิดจะถามอะไร เอาเป็นว่าผมขอโทษปรางค์
และทุกๆ คนด้วยที่ทำให้เดือดร้อนไปตามๆ กัน แล้วถ้าปรางค์อยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ
ทั้งหมดผมขอไปชี้แจงรายละเอียดทุกอย่างให้ทุกคนฟังที่รีสอร์ทครับ”
“ดีมากเลยครับด็อกเตอร์ปารมี”
ดร.ชัยยศพูดแทรกขึ้นด้วยเสียงเข้มจริงจัง ถึงแม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาททางสังคมก็ตามที แต่เขาไม่ได้สนอกสนใจถึงความรู้สึกของคนในวงสนทนาแต่อย่างใด
77
“ทุกคนก็อยากรู้ความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเหมือนกัน โดยเฉพาะน้ำยา
ชุบชีวิตCBL2กับอาจารย์ใหญ่แล้วตอนนี้ไม่ทราบว่า CBL2 กับอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหนกัน
เหรอครับด็อกเตอร์ปารมี”
เขายังถามต่ออย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้ใดทั้งสิ้นดร.นวลปรางค์สบตาดร.ปารมีเหมือนจะสื่อสาร
ความในใจอะไรบางอย่างและเขาเองก็ช่างรู้ใจเธอเสียเหลือเกิน จึงรีบพูดตัดบทขึ้นว่า
“CBL2 กับอาจารย์ใหญ่ปลอดภัยดี....ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงครับ และอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
จากพวกเราแต่เอ....ผมรู้สึกว่าด็อกเตอร์ชัยยศจะเป็นห่วงเป็นใย CBL2 กับอาจารย์ใหญ่มาก
เกินไปรึเปล่าหรือว่า....มีอะไรมากเกินกว่าหน้าที่ของผู้ตรวจสอบการปฏิบัติงานโครงการของ
สถาบันเหรอครับ”
ดร.ปารมีพูดประชดประชันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเช่นกัน ดร.ชัยยศบดกรามจนเป็นสันเพราะ
คำพูดส่อเสียดของเขาเหมือนหอกดาบทิ่มแทงให้เจ็บแค้นในใจความโกรธเกลียดที่ถูกต่อว่าซึ่งๆ หน้า และการรู้เท่าทันในความคิดของเขายิ่งเพิ่มความเกลียดชังและเคียดแค้นมากขึ้น
เป็นทวีคูณเขาหรี่ตาลงมองพื้นดินเพื่อระงับความโกรธแค้นขุ่นเคือง ก่อนเปล่งวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงจังว่า
“หน้าที่ของผมคือผู้ตรวจสอบการปฏิบัติงานโครงการของสถาบันทุกโครงการ เพราะฉะนั้น
ผมย่อมมีสิทธิ์ตรวจสอบและห่วงใยผลงานของทุกโครงการ แต่ประเด็นหลักที่สำคัญก็คือผลสำเร็จ
ที่ได้มานั้น มันต้องคุ้มค่ากับเงินงบประมาณของสถาบัน และผลประโยชน์ที่สถาบันจะได้รับทั้งหมด”
“จริงเหรอ....ด็อกเตอร์ชัยยศเป็นห่วงผลประโยชน์ของสถาบัน ถึงขนาดจะต้องรื้อค้นหา
ผลงานของคนอื่นด้วยอย่างนั้นรึ”
“ด็อกเตอร์ปารมีพูดมาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
น้ำเสียงของดร.ชัยยศเริ่มขุ่นมัว
“เอาเถอะ....เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป แต่อย่างคิดนะว่าจะใช้วิธีสกปรกๆ
แบบนี้อีก เพราะถ้าคราวหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมคงไม่ปล่อยไว้แน่ๆ”
น้ำเสียงและสีหน้าของดร.ปารมีขุ่นมัวเช่นกัน เพียงขวัญเห็นว่าถ้าขืนปล่อยให้สถานการณ์
รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจะพาลเสียงานเสียการกันไปใหญ่ ดังนั้นเธอจึงรีบตัดสินใจเอ่ยปากคัดค้านเสียงดังขึ้นว่า
“หยุดเถียงกันเถอะค่ะ เสียงของพี่ด็อกเตอร์ปารมีกับคุณด็อกเตอร์ชัยยศแทรกเข้ามา
ในเครื่องบันทึกวีดีโอของเพียงขวัญหมดแล้ว เดี๋ยวเวลารายงานท่านผู้อำนวยการทราบ พวกเรา
ทุกคนจะพาลเดือดร้อนไปตามๆ กันนะคะ”
ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วต่างคนต่างเดินแยกออกจากกันด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวโดยเฉพาะ
ดร.ชัยยศที่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวอย่างเด่นชัด ดร.นวลปรางค์ยืนจ้องมองพฤติกรรมของ
เพื่อนร่วมงานแล้วรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก ทำไมตอนนี้ความคิดของแต่ละคนถึงแตกต่างไปคนละทิศ
78
ละทางและไม่เป็นไปตามหลักการที่ได้กำหนดไว้ ความแตกแยกบังเกิดขึ้นเพราะคนหนึ่ง
มีความละโมบโลภโมโทสันคิดไม่ซื่อ จนอยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตนเองส่วนอีก
คนหนึ่งเอาความรักใคร่ชอบพอส่วนตัวเป็นใหญ่ โดยไม่ได้คำนึงถึงศีลธรรมจรรยาแต่อย่างใด
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
“จะเถียงกันไปทำไมให้อายคนอื่นเค้าแต่ละคนเป็นถึงด็อกเตอร์กันทั้งนั้น”
“ใจเย็นๆ ปรางค์บางครั้งคำนำหน้าของแต่ละคนก็ใช่ว่าจะวัดอะไรได้ตราบใดที่มนุษย์
ยังมีกิเลสครอบงำอยู่”
เพียงขวัญกล่าวปลอบโยน
“อืม....ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละคุณแม่ของฉันเคยสอนไว้ว่า ควายก็คือควายวันยังค่ำ
ต่อให้เอาอาหารชั้นดีมาวางไว้ตรงหน้า ควายมันก็เลือกกินหญ้าเสมอ”
“ใช่จ้ะ เพราะควายมันพอเพียงกับสิ่งที่ตัวเองพอใจ”
เพียงขวัญเออออห่อหมกคล้อยตามแต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เธอพูดมาก็เพื่อเอาใจเพื่อนรักเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรเสียเธอก็ยังเข้าข้างชายคนรักอยู่ดี ถึงแม้ว่าในสายตาของคนอื่นจะมองเขา
เป็นคนเลวร้ายก็ตาม
สายมากแล้วแต่หนุ่มสาวยังเล่นโยนลูกช่วงกันอยู่อย่างไม่ยอมเลิกรา บางคู่ตกลงปลงใจ
ยอมเป็นคู่ครองในอนาคตหลังงานฉลองวันปีใหม่ ส่วนที่ยังไม่ถูกใจก็พยายามเล่นโยนลูกช่วง
หาคู่ครองกันต่อไปด้วยความสนุกสนานวันเวลายังก้าวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านทั้งดีร้ายปะปนกันไป
ดร.ปารมีสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ เพื่อนำพาตัวตนอันแท้จริงกลับมาให้เป็นปกติ เขาขบคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะยังมีความคิดที่สับสนวุ่นวายอยู่ จนจับต้นชน
ปลายไม่ถูกไปบ้าง แต่เขาก็พยายามทำเพื่อตัวเองและหญิงคนรักที่แท้จริง เขากวาดสายตามองไปทั่วลานกลางหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง แล้วมาหยุดอยู่ตรงใบหน้าเรียวงามของเธออันเป็นหญิงเดียวในดวงใจ เขาเดินตรงหรี่เข้าไปหาอย่างมุ่งมั่นพร้อมรวบรวมความกล้า ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ปรางค์....ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกครับ”
ดร.นวลปรางค์สบตาเขาที่เต็มไปด้วยแววตาเว้าวอนปนเศร้า จนเธอเริ่มรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ยังขอคุมชั้นเชิงอยู่เพื่อไม่ให้เขากำเริบเสิบสานอีก ก่อนเปิดปากร้องถามด้วยน้ำเสียงแข็ง
กระด้างไปว่า
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“ปรางค์เห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมของน้องๆ ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งนั้นมั้ย”
เขาส่งยิ้มหวานให้ พร้อมชี้นิ้วไปยังกลุ่มหญิงสาวที่ล้อมวงคุยกันอย่างครื้นเครง
“อืม....เห็นแหละ”
เธอตอบเขาออกไปด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ พลางแอบค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้
“ปรางค์ค่อยๆ มองช้าๆ นะครับ แล้วปรางค์จะรู้ว่าเป็นใคร”
ดร.นวลปรางค์เพ่งสายตามองภาพที่ปรากฏอยู่ปลายทางอย่างตื่นเต้นพลางขยี้ตาดูอยู่หลายรอบ
79
แล้วภาพที่อยู่ปลายทางค่อยๆ ปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆทันใดนั้นเธอต้องร้องอุทาน
ออกมาอย่างลืมตัวว่า
“เก้าจั๊วะ!....”
เนื้อตัวสั่นเทาเพราะอยู่ในอาการตกตะลึงริมฝีปากเรียวบางสั่นระริกพร้อมน้ำตาคลอเบ้า
ทั้งสองด้วยความตื้นตันใจละคนปนดีใจที่พบเพื่อนรัก ณ สถานที่แห่งนี้
“....เก้าจั๊วะ....เก้าจั๊วะ....”
เธอร้องเรียกชื่อเพื่อนรักเสียงหลง พลางใช้นิ้วเรียวงามสัมผัสเบาๆ ไปทั่วใบหน้ารูปไข่ขาวนวล
ของหญิงสาวหลังจากที่ดร.ปารมีพามาเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิด
“เก้าจั๊วะ....เก้าจั๊วะจริงๆ ด้วย”
“ไม่ใช่เจ้า….ข้าเจ้า....ข้าเจ้าไม่ใช่เก้าจั๊วะเจ้า”
หญิงสาวรีบตอบปฏิเสธทันควัน
“ไม่ใช่ได้ยังไง เธออย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิเก้าจั๊วะ”
เธอตวาดเสียงสูง พลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มแดงระรื่ออย่างน่าเวทนา
“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าชื่อเหม่ยลี่เจ้า”
หญิงสาวรีบบอกชื่อของตัวเองทันที เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนอันแท้จริง
“ปรางค์....ปรางค์ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ผมว่าพวกเรากลับรีสอร์ทกันก่อนดีกว่า
แล้วผมจะชี้แจงรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทุกคนฟัง”
ทุกคนที่อยู่ในวงสนทนาต่างพยักหน้าคล้อยตามกับข้อเสนอแนะของดร.ปารมี อย่างเห็นดี
เห็นงามด้วยความเต็มใจ
“คุณเหม่ยลี่ไปด้วยกันนะครับ เรื่องทั้งหมดจะได้จบลงสักที”
หญิงสาวพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย
“ปรางค์....ปรางค์จ๋าใจเย็นๆ ก่อนนะเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะได้คลี่คลายลงแล้ว
นะจ๊ะ”
เพียงขวัญกล่าวปลอบโยน พร้อมเดินประคองเพื่อนรักกลับรีสอร์ทด้วยจิตใจที่หวั่นเกรงว่า
ต่อจากนี้ไปเรื่องราวของอนาคตอันใกล้จะจบลงแบบไหนอย่างไร มันจะจนลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
หรือว่าจะจบลงแบบเกิดเหตุการณ์อย่างไม่คาดคิดมาก่อน
ตอนที่ 11
วันที่สี่ของการกลับมามีชีวิตใหม่ (96 ชั่วโมง)
เช้าวันใหม่ ณ บ้านพักภายในรีสอร์ทสายลมเย็นๆ ยังพัดผ่านมาเหมือนอย่างเคย
แต่ความหนาวเย็นมิได้มีผลกระทบกับความรู้สึกอันร้อนรุ่มในใจของดร.ปารมีแต่อย่างใด
สีหน้าและท่าทางของเขาเครียดขรึมและเกิดรอยกังวลอย่างเห็นได้ชัด เหตุการณ์เรื่องราว
ต่างๆ ที่ผ่านมายังวนเวียนอยู่ในความทรงจำมิเสื่อมคลาย บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้แอบ
อมยิ้มเล็กๆแต่บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม ไออุ่นๆ ของกาแฟสด
สีดำเข้มยังส่งกลิ่นหอมกรุ่นละมุน และลอยฟุ้งขจรขจายออกมาจากถ้วยกาแฟเซรามิค แต่ก็
ไม่สามารถดึงดูดให้เขาเกิดความสนใจได้ แสงแดดอ่อนๆ เริ่มสาดส่องเข้ามาถึงห้องโถงของ
บ้านพักที่ดร.ปารมีกับดร.นวลปรางค์นั่งคุยอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“ปรางค์....ผมขอโทษ....ผมขอโทษจริงๆ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ”
เขาเริ่มปริปากอธิบายกับอดีตหญิงคนรักแววตาเว้าวอนแสดงออกทางสายตาอย่างเด่นชัด จนดร.นวลปรางค์ไม่กล้าสบตากับเขา เพราะถึงอย่างไรความรู้สึกดีๆ ก็ยังมีใจให้กันและกันเธอนิ่งเงียบเป็นครู่เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจสักพักจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“ปรางค์เข้าใจ แต่ทำไมพี่ด็อกเตอร์ปารมีถึงไม่รีบกลับมารีสอร์ทละคะ”
เขาเจอคำถามนี้เหมือนโดนต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างจังน้ำเสียงของปรางค์ที่เอ่ยถามขึ้นมานั้น
เขาเคยเจอมาแล้วหลายครั้งหลายคราในอดีต เพราะรู้ดีว่าอดีตหญิงคนรักเริ่มมีอารมณ์โกรธเคียง
“ตอนน้ำป่าไหลเข้าท่วมรีสอร์ททุกคนเป็นห่วงพี่ด็อกเตอร์ปารมีมากเลยรู้มั้ย”
เขามองหน้าเธอนิ่งอยู่นานพอสมควร ก่อนจะเอ่ย
“ครับ....ผมเข้าใจผมขอโทษปรางค์จริงๆแต่ผมก็มีเหตุผลของผม ซึ่งมันเป็นเหตุผล
ที่ปรางค์ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดี ว่าความจริงมันคืออะไร”
ครั้งนี้ดร.นวลปรางค์มองหน้าเขานิ่งอยู่นานพอสมควรบ้างเช่นกันเธอคิดทบทวนถึงคำกล่าว
ของอดีตชายคนรักในใจ
“ถ้าเค้าเอาโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือ โครงการคัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come
back to life)มาเป็นข้ออ้างเพื่อทำให้เหตุผลของเค้าเพอร์เฟกต์เค้าก็ไม่น่าจะมีความผิดอะไร
เราไม่อาจไปตำหนิติเตียนต่อว่าเค้าได้แต่....แต่ที่เค้าน่าจะมีความผิดก็คือ การทำเกินเหตุผล”
เธอแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่มองหน้าเขา ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“แต่ปรางค์คิดว่าพี่ด็อกเตอร์ปารมีน่าจะทำเกินเหตุผลไปนะคะ”
ดร.ปารมีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางคิดในใจว่า
“นึกอยู่แล้วเชียว ปรางค์จะต้องเกิดความรู้สึกหึงหวงเราขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นแสดงว่า
ปรางค์ยังมีความรู้สึกที่ดีและมีใจรักกับเราอยู่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองจะขาดหายไปเพราะด้วยเหตุผลที่มักจะอ้างว่าทัศนะคติไม่ตรงกัน
81
แต่เราก็ยังมีความรู้สึกดีๆและมีใจรักกับปรางค์อยู่เช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง”
เขาสบตาเธอพร้อมส่งยิ้มหวานๆ ให้ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ปรางค์คิดว่าผมทำอะไรที่เกินเหตุผลไปละครับ”
“รู้อยู่เต็มอก แล้วยังจะมาแกล้งหลอกถามปรางค์อีกเหรอคะ”
ดร.นวลปรางค์ต่อว่า พร้อมส่งค้อนงามๆ ให้วงใหญ่จนเขาหัวเราะเบาๆ ด้วยความชอบใจ
“ปรางค์หึงผมเหรอครับ”
เขาแกล้งหยอก เพื่ออยากให้เธออารมณ์ดี
“บ้า....คนบ้า เวลานี้ไม่ใช่เวลามาสวีทหวานกันนะคะ”
เขาไม่ตอบ แต่ยังคงหัวเราะรวนชอบอกชอบใจจนน่าหมั่นไส้
“ปรางค์....ปรางค์ครับ”
เขาเอ่ยถาม หลังจากหยุดหัวเราะได้พักใหญ่
“มีอะไรเหรอคะ”
เธอร้องถามยิ้มระรื่น
“ผมอยากขอโทษปรางค์....ผม....ผมขอโทษปรางค์จากใจจริงกับทุกๆ เรื่องทั้งที่ผ่านมา
และปัจจุบัน ผมรู้ว่าปรางค์คงไม่พอใจในความประพฤติที่เหลวไหลจนไร้สาระ ความเจ้าชู้ชีกอจนเป็นที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์และโกรธเกลียดจนไม่น่าให้อภัย ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดผมขอรับผิดทุกอย่างแต่เพียงผู้ใด ผม....ผมหวังว่าปรางค์จะยกโทษให้ผมนะครับ”
เธอไม่ตอบ แต่จ้องมองเขาเขม็งแทบไม่กะพริบตา พลางแอบคิดในใจว่า
“ปรางค์จะยกโทษให้พี่ด็อกเตอร์ปารมีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
แววตาของเขาที่จ้องมองมายังอดีตหญิงคนรัก แสดงถึงความเว้าวอนขอความเห็นอกเห็นใจ
อีกสักครั้ง
“ถึงผมจะดูไม่ดีในสายตาของปรางค์แต่ผมก็ทำงานจนประสบความสำเร็จแล้วนะครับ”
“งานอะไรเหรอคะ”
เธอเอ่ยถามทันควันด้วยความฉงนสงสัย
“น้ำยาชุบชีวิต CBL2”
“น้ำยาชุบชีวิต CBL2!....”
ดร.นวลปรางค์เบิกตากว้างเพราะความตื่นเต้นตกใจพร้อมทวนคำกล่าวนั้นดร.ปารมีคว้ามือ
นุ่มละมุนของเธอขึ้นมาจุมพิตเบาๆ แล้วกุมไว้แน่นจนเธอรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างลึกซึ้งเช่นเคย
เพราะนานมากเหลือเกินที่คนทั้งสองไม่ได้แสดงความรักซึ่งกันและกัน หลังจบการศึกษามาจาก
ประเทศอังกฤษ
“ปรางค์ฟังผมนะครับ ต่อแต่นี้ไปผมจะไม่ดื้อรั้น และจะไม่เจ้าชู้ชีกอถ้าไม่จำเป็น....”
“คนบ้า....ยังมาทำทะเล้นอีก”
82
เธอแกล้งกล่าวตำหนิ พลางแอบอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเรียวงามด้วยความรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจอีกครั้ง
“ผมล้อเล่น....ผมเห็นปรางค์เครียดๆ จึงอยากให้สบายใจคลายเครียด แล้วปรางค์รู้มั้ย
วันเวลาที่ผ่านมาผมพยายามคิดค้นและปรับปรุงน้ำยาชุบชีวิตจนได้สูตรใหม่เป็นผลสำเร็จ
จาก CBL1 ที่สามารถกลับฟื้นมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง24ชั่วโมง มาเป็นCBL2 ที่สามารถกลับฟื้น
มีชีวิตอยู่ได้เกือบ 168 ชั่วโมงผมยอมผิดกฎระเบียบของสถาบันข้อ 23 โดยแอบทดลองฉีดCBL2
กับอาจารย์ใหญ่ซึ่งผลการทดลองได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมากเลยครับ”
“ถ้าพี่ด็อกเตอร์ปารมีพูดมาอย่างนี้หมายความว่า อาจารย์ใหญ่ก็คือผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้ง
คนนั้นจริงๆ สิคะ”
“ถูกต้องแล้วครับ ผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งคนนั้นก็คืออาจารย์ใหญ่ เธอชื่อเหม่ยลี่ครับ”
ดร.นวลปรางค์รู้สึกตื่นเต้นระคนปนดีใจเมื่อเขายืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความจริง
ใบหน้าของเธอเปื้อนยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยถามด้วยความข้องใจว่า
“แล้วทำไมหน้าตาของเหม่ยลี่ถึงเหมือนเก้าจั๊วะจังเลยคะ”
เขาระบายรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อมีความรู้สึกว่าหญิงคนรักได้ยกโทษในความผิด
ต่างๆ ที่ผ่านมา และเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แววตาของเธอที่กำลังจ้องมองกับเขา
อยู่ในขณะนี้ มันเป็นประกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ห่วงหาอาทรอย่างสังเกตได้
“จากที่คุณเหม่ยลี่ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเธอ
ให้ผมฟังอย่างละเอียดผมขอคอนเฟิร์มว่าคุณเหม่ยลี่เป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะอย่างแน่นอนครับ”
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก่อนเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
“เฮ้อ!....โล่งอกซะที ปรางค์ดีใจมากๆ ที่สามารถทำความฝันของเก้าจั๊วะจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พูดแล้วยังขนลุกไม่หายจริงๆ ปรางค์มีความรู้สึกเหมือนเก้าจั๊วะมาวนเวียน
อยู่ใกล้ๆตัวด้วยคะ”
“เก้าจั๊วะคงมาขอบใจปรางค์มั่งครับ”
เธอพยักหน้าหงึกหงักเป็นการรับรู้ พลางว่า
“ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ตอนปรางค์ฝันว่าเก้าจั๊วะมาบอกอีกไม่นานเกินรอความจริงทุกอย่าง
จะถูกเปิดเผยในไม่ช้านี้ ซึ่งมันก็เป็นความจริงทุกประการ....เฮ้อ!....เก้าจั๊วะเพื่อนรัก ความฝัน
ของเธอสำเร็จแล้วนะจ๊ะ”
แล้วทั้งสองก็สบตากันอย่างมีความหมาย บรรยากาศโดยรอบกำลังคุกรุ่นไปด้วยไออุ่นรักอันแสน
หวานชื่น ด้วยแรงปรารถนาที่จะทำความเข้าใจกันและกันอีกครั้งใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของ
คนทั้งสองแสดงให้เห็นว่า โลกทั้งใบมีแค่เพียงเราสองคนเท่านั้นจริงๆ เวลาหมุนผ่านไปนานพอสมควรจนจำแทบไม่ได้ แต่พลันก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงวัตถุชนิดหนึ่งตกลงกระแทกพื้นดังสนั่นมาทางข้างบ้านพัก
83
“....เพล้ง!....เพล้ง!....”
“เสียงอะไรแตกคะ”
ดร.นวลปรางค์ร้องถามเสียงหลง
“สงสัยคงมีใครทำอะไรตกแตกมั่งครับ”
“เพียงขวัญหรือเปล่าคะ”
ดร.ปารมีไม่ตอบคำถาม แต่ในความคิดของเขาแตกต่างไปจากคำกล่าวของหญิงคนรัก
ดร.นวลปรางค์สบสายตาเขาเหมือนรู้เป็นนัยๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ และจะต้องทำอะไร
ต่อไป เธอส่งยิ้มหวานให้เขาพลางเอ่ยว่า
“ปรางค์ขอไปดูเพียงขวัญกับเหม่ยลี่ก่อนดีกว่า สายมากแล้วป่านนี้คงตื่นนอนกัน
แล้วมั่งคะ”
“ครับ”
เธอกล่าวจบแล้วกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักตัวงาม เพื่อจะไปตามเพียงขวัญกับเหม่ยลี่
ที่ห้องพักแต่ก็ต้องหยุดชะงักทันที
“เพียงขวัญกับเหม่ยลี่มาแล้วจ้า”
เพียงขวัญเปิดฉากทักทายพร้อมเดินจูงมือเหม่ยลี่เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ทั้งดร.ปารมี
และดร.นวลปรางค์ต่างจ้องมองหญิงสาวตาแทบไม่กระพริบเช้าวันนี้เธอดูสดใสและงดงาม
ในชุดชาวเขาเผ่าม้งอันแสดงอัตลักษณ์อย่างเด่นชัด รอยยิ้มที่ระบายออกมาจากใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราได้เพิ่มเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหลยิ่งนักเพียงขวัญพาให้ไปนั่งเก้าอี้ไม้สัก
ข้างๆ เพื่อนรัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ให้นั่งข้างๆ ปรางค์นั่นแหละ ปรางค์อยากซักถามอะไรต่อจะได้สะดวก”
“เจ้า”
หญิงสาวตอบรับเสียงอ่อนหวานไพเราะจับใจ
“อ้าว....เพียงขวัญพูดมาแบบนี้ หมายความว่า....”
“ปรางค์กับเหม่ยลี่คุยกันทั้งคืน ซักไซ้ไล่เลียงตั้งแต่ต้นจนจบ หรือถ้าจะพูดง่ายๆ
อย่างเห็นภาพก็คืออธิบายตั้งแต่รากแก้วขึ้นไปจนถึงยอดไม้โน่นเลย”
เพียงขวัญกล่าวจบ และตามมาด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของทุกคน
“อืม....พูดมาแบบนี้ผมเห็นภาพเลยครับแล้วทีนี้ปรางค์คงเข้าใจในตัวตนที่แท้จริง
ของคุณเหม่ยลี่มากขึ้นแล้วสินะ และสามารถสรุปแบบฟันธงได้เลยว่าคุณเหม่ยลี่เป็นบรรพบุรุษ
ของเก้าจั๊วะอย่างแน่นอน”
“ชัวร์ค่ะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ พร้อมโชว์กำไลหยกสีเขียวมรกตที่สวมอยู่
ตรงข้อมือข้างขวาให้ทุกคนชม
84
“กำไลหยกของคุณเหม่ยลี่นี่ครับ”
“ใช่ค่ะ เหม่ยลี่มอบให้ปรางค์ตั้งแต่เมื่อคืน”
“ใช่แล้วเจ้า ข้าเจ้ามอบกำไลหยกชิ้นนี้ให้กับปรางค์ เพราะปรางค์เป็นเพื่อนรักของเก้าจั๊วะ”
หญิงสาวกล่าวยืนยัน พลางโปรยรอยยิ้มอย่างมิตรให้กับทุกคน ก่อนกล่าวต่ออีกว่า
“และเก้าจั๊วะมีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากชาติพันธุ์ชาวเขาเผ่าม้ง เพราะฉะนั้นเก้าจั๊วะก็คือ
ลูกหลานของข้าเจ้าเจ้า”
“คุณเหม่ยลี่เอาอะไรมาเป็นเครื่องยืนยันละครับ”
ดร.ปารมีซักถามด้วยความฉงนสงสัย
“ผ้าผืนนี้ยังไงละคะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าว พร้อมชูผ้าเหลี่ยมผืนยาวที่ปักลวดลายอย่างประณีตและสวยงามให้ทุกคน
ได้ชมเธอสบสายตากับดร.ปารมี ก่อนยื่นผ้าผืนดังกล่าวให้เขาชมเป็นคนแรกพลางว่า
“เก้าจั๊วะมอบเอกสารข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับ
ชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะพร้อมกับผ้าทอมือจากเส้นใยกัญชงผืนนี้ให้กับปรางค์ค่ะ”
เขาพลิกผ้าเหลี่ยมผืนยาวกลับไปกลับมาดูหลายครั้ง พร้อมพินิจวิเคราะห์อย่างละเอียดลออ
“อืม....ถึงแม้ว่าผ้าผืนนี้จะดูเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี ลวดลายชัดเจน
และสวยงามมากครับ”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ผ้าผืนนี้ยังสภาพสมบูรณ์ดี โดยเฉพาะลวดลายที่ปักผ้าด้วยทักษะฝีมือ
อย่างเชี่ยวชาญชำนาญและเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ชาวเขา
เผ่าม้งได้อย่างโดดเด่นงดงามและมีความชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะลวดลายที่ปักอยู่บนผ้าผืนนี้
มีความหมายด้วยนะคะเดี๋ยวปรางค์จะให้เหม่ยลี่ช่วยอธิบายให้ฟังก็แล้วกันค่ะ”
เธอรีบยกบทบาทหน้าที่ให้เหม่ยลี่อธิบายถึงความหมายของลวดลายที่ปักอยู่บนผ้าเหลี่ยมผืนยาว
ซึ่งหญิงสาวยิ้มรับพยักหน้าด้วยความยินดี แต่ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น
เธอก็ต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน เมื่อมีเสียงหนึ่งร้องแทรกดังมาแต่ไกลว่า
“หยุด....หยุดก่อน....อย่าพึ่งอธิบาย ผมขอฟังด้วยคนครับ”
ดร.ชัยยศตีหน้าซื่อพลางเดินเข้าร่วมวงสนทนา แต่ดร.ปารมีรู้เท่าทันความคิดของเขา เพราะสิ่ง
ที่เขากระทำอยู่ในขณะนี้เชื่อว่ามันต้องมีเงื่อนงำอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอนดังนั้นในเมื่อ
เขาสวมหน้ากากเข้าหาทุกคนในวงสนทนา เราก็ต้องสวมหน้ากากเข้าหาเขาด้วยเช่นกันดร.ปารมี
ฝืนยิ้มให้พลางร้องทักทายว่า
“อ้าว....ด็อกเตอร์ชัยยศนั่นเอง เชิญมาดื่มกาแฟกับรับประทานอาหารเช้าด้วยกันครับ”
เขาไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ไม้สักตัวข้างๆ ดร.ปารมีพลางกวาดสายตามองไปทั่ววงสนทนา
พร้อมกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“กู๊ดมอนิ่งทุกคนครับ”
85
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศจะดื่มกาแฟเลยมั้ยคะ เดี๋ยวเพียงขวัญจะไปชงให้ค่ะ”
เพียงขวัญรีบนำเสนอหวังเอาใจด้วยหัวใจพองโต เขาหันไปยิ้มให้พลางว่า
“ขอบคุณครับ”
จากนั้นเพียงขวัญก็เดินผละออกจากวงสนทนา เพื่อไปชงกาแฟให้กับหวานใจ บรรยากาศภายใน
วงสนทนาสงบเงียบไม่มีการพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งเขาอดรนทนไม่ไหวเหมือนถูกกดดันทางอ้อม จึงตัดสินใจกล่าวเชิญหญิงสาวเพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้กลับมาครื้นเครงเหมือนเดิม
“เชิญอธิบายเลยครับคุณเหม่ยลี่ ทุกคนกำลังรอฟังอยู่”
หญิงสาวรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย และนึกแปลกใจว่าผู้ชายคนนี้รู้จักชื่อได้อย่างไรส่วนทาง
ด้านดร.ชัยยศเหมือนจะอ่านใจหญิงสาวถูก จึงรีบกล่าวพร้อมกับแววตาระรื่นด้วยอารมณ์ขันว่า
“อ๋อ....ผมลืมแนะนำตัว ผมด็อกเตอร์ชัยยศเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในทีมงานของด็อกเตอร์
นวลปรางค์ครับ”
เขาตบท้ายด้วยคำพูดเย้ยหยัน เพื่อต้องการให้ดร.ปารมีรู้สึกโกรธ ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าเขาทั้งสองคนกลับมาคืนดีกันและพร้อมร่วมสร้างสายสัมพันธ์รัก ปรับจูนความเข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดความรักแน่นเฟ้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมที่ผ่านมาหญิงสาวสบตากับดร.นวลปรางค์
ที่พยักหน้ารับรู้ถึงความรู้สึกต้องการความมั่นใจ เธอยิ้มให้พลางกล่าวว่า
“เชิญอธิบายความหมายลวดลายที่ปักอยู่บนผ้าได้เลยจ้ะเหม่ยลี่”
“เจ้า....”
หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่ววงสนทนาด้วยสีหน้าแววตายิ้มแย้มแจ่มใสกว่าเดิมก่อนเริ่มต้น
อธิบายว่า
“ลวดลายที่ปักอยู่บนผ้าทอมือจากเส้นใยฝ้ายและเส้นใยกัญชงทุกผืนเป็นศิลปะที่ได้
สืบทอดมาจากปู่ย่าตายายของข้าเจ้าหลายชั่วอายุคนเด็กผู้หญิงทุกคนจะถูกสอนปักผ้าโดยตรง
จากแม่ เริ่มจากจับผ้า จับเข็ม และนับช่องลายผ้า แล้วต่อจากนั้นจะหัดเย็บ เชี้ย และเจี๋ย....”
“เดี๋ยว....เดี๋ยวก่อนค่ะเชี้ยกับเจี๋ยแปลว่าอะไรเหรอคะ”
เพียงขวัญร้องถามด้วยความสงสัยใคร่รู้หลังจากเสิร์ฟกาแฟร้อนให้กับดร.ชัยยศที่ฉีกยิ้มกว้าง
ให้เธอได้ชื่นใจ
“อ๋อ....เชี้ยกับเจี๋ยเป็นภาษาของชาวเขาเผ่าม้งเชี้ยเป็นการปักผ้าลวดลายแบบทึบบนผ้า
หนึ่งผืน ที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่โดยเริ่มตั้งแต่ออกจากบ้านไปทำนาปลูกข้าว ทำไร่ปลูก
ข้าวโพดและเลี้ยงสัตว์ส่วนเจี๋ยเป็นการปักผ้า ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองแบบ คือ แบบแรกจะปักเป็น
กากบาท และแบบที่สองจะปักแบบเย็บปะติดเจ้า”
เพียงขวัญขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าสงสัยว่า
“แบบแรกพอจะเข้าใจ ฟังแล้วคล้ายๆ ลายปักครอสติชเลยค่ะแต่ปักแบบเย็บปะติดนี่สิ
เพียงขวัญนึกภาพไม่ออกจริงๆ....งงมากค่ะ”
86
หญิงสาวโปรยรอยยิ้มหวานให้ทุกคนในวงสนทนา แล้วอธิบายต่ออีกว่า
“ปักแบบเย็บปะติดจะเริ่มต้นจากการตัดผ้าให้เป็นลวดลายที่กำหนด แล้วเอามาเย็บติด
ซ้อนทับกับผ้าพื้นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งความยากง่ายขึ้นอยู่กับลวดลายที่จะปัก แต่ลวดลายที่นิยมกัน
มากคือ ลายก๊ากื้อเจ้า”
“ลายก๊ากื้อ....ลายก๊ากื้อ....”
ดร.นวลปรางค์ทวนคำพูดของหญิงสาวอยู่เป็นนานสองนาน จนหญิงสาวต้องรีบอธิบายต่อทันทีว่า
“ลายก๊ากื้อก็คือลายก้นหอย เป็นลายเก่าแก่โบราณดั้งเดิมที่ลูกหลานได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษต่อๆ กันมา โดยมีความเชื่อว่าเป็นลายที่เอามาจากหอยสังข์ เพราะหอยสังข์
มักถูกใช้ในการทำพิธีกรรมที่สำคัญทางศาสนาและถ้าสังเกตดีๆ พบว่าลักษณะการวนของ
ก้นหอยจะเปรียบเสมือนการโคจรของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว ซึ่งสะท้อนให้เห็น
ถึงวิถีชีวิตของคนเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดด้วยพื้นฐานที่มีความเชื่อในเรื่องดวงวิญญาณ
หลังความตายเจ้า”
“ถ้ายังงั้น ผ้าผืนนี้ก็เป็นผ้าทอมือจากเส้นใยกัญชงที่ปักด้วยลายก้นหอยนะสิ”
ดร.นวลปรางค์ว่าพลางชูผ้าผืนดังกล่าวให้ทุกคนในวงสนทนาชม
“ใช่แล้วเจ้า”
หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่น
“เออ....ใช่จริงๆ ด้วย ปรางค์ดูสิ ทั้งผ้ากับชุดที่เหม่ยลี่ใส่อยู่เหมือนกันอย่างกับแกะเลย”
เพียงขวัญพูดเสริมพลางรีบเข้าไปจับกระโปรงจีบที่ปักด้วยลายก้นหอยด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ
“งดงาม....งดงามมากๆเลยค่ะ”
“อันที่จริงยังมีอีกหลายลายนะเจ้า”
หญิงสาวกล่าวนำเสนอ
“อ้าว....ยังมีอีกหลายลายเชียวเหรอ”
ดร.นวลปรางค์ร้องอุทานเสียงหลง พลางเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนบิดไปบิดมาด้วยความ
เขินอาย เพราะถูกเพียงขวัญจับเนื้อต้องตัวโดยไม่ได้ตั้งใจแววตาของหญิงสาวเต็มเปี่ยมไปด้วย
ความรักและมิตรภาพอันดีงามจากที่ได้สัมผัสโดยตรงเธอยิ้มกว้างให้พลางว่า
“นอกจากลายก้นหอยแล้วยังมีลายอะไรอีกบ้างละจ๊ะ”
“ลายปักผ้าของพวกเราชาวเขาเผ่าม้งส่วนใหญ่จะใช้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวตามธรรมชาติ
เอามาเป็นแบบสร้างลายปักผ้า เช่น ลายก๊ากื้อ หรือ ลายก้นหอย 2 หอย ลายเปร้ากื้อ หรือ
ลายก้นหอย 4 หอย ลายหยี่กื้อ หรือ ลายก้นหอย 8 หอย ลายโจวไก๊ หรือ ลายตีนไก่ลายเหนงบัว
หรือ ลายเล็บหมู ลายเหลาแหนงหน่า หรือ ลายรองเท้าหนู ลายบ้งบ่าย หรือ ลายผีเสื้อ
ลายลูกเป็ด หรือ ลายมี๋ยัวอู ซึ่งเป็นลายที่มาจากสัตว์ส่วนลายที่มาจากพืชจะมีลายปั้นโต๊วโต่ว
หรือ ลายฝักถั่ว ลายป้อนเจ่ยจ๊อ หรือ ลายหูเสือ ลายรากไม้ หรือ ลายจ่างดง ลายดอกเย้า
หรือ ลายป๊างจอ ลายดอกดาหลา หรือ ลายโหล่ป้างโคว ลายดอกผักกาด หรือ ลายโหล่ป้างโย้ว
87
ลายต่อไปจะเป็นลายที่มาจากรูปทรงเรขาคณิต เช่น ลายดอกเหลี่ยม หรือ ลายจายโด้วเที้ยแช
ลายกากบาท หรือ ลายปั้นโต๊วจี่ หรือ ลายเหลาเซียและยังมีลายอื่นๆอีก เช่น ลายดาวหรือ
ลายนุ๊กุ๊ ลายกังหัน หรือ ลายโค้วจัว ลายจับมือ หรือ ลายตั่วเต นอกจากนี้ยังมีการเอาลายต่างๆ มาผสมกันด้วยเจ้า”
ทุกคนรับฟังคำอธิบายจากหญิงสาวด้วยความเพลิดเพลินโดยเฉพาะดร.นวลปรางค์แอบชื่นชม
และปลาบปลื้มใจเป็นที่สุดที่มีโอกาสได้พบบรรพบุรุษของเพื่อนรัก อีกทั้งได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของ
ชาติพันธุ์ชาวเขาเผ่าม้งอย่างละเอียดลออแต่แล้วบรรยากาศอันเงียบสงบก็ต้องมลายหายไปเพราะเสียงปรบมือพร้อมกับคำกล่าวแกล้งชมของเขา
“สุดยอด....สุดยอดมากเลยครับคุณเหม่ยลี่ แต่ผมยังมีข้อสงสัยอยู่อีกหนึ่งเรื่องครับ”
ดร.ชัยยศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนน่าเกรงขาม
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
เพียงขวัญร้องถามอย่างเห็นดีเห็นงามจนออกนอกหน้า เขากวาดสายตามองไปรอบๆวงสนทนา
อย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่ตรงหญิงสาวที่จ้องมองเขาตาเขม็ง เขาส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“สาเหตุการเสียชีวิตของคุณเหม่ยลี่”
ทุกคนในวงสนทนาต่างนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน เพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าเอ่ยปากพูดออกมาเช่นนี้
“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าเคยตายมาแล้วเหรอเจ้า!....”
หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหูใบหน้างามถอดสีซีดเผือด
ลงอย่างเห็นได้ชัดความรู้สึกชาไปทั้งตัว นิ่งงันไปนานพอสมควร ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“ข้าเจ้าตายตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว....แล้วข้าเจ้าฟื้นขึ้นมาได้ยังไงเจ้า”
“คุณเหม่ยลี่ใจเย็นๆ ก่อน ทำใจให้สบาย ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆ คิดทบทวนถึงเรื่องราว
ต่างๆ ที่ผ่านมานะครับ”
ดร.ปารมีรีบพูดปลอบโยนเมื่อเห็นน้ำตาเอ่อล้นไหลอาบสองแก้มระคนปนเสียงสะอื้นไห้ ทำให้เขา
นึกสงสารหญิงสาวขึ้นมาจับใจ ดร.นวลปรางค์สบตาเขาเหมือนรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของกันและกัน
เธอพยักหน้ารับรู้พลางว่า
“เหม่ยลี่ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ”
เธอบีบมือนุ่มเบาๆ เพื่อให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจขึ้น
“พยายามตั้งสติ อย่าตกใจ อย่ากลัว แล้วค่อยๆ คิด ค่อยๆ นึกนะจ๊ะเหม่ยลี่”
“เจ้า....”
หญิงสาวตอบพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ เวลาผ่านไปได้พอสมควร หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆพลางกวาดตามองไปรอบวงสนทนา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าเจ้าจำได้ว่าเกิดฝนตกหนักตลอดทั้งคืน....น้ำป่า....น้ำป่าไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน มันน่ากลัว
....มันน่ากลัวมากๆแล้ว....แล้วหลังจากนั้นข้าเจ้าก็จำอะไรไม่ได้เลยแต่มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ไม่
88
กี่วันมานี้เองเจ้า”
ดร.ปารมีฟังอยู่เพียงครู่ก่อนตัดสินใจกล่าวสรุปคร่าวๆ ว่า
“คุณเหม่ยลี่ฟังผมนะครับ อันที่จริงคุณเหม่ยลี่ได้เสียชีวิตมานานมากแล้วซึ่งผลจาก
การตรวจสอบพิสูจน์ของพวกเราพบว่า คุณเหม่ยลี่น่าจะเสียชีวิตมาเกือบศตวรรษคือเกือบๆ
หนึ่งร้อยปีเห็นจะได้ ส่วนสาเหตุที่ต้องสำรวจเป็นเพราะเก้าจั๊วะเพื่อนของปรางค์ต้องการอยาก
ให้สืบหาบรรพบุรุษ โดยมอบเอกสารข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาติพันธุ์ของ
เก้าจั๊วะพร้อมกับผ้าทอมือจากเส้นใยกัญชงก่อนเธอเสียชีวิตลงด้วยโรครูคิวเมีย หรือ มะเร็ง
เม็ดเลือดขาวจนกระทั่งพวกเราได้ขุดค้นพบร่างของคุณเหม่ยลี่แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ที่ห้อง
แล็บภายในรีสอร์ทแห่งนี้ต่อจากนั้นผม....ผมได้แอบทดลองฉีดน้ำยาชุบชีวิตCBL2ให้กับร่าง
ของคุณเหม่ยลี่ซึ่งผลการทดลองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่....น้ำยาชุบชีวิต CBL2
สามารถให้มีชีวิตอยู่ได้เกือบ 168 ชั่วโมง หรือเกือบ 7 วันครับ”
เขากล่าวจบพร้อมกับหยิบขวดน้ำยาชุบชีวิต CBL2ออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นโชว์ให้ทุกคนชม
สายตาหลายคู่จับจ้องมองด้วยความมหัศจรรย์ใจ เว้นแต่สายตาของดร.ชัยยศที่จ้องมองเขม็งอย่างมีเลศนัย
“ข้าเจ้าฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ด้วยยาขวดนี้จริงๆ เหรอเจ้า”
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสูงด้วยความไม่เชื่อเท่าใดนัก
“ใช่แล้วครับ ผมขอยืนยันว่าคุณเหม่ยลี่เคยตายมาแล้วจริงๆ และได้ฟื้นกลับมามีชีวิต
ใหม่ด้วยยาขวดนี้จริงๆ ครับ”
ดร.ปารมีกล่าวยืนยันเสียงแข็ง จนหญิงสาวต้องยอมเชื่ออย่างสนิทใจ
“แล้วทำไมข้าเจ้าถึงต้องมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง 7 วันเท่านั้นเจ้า”
“มันเป็นเทคนิคทางการแพทย์แต่คุณเหม่ยลี่ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะตอนนี้ผม
กำลังคิดค้นหาสูตรใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อปรับปรุงน้ำยาชุบชีวิตให้สามารถยืดเวลาการมีชีวิตยืน
ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างไรก็ตามการฟื้นคืนชีพจะทำได้ก็ต่อเมื่อร่างนั้นยังสมบูรณ์ดี
มีอวัยวะครบทั้งสามสิบสองและไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตอนที่เหม่ยลี่เสียชีวิตร่างกายยังมีความสมบูรณ์ดีและมีอวัยวะ
ครบทั้งสามสิบสองส่วนสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดก็คือไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ด้วยสิคะ”
ดร.นวลปรางค์กล่าวแทรกขึ้นแสดงความคิดเห็น
“ถูกต้องแล้วครับ หรือถ้าจะให้สรุปสาเหตุที่คุณเหม่ยลี่เสียชีวิตน่าจะเป็นเพราะจมน้ำป่า
ที่ไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คุณเหม่ยลี่เคยเล่าให้ฟังครับ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ ยอมรับความจริง พลางว่า
“ใช่แล้วเจ้า ข้าเจ้าจำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักทั้งคืน แล้วก่อนสว่างเกิดน้ำป่าไหลเข้าท่วม
หมู่บ้านแบบไม่ทันตั้งตัวน้ำป่าพัดเอาบ้าน สัตว์เลี้ยง และคนจมหายไปกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
อย่างน่ากลัว....น้ำป่า....น้ำป่าไหลมาถึงบ้านแล้วพัดพาเอาตัวข้าเจ้าดำผุดดำว่ายไปกับกระแส
89
น้ำป่าหลังจากนั้นข้าเจ้าก็จำอะไรแทบไม่ได้เลยแต่มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ไม่กี่วันมานี้เองเจ้า”
ทุกคนในวงสนทนาต่างสบตากันอย่างเข้าใจลึกซึ้งถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ความจริงที่
ปรากฏชัดเจนเป็นประตูเปิดทางสว่างให้กับทุกคน เพราะถือว่าภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้
ด้วยดีผลงานโดดเด่นและสร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ให้กับสถาบัน อันส่งผลให้เป็นสถานที่
ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์แห่งใหม่ของประเทศไทยในอนาคตต่อไป จากนั้นความเงียบเมื่อ
ครู่ได้หายไปเมื่อเพียงขวัญกล่าวข้อเสนอขึ้นว่า
“ไหนๆ พวกเราทุกคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วเพียงขวัญคิดว่ามาถ่ายภาพหมู่
เป็นที่ระลึกกันดีกว่ามั้ยคะ”
ทุกคนพยักหน้าคล้อยตามข้อเสนอของเพียงขวัญ
“เชิญที่ระเบียงกันดีกว่า มุมตรงนั้นแบ็คกราวด์เป็นวิวภูเขาสูงกับต้นนางพญาเสือโคร่ง
ถ่ายภาพออกมาจะเห็นความสวยของธรรมชาติชัดเจนดี จริงมั้ยครับคุณเพียงขวัญ”
ดร.ชัยยศรีบชิงเสนอแนะทุกคนเพื่อกลบเกลื่อนความคิดชั่วร้ายที่แอบเตรียมแผนการไว้ในใจ
เขาพยายามเก็บความรู้สึกนั้น โดยทำสีหน้านิ่งเฉยให้เป็นปกติมากที่สุด
“อ๋อ....ใช่....ใช่ค่ะ”
เพียงขวัญตอบรับตะกุกตะกักหน้าแดง พลางสบตาเขาด้วยความงงงวย แต่ก็พอจะเดาออกว่า
เขากำลังคิดจะทำอะไรเวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที การถ่ายภาพหมู่ได้เสร็จสิ้นลง และเพียงขวัญ
กำลังจะยื่นขวดน้ำยาชุบชีวิต CBL2 คืนให้กับดร.ปารมีหลังจากใช้ประกอบในการถ่ายภาพหมู่
แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งร้องทักท้วงว่า
“เพียงขวัญเอาขวดน้ำยามาให้ผม”
เพียงขวัญสบตาเขาเหมือนรู้ความนัยบางอย่างก่อนตัดสินใจกล่าวขึ้นว่า
“คุณด็อกเตอร์ชัยยศจะเอาไปทำไม ยาขวดนี้เป็นของพี่ด็อกเตอร์ปารมีไม่ใช่เหรอคะ”
“บอกให้เอามาก็เอามาสิอย่าเรื่องมาก”
ดร.ชัยยศน้ำเสียงขุ่นมัวแววตาที่จ้องมองเพียงขวัญดุดันจนน่ากลัว และเขาไม่รอช้ารีบสาวเท้า
เดินตรงเข้าไปหาเพียงขวัญที่ยืนสั่นเทา
“เอามา เอามาเร็วๆ ถ้าไม่อยากตาย”
เขาไม่พูดแค่ปาก แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนั้น ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองแต่อย่างใด
ตอนที่ 12
ฉับพลันทันใดนั้น
เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของทุกคน
“อยากตายมากนักหรือไง เอามานี่”
เขาว่าพลางเล็งปากกระบอกปืนที่อยู่ในมือจ่อตรงขมับเพียงขวัญ เธอยืนเนื้อตัวสั่นเทาราวกับ
สัมผัสความหนาวเหน็บเข้ากระดูกผสมอาการหวาดกลัวใบหน้าจิ้มลิ้มเปรอะเปื้อนไปด้วยหยด
น้ำตาปนเสียงสะอื้นไห้เบาๆ เพราะรู้สึกผิดหวังกับความรักที่มีให้เขาอย่างล้นหัวใจภายในหัว
สมองมีแต่คำถามผุดขึ้นมามากมายจนสับสนวุ่นวายไปหมด
“ทำไม....ทำไมเค้าถึงทำแบบนี้ เค้าไม่มีความรัก ไม่มีเยื่อใยให้กับเราเลยหรือ?”
“ทำไม....ทำไมความรักใคร่เสน่หา ความปรารถนาดีที่เรามอบให้เค้า มันไม่มีความหมาย
อะไรเลยหรือ?”
ดร.ชัยยศหรี่ตามองเพียงขวัญด้วยอารมณ์โกรธและสีหน้าแววตาเครียดแค้นเขาพยายามยื้อแย่ง
ขวดน้ำยาที่อยู่ในมือของเธอสักพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จสักที จนรู้สึกหงุดหงิดและเริ่ม
ควบคุมอารมณ์โมโหไม่อยู่คนทั้งสองยังยื้อแย่งขวดน้ำยากันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน
จนสุดท้ายทั้งปืนและขวดน้ำยาหลุดจากมือของคนทั้งคู่แล้วกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนกตกใจไปตามๆ กัน แต่ดร.ชัยยศดึงสติกลับมาเร็วก่อน
จึงรีบวิ่งไปเก็บปืนที่กระเด็นไปตกอยู่ตรงบันได ส่วนขวดน้ำยากระเด็นไปตกอยู่ตรงเท้าของ
ดร.นวลปรางค์พอดิบพอดี เขารีบสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาเธอพร้อมด้วยปืนในมือ พลางเอ่ยปาก
ร้องขอสิ่งที่ต้องการด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“ปรางค์....ผมขอดีๆ....เอาขวดน้ำยาให้ผมเถอะนะครับ”
ดร.นวลปรางค์หย่อนตัวลงช้าๆ แล้วหยิบขวดน้ำยาขึ้นมาจากพื้นนัยน์ตาของเขาที่เธอสบตา
อยู่ในเวลานี้เหมือนมีเปลวไฟกำลังลุกโชติจนรู้สึกกลัว แต่เธอก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำใจดีสู้เสือ
โดยพยายามควบคุมความรู้สึกให้เป็นปกติมากที่สุด ก่อนเปล่งวาจาด้วยเสียงราบเรียบว่า
“หยุดเถอะค่ะคุณด็อกเตอร์ชัยยศ อย่าทำแบบนี้เลย พยายามตั้งสติและทำจิตใจให้สงบ
เชื่อปรางค์เถิดนะคะ”
“ปรางค์นั่นแหละหยุด แล้วไม่ต้องมาสั่งสอนถ้าไม่ใช่แม่ผมเพราะฉะนั้นคนที่สมควร
หยุดก็คือปรางค์ ไม่ใช่ผม เข้าใจที่ผมพูดมั้ย”
ทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าวต่างตกใจไปตามๆ กัน ดร.ปารมีเห็นอาการของดร.ชัยยศตอนนี้
ก็พอจะเดาออกว่าเขาขาดสติและควบคุมอารมณ์โกรธเคืองไม่ได้ เขาจึงคอยแอบสังเกตการณ์
อยู่ห่างๆหญิงคนรัก ถ้าสถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นมาจริงๆเขาพร้อมเข้าช่วยเหลือทันที
ทันใด ส่วนดร.นวลปรางค์ก็รู้ดีว่าไม่ควรดื้อดึงและขัดขืน มิเช่นนั้นจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตได้
“เพียงขวัญขอร้อง....คุณด็อกเตอร์ชัยยศหยุดเถอะค่ะอย่าทำอะไรให้ใครเดือดร้อนมากไปกว่านี้เลยนะคะ”
91
เพียงขวัญพูดทั้งน้ำตาปนสะอื้นไห้ แต่ยิ่งห้ามดูเหมือนจะยิ่งยุให้เขามีความรู้สึกโกรธเคือง
มากขึ้นกว่าเดิมดร.ชัยยศโมโหเลือดขึ้นหน้าจนเผลอหลุดคำสบถออกมาดังลั่นว่า
“พวกมึงหยุดพูดกันสักทีได้มั้ย ไม่รู้จะพูดอะไรกันนักหนา น่ารำคาญ....น่ารำคาญที่สุด
แล้วนี่สรุปว่าปรางค์จะให้ขวดน้ำยาได้หรือยังอย่าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”
ดร.นวลปรางค์หันไปสบตากับชายคนรักแล้วนิ่ง และเสมือนว่าความคิดของคนทั้งสองเป็น
ไปในทิศทางเดียวกันเธอพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้รู้ว่ามิได้มีความหวาดกลัวต่อการกระทำของ
เขาแต่อย่างใด ก่อนตัดสินใจตอบคำถามไปว่า
“ถึงแม้ว่าคุณได้ขวดน้ำยาไปก็จริง แต่มันเป็นแค่น้ำยาเพียงขวดเดียวเท่านั้นเพราะถ้า
เป็นปรางค์สิ่งสำคัญที่อยากได้มากกว่าก็คือสูตรน้ำยาค่ะ”
ดร.ชัยยศนิ่งและคิดตามคำกล่าว เขาแสยะยิ้มพลางยักไหล่กวนๆ ก่อนว่า
“อืม....ถูกต้องมันก็จริงตามที่ปรางค์พูดมาทั้งหมดแต่ถ้าเป็นผม....ผมจะไม่เอาแค่
นั้นหรอกนะ เพราะผมจะเอาทั้งสามอย่างเลยล่ะ”
หลังสิ้นคำกล่าวเขาหัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจจนทุกคนในวงสนทนาต่างตกใจและสบตากัน
กับพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาเมื่อสักครู่
“อะไรคือทั้งสามอย่าง เพียงขวัญไม่เข้าใจค่ะ”
เพียงขวัญยอมเสียมารยาทพูดแทรกขึ้นด้วยความสงสัย แต่เขากลับไม่ได้สนใจในคำถามของเพียงขวัญเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาที่ฉายแววออกมาบ่งบอกถึงความไม่ชอบมาพากล
เขาหรี่ตามองดร.นวลปรางค์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพลางว่า
“ผมต้องขอบใจปรางค์มากๆ ที่ช่วยชี้แนะและรู้สึกว่าวันนี้โชคช่างเข้าข้างผมซะจริง
ที่จะได้ครบทั้งสามอย่าง….ขวดน้ำยาชุบชีวิต CBL2 พร้อมสูตรน้ำยา แถมอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ
สุดๆ ก็คือตัวปรางค์”
เขากล่าวจบพร้อมดึงร่างบอบบางของดร.นวลปรางค์เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดจากนั้นรีบเอามือ
ทั้งสองข้างจับกันไขว้ไว้ข้างหลัง โดยมีปืนจ่อตรงขมับในระยะเผาขน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ต่างตื่นตระหนกตกใจ แต่ดร.ปารมีตั้งสติได้สงบนิ่งกว่า และเตรียมตัวพร้อมที่จะเข้าชาร์จ
เพื่อช่วยเหลือหญิงคนรักทันทีทันใด หากเกิดภยันตรายร้ายแรงขึ้นมากระหันทัน ซึ่งในขณะนี้
ดร.นวลปรางค์ก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในอุ้มมือมารยังไงอย่างนั้นเลยแต่สุดท้ายก็ต้องหยุดชะงักงันไป เมื่อดร.ชัยยศตวาดออกมาเสียงดังว่า
“อย่าเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นปรางค์ตายแน่”
ดร.นวลปรางค์พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดออกจากการพันธนาการของเขาแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
อย่างใด เพราะยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกอดรัดมากขึ้นกว่าเดิม เธอหยุดดิ้นแล้วนิ่งสงบพลางสบสายตา
กับชายคนรักที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“ยิงเลยค่ะ เรื่องจะได้จบๆ สักที”
“ปรางค์เป็นห่วงไอ้ด็อกเตอร์ปารมีถึงขนาดยอมตายแทนเลยเหรอ....ปรางค์นะปรางค์
92
....ทำไมปรางค์ไม่มีใจให้กับผมบ้างทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผมรักและปรารถนาดีมากแค่ไหน
แต่ปรางค์ก็ไม่เคยเห็นความรักของผมเป็นเรื่องสำคัญ”
“หยุดพูดสักทีเถอะค่ะคุณด็อกเตอร์ชัยยศไม่รู้จะพร่ำพรรณนาอะไรนักหนารู้ทั้งรู้ว่า
ยังตัดใจกับปรางค์ไม่ได้ แล้วมายุ่งกับเพียงขวัญทำไม”
เพียงขวัญตัดพ้อต่อว่าเสียงสั่นเครือด้วยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและเสียใจที่เสียรู้จนเสียตัวให้กับ
ผู้ชายอย่างเขาวันเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกรักใคร่ใยดีอย่างจริงจังและจริงใจแต่อย่างใด
เขาเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว และเห็นแก่ผลประโยชน์แห่งตนเป็นใหญ่ จนหัวใจไร้รัก ไร้เยื่อใย
และไร้ความผูกพันที่พึ่งควรมีให้กันและกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้นและเกลียดชังอย่างไม่มีวันให้อภัยถึงแม้ว่าจะระบายความคับแค้นในใจด้วยหยาดน้ำตาปนกับความชอกช้ำระกำใจแล้วก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นที่ผ่านมาคุณด็อกเตอร์ชัยยศก็โกหกและหลอกใช้เพียงขวัญมาโดยตลอด
ใช่มั้ยคะ”
“คุณเพียงขวัญฟังผมอธิบายก่อน มันไม่ใช่อย่างที่คุณเพียงขวัญคิดเลยสักนิดเพราะทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดก็เพื่อเราสองคน”
ดร.ชัยยศยังเสแสร้งกล่าวคำโกหกหน้าตาย แต่มันสายไปเสียแล้ว เพราะเพียงขวัญไม่หลงเชื่อ
และคล้อยตามเขาอีกต่อไป
“หยุดเถอะค่ะคุณด็อกเตอร์ชัยยศ เรื่องของเรามันจบลงแล้ว”
เพียงขวัญพูดเสียงเบาพร้อมกับเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนคราบน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบสองแก้ม
ดร.ชัยยศรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีทันควัน หลังจากเพียงขวัญกล่าวปฏิเสธไม่หลงเชื่อคำโกหก
อีกต่อไป เขาหรี่ตามองทุกคนในวงสนทนาด้วยอารมณ์โกรธแค้นพลางว่า
“เอาล่ะ พอกันที เสียเวลามามากแล้ว ไอ้ด็อกเตอร์ปารมีเอาสูตรน้ำยามาเดี๋ยวนี้ถ้าไม่
อยากให้ปรางค์ตาย”
เขาไม่ว่าเปล่าพลางกระชับปืนในมือให้แน่นขึ้นคนถูกกล่าวถึงยืนตั้งหลักอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึก
ไม่ค่อยจะพอใจนักที่เพื่อนร่วมงานทำกิริยาไม่สุภาพและหยาบคายจนเกินไปแต่ก็ต้องนิ่งเฉย
ไม่โต้ตอบ ดร.ปารมีกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณนั้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตึงเครียด
เขาสบสายตาหญิงคนรักเหมือนรู้ใจกันและกัน ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า
“ถ้าอยากได้สูตรน้ำยาชุบชีวิต CBL2 ก็ปล่อยตัวปรางค์ก่อนสิ”
แววตาของดร.ชัยยศที่จ้องมองดร.ปารมีราวกับเปลวไฟบรรลัยกัณฑ์ลุกโชติด้วยความเคียดแค้น
และผูกใจเจ็บพยาบาทมาดร้ายต่างฝ่ายต่างคิดว่าฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อนโดยเฉพาะดร.ชัยยศที่คิดติดลบมาตลอดว่าดร.ปารมีเป็นศัตรูและเป็นมารหัวใจ จนไม่อาจอยู่
ร่วมโลกกันต่อไปได้เขาเชิดหน้าใส่เพื่อนร่วมงานอย่างมั่นใจพลางว่า
“ทำไมชอบทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากกันจังยึกยักไปยึกยักมาให้เสียเวลาไปเปล่าๆ
บอกให้เอาสูตรน้ำยามาก็เอามาสักทีสิ หรือว่าอยากให้ปรางค์ตายจริงๆ”
ดร.ปารมีนิ่งเฉยแต่แอบยิ้มเยาะเย้ยในใจเพราะสามารถทำให้ดร.ชัยยศเกิดอารมณ์โกรธเคือง
93
จนกระทั่งลืมระวังตัวได้เป็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว แล้วในทันใดนั้นเขาตรงเข้าจู่โจมแบบไม่
ทันตั้งตัวโดยแย่งปืนพร้อมผลักร่างเอวบางอรชรของหญิงคนรักให้หลุดพ้นออกจากอ้อมแขนเพื่อนร่วมงาน ดร.นวลปรางค์กระเด็นกลิ้งไปทางเพียงขวัญที่ยืนรอรับอยู่ หลังจากนั้นสองหนุ่ม
ปล้ำสู้แย่งปืนกันอย่างชุลมุนวุ่นวายต่างคนต่างสลับชกต่อยหมัดแลกหมัดฟาดแข้งกันอย่าง
เมามันจนลืมเจ็บลืมตายแบบไม่คิดชีวิต
“ผลัวะ!....”
“ผลัวะ!....ผลัวะ!....”
“โอ๊ย!....”
เสียงหนึ่งร้องดังขึ้นด้วยความลืมตัว พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเขาล้มกลิ้งลงไปนอนกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า จนปืนที่อยู่ในมือหลุดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ดร.ปารมียืนเหนื่อยหอบจน
แทบขาดใจเสียให้ได้แต่สายตาแอบลอบมองไปยังปืนที่ตกอยู่ตรงระเบียงบ้านพัก ซึ่งห่างจาก
พวกเขาทั้งสองราวๆสามเมตรแววตาของสองหนุ่มที่จดจ้องมองกัน มันมีแต่ความดุดันพยาบาท
มาดร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก็ไม่ป่านแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีไหวพริบปฏิภาณ
เหนือกว่ากันดร.ชัยยศยืนโอนเอนไปมามีอาการคล้ายจะเป็นลม พลางใช้หลังมือเช็คเลือดสดๆ
ที่ไหลซึมออกมาจากมุมปากพร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนล้าว่า
“เอามา....เอามาเร็วๆ”
“พอเถอะค่ะด็อกเตอร์ชัยยศ หยุดละโมบ หยุดโลภ หยุดอยากได้ของคนอื่นเอามาเป็น
ของตัวเองสักทีเถอะตัวด็อกเตอร์เองก็เป็นคนมีชื่อเสียงผู้คนทั่วไปต่างนับหน้าถือตามากมาย
คิดจะทำอะไรทำไมไม่อายคนอื่นเค้าบ้าง เพียงขวัญขอร้อง....หยุดเถอะนะคะ”
เพียงขวัญชิงพูดแทรก เพื่อพยายามโน้มน้าวให้เขาใจอ่อนลง และมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นกว่าเดิม
แต่กลับไร้ผลอย่างสิ้นเชิง เขาทำตาขวางใส่เพียงขวัญพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนตวาดขึ้นว่า
“ฮ่า....ฮ่า...ฮ่า....หยุด....หยุดพูดเดี๋ยวนี้....พูดมากเหม็นขี้ฟัน....ถ้าไม่ใช่แม่ผมไม่ต้องมา
สั่งสอนให้หนวกหู....”\
ดร.ชัยยศพูดยังไม่ทันขาดคำและเท้าไวเท่าความคิด เขารีบเร่งฝีเท้าดิ่งไปยังปืนที่ตกอยู่ตรง
ระเบียงบ้านพักแต่ก็ยังช้ากว่าดร.ปารมีที่พุ่งตัวตรงไปยังปืนก่อนหน้าเขาเพียงแค่เสี้ยววินาที
จากนั้นความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง สองหนุ่มปลุกปล้ำชกต่อยกันด้วยความโมโหโกรธแค้น
และต่างแลกหมัดฟาดแข้งกันอย่างเมามัน
“ผลัวะ!....ผลัวะ!....”
“ผลัวะ!....”
แต่ครั้งนี้ดร.ปารมีพลาดท่าเสียทีให้แก่ฝ่ายตรงกันข้าม เพราะแรงเหวี่ยงของเพื่อนร่วมงานทำให้
ร่างกำยำของเขาเซถลาลงไปนอนกองกับพื้น ดร.ชัยยศยืนแทบไม่ติดพื้นด้วยความเหนื่อยล้า
แต่ในมือยังกำปืนไว้แน่นพร้อมกับเล็งไปยังร่างดร.ปารมีที่ยังนอนเหนื่อยหอบอยู่ดร.ชัยยศขบ
กรามแน่น ก่อนสบถคำหยาบลั่นเหมือนคนขาดสติด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านสุดระงับได้
94
“มึงอย่าอยู่เลยไอ้ด็อกเตอร์ปารมีตายเสียเถอะไอ้มารหัวใจ“
“เปรี้ยง!....”
สิ้นคำพูดพร้อมสิ้นเสียงปืนที่แผดกัมปนาททุกคนต่างอยู่ในอาการตกตะลึงต่อเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันและทุกเสียงต่างเรียกชื่อออกมาพร้อมกันอย่างลืมตัว
“เหม่ยลี่!....”
ร่างบางอรชรของเหม่ยลี่นอนทับร่างกำยำของดร.ปารมีในสภาพหมดสติสัมปชัญญะเขาใช้
แขนทั้งสองยันตัวขึ้นนั่งพร้อมช้อนร่างหญิงสาวที่อ่อนระทวยไม่ไหวติงเข้าไว้ในอ้อมกอด
เขาเรียกชื่อพลางเขย่าตัวเบาๆ เพื่อให้หญิงสาวรู้สึกตัว
“คุณเหม่ยลี่....คุณเหม่ยลี่ครับ”
ดร.ปารมีสบตากับหญิงคนรักที่จ้องมองมาด้วยสีหน้าซีดเผือด เธอถึงกับเบิกตากว้างด้วย
อาการตกใจระคนปนเศร้าใจเพราะบนพื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดๆ ไหลซึม
ออกมาจากชุดชาวเขาเผ่าม้งทอมือจากเส้นใยกัญชงที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ และเลือดสดๆ
ยังไหลซึมออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เปียกเลอะเทอะมือทั้งสองข้างของเขาจนเขาเกิด
ความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจไม่แพ้กันดร.นวลปรางค์ไม่รอช้ารีบเข้าไปจับมือเล็กขาวซีดของ
หญิงสาวมากุมไว้ พร้อมกับบีบเบาๆก่อนเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“เหม่ยลี่....เหม่ยลี่ได้ยินปรางค์พูดมั้ยคะ”
หญิงสาวทำได้แต่เพียงพยักหน้าแทนคำตอบ ขณะยังหลับตาทั้งสองข้างอยู่ด้วยความอ่อนล้า
“อดทนไว้นะจ๊ะเหม่ยลี่ รถกำลังมารับไปโรงพยาบาทแล้วจ้ะ”
หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมองอย่างช้าๆ ก่อนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบเป็นกระซิบว่า
“ไม่เป็นไร ข้าเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้า”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากที่ไหนกัน....คุณเหม่ยลี่โดนยิงนะครับ”
“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าโดนยิง!....”
หญิงสาวอุทานตกใจด้วยน้ำเสียงบางเบาและเงียบนิ่งไปด้วยสีหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาดที่เห็น
ได้อย่างชัดเจน คนทั้งสองสบตากันเมื่อเห็นอาการผิดสังเกต เพราะมือและเท้าของหญิงสาว
เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่มแล้วตามด้วยอาการไอเสียงเบาๆ ก่อนพยายามจะปริปากพูด
“มืดแล้วเหรอเจ้า”
“ใช่จ้ะ ใกล้จะมืดแล้ว....เหม่ยลี่อดทนไว้นะจ๊ะ”
ดร.นวลปรางค์พูดไปน้ำตาคลอเบ้าไปด้วย พร้อมบีบมือเล็กขาวซีดเบาๆอีกครั้งเพื่อเป็นการ
ปลอบขวัญให้กำลังใจในการต่อสู้กับพิษบาดแผล เพราะขณะนี้หญิงสาวได้สูญเสียเลือดไปไม่น้อย
“เจ้า”
น้ำเสียงตอบยานคางอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เหม่ยลี่จะต้องอดทน และสู้ๆ นะจ๊ะ เพียงขวัญเป็นกำลังใจจ้ะ”
95
เพียงขวัญกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาซึมคลอเบ้าเช่นกัน
“เจ้า....แต่ข้าเจ้าเหนื่อย....เหนื่อยเหลือเกินเจ้า”
ครั้งนี้หญิงสาวตอบรับพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ
อย่างหมดแรง
“ไม่นะเหม่ยลี่....เหม่ยลี่อย่าพึ่งหลับ....เหม่ยลี่ตื่น....ตื่นก่อนนะเหม่ยลี่”
ดร.นวลปรางค์ส่ายหน้าไปมาพร้อมพูดทั้งน้ำตาเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ค่อยจะ
สู้ดีนัก
“คุณเหม่ยลี่ตื่น....คุณเหม่ยลี่อย่าพึ่งหลับนะครับ”
ดร.ปารมีเขย่าร่างบอบบางเบาๆ เพียงเพื่อต้องการให้หญิงสาวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ จนหญิงสาวค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองด้วยความยากเย็น สีหน้า
เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอ่อนล้าเต็มที ริมฝีปากเรียวบางซีดเซียวไร้สีเลือดค่อยๆ
ขยับมุมปากนิดๆ คล้ายกับพยายามอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“อ้าย....อ้ายปารมีเจ้า ข้าเจ้า....ข้าเจ้าหนาวเหลือเกิน”
หญิงสาวร้องเรียกหาเขาด้วยความคุ้นเคย
“ผมอยู่กับคุณเหม่ยลี่นี่แล้วครับ”
เขารีบขานรับด้วยเสียงสั่นเครือพลางสบตากับหญิงคนรักอย่างรู้ความนัยซึ่งกันและกัน
เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤตของความเป็นความตาย ใจหนึ่ง
เกิดความรู้สึกสงสารหญิงสาวที่ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส และอีกใจหนึ่งอยากโอบ
กอดเป็นกำลังใจให้อย่างเต็มเปี่ยมและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรไปได้มาก
กว่านี้หญิงสาวพยายามเพ่งมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของดร.ปารมี ถึงแม้ว่าสายตา
จะเริ่มพร่ามัวแล้วก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ระบายอยู่บนใบหน้าขาวซีดก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา
อย่างเชื่องช้าว่า
“มืดแล้ว ทำไมไม่เปิดไฟกันล่ะเจ้า”
“อ๋อ....เดี๋ยวปรางค์ไปเปิดไฟให้เองจ้ะ”
ดร.นวลปรางค์พูดปดปนเสียงสะอื้นไห้ เธอจำใจต้องพูดโกหกเพื่อต้องการให้อีกฝ่าย
สบายใจ หญิงสาวพยักหน้ารับหงึกๆ พลางกระแอมไอเบาๆ ก่อนพยายามเอ่ยถามต่อ
ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“อ้าย....อ้ายปารมีเจ้า ข้าเจ้า....ข้าเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดกับอ้าย มันเป็นเรื่องที่
อยากจะพูดมานานแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี….”
“พูดมาได้เลย ผมพร้อมและยินดีรับฟังคุณเหม่ยลี่เสมอ”
ดร.ปารมีพูดเสียงเรียบแทรกขึ้นมาขณะหญิงสาวหยุดกระแอมไอ
“อ้ายปารมีเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชุบชีวิตข้าเจ้าให้กลับฟื้นมามีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
96
บุญคุณของอ้ายมากมายเหลือล้นถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ได้มีชีวิตเพียงระยะสั้นๆ ก็ตาม
แต่ข้าเจ้าก็สุขใจและมีความสุขอย่างมากความรักและความปรารถนาดีที่อ้ายหยิบยื่นให้นั้น
ข้าเจ้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ดีมาโดยตลอด แต่อ้ายรู้มั้ย....วันเวลาที่ผ่านมามันช่างทรมาน
จิตใจข้าเจ้าเหลือเกินข้าเจ้า....ข้าเจ้าขอสารภาพกับอ้ายตรงนี้อย่างไม่อายว่าความอ้างว้าง
เดียวดายที่อยู่ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจ มันได้ความรักและความปรารถนาดีที่อ้ายหยิบยื่นให้ไป
เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปแต่ทุกๆ ครั้งที่คิดขึ้นมา มันจะเป็นเส้นขนานไปกับความพยายาม
หักอกตัดใจ และเกิดความละอายแก่ใจด้วยเสมอ ข้าเจ้าเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจและต้องทน
ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส....”
หญิงสาวหยุดกระแอมไอ แต่ครั้งนี้อาการไอรุนแรง และมีเลือดสดเป็นลิ่มๆ ผสมปนออกมา
กับเสมหะ จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตระหนกตกใจไปตามๆ กัน
“คุณเหม่ยลี่ทำใจดีๆ ไว้....คุณเหม่ยลี่จะต้องเข้มแข็งนะครับ”
ดร.ปารมีพูดเสียงสั่นเครือ ในขณะที่ดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้าทั้งสองข้าง
“เหม่ยลี่ทำใจดีๆ ไว้....อดทนไว้นะ”
ดร.นวลปรางค์พูดปลอบโยนเสียงสั่นเครือปนสะอื้นไห้
“อ้าย....อ้ายปารมีเจ้า ข้าเจ้าดีใจที่มีชีวิตกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดีใจที่ได้รู้จักกับอ้าย
ดีใจที่มีโอกาสได้สัมผัสกับความรัก และความปรารถนาดีที่มีค่ายิ่งอย่างไม่เคยได้รับมาก่อน
ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ข้าเจ้าได้พบเจออ้ายทุกภพทุกชาติไป แต่ชาตินี้ข้าเจ้าบุญน้อยด้อย
วาสนา มีเวลาอยู่บนโลกนี้เพียงน้อยนิด ถึงอย่างไรข้าเจ้าก็สุขใจที่ได้รู้จักความรักและความ
ปรารถนาดีจากอ้าย ถึงตายก็ตายตาหลับอย่าง....อย่างเป็นสุข....”
เมื่อสิ้นเสียงคำกล่าว หญิงสาวก็แน่นิ่งคามือของเขาไปพร้อมๆ กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“คุณเหม่ยลี่!....”
“เหม่ยลี่!....”
ทุกคนตะโกนเรียกชื่อหญิงสาวเสียงดังขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ดร.ปารมีกอดร่าง
ที่ไร้วิญญาณมาแนบอก พลางสะอึกสะอื้นร่ำไห้ให้ปิ่มว่าจะขาดใจ ส่วนคนยิงปืนยืนนิ่งซึม
ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนถูกสตาฟ โดยมีสมศักดิ์กับเพียงขวัญยืนประกบอยู่ข้างๆ ดร.ชัยยศตก
อยู่ในอาการเศร้าเสียใจพร้อมน้ำตาซึมคลอเบ้า เขาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
“อาจารย์ใหญ่....ผมขอโทษ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายที่จะทำลายอาจารย์ใหญ่แต่อย่างใด
มันเป็นเพราะความละโมบโลภมาก เห็นแก่ตัว อยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตัวเอง
จนขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความยั้งคิด ผิดชอบชั่วดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันจะเป็นตรา
บาปในใจของผมตลอดไปชั่วชีวิต ผมยอมรับผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไป ผมขอให้อาจารย์ใหญ่
ยกโทษและอโหสิกรรมให้ผมด้วย”
---------------------------------------------------------------------------
การแต่งกายเผ่าม้ง
ผู้หญิง ใส่กระโปรง ทอด้วยป่านใยกัญชง (ต้นคล้ายกัญชา แต่ดอกและใบใช้สูบไม่ได้) การทำกระโปรงของหญิงม้ง โดยการใช้เล็บสะกิดใยกัญชงออกเป็นเส้น แล้วฝั่นต่อกันเป็นม้วนใหญ่ นำไปฟอกด้วยน้ำด่างขี้เถ้า จะได้ด้ายสีขาวอมเหลือง นำไปทอเป็นผ้ามีผิวสัมผัสหยาบหนา แต่นุ่มเป็นมัน มีความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร นำไปเขียนด้วยขี้ผึ้ง เป็นลวดลายเรขาคณิต นำไปย้อมสีน้ำเงินอมดำ แล้วนำไปต้มให้ขี้ผึ้งละลาย เป็นการทำบาติกแบบโบราณนำผ้าที่ย้อม แล้วมาพับเป็นพลีทเล็ก ๆ แล้วใช้ไม้กดทับไว้ให้จีบอยู่ตัว แล้วใช้ด้ายร้อยระหว่างจีบจากด้านหนึ่ง ไปยังด้านหนึ่งเป็นเอวของกระโปรง ใช้ผ้าขาวต่อเป็นเอว ใช้ผ้าสีต่าง ๆ กุ๊นตกแต่งกระโปรง และ ปักด้วยด้ายสีต่าง ๆ
เสื้อเอวเกือบจะลอย แขนยาว มีปกเสื้อด้านหลัง ผ่าหน้า หรือทับไปทางซ้ายทำด้วยผ้าสี ดำ มีตกแต่งลวดลาย ผ้าคาดเอวสีดำมีพู่แดงเป็นชายครุย มีสนับแข็งสีดำ ผมขมวดเป็นมวย ใส่ หมวดผ้าหรือโพกผ้าสีดำ ใส่ต่างหูเงิน ห่วงคอทำด้วยเงิน 3-4 วงซ้อนกัน ด้านหลังเสื้อตกแต่ง ด้วยเหรียญเงินเก่า
ปัจจุบันเสื้อม้งเขียวหรือม้งดำจะทำให้มีหลากหลายสีมากขึ้นเหมือนกัน ชายเสื้อยาวจะถูกปิดด้วยกระโปรงเวลาสวมใส่ สาบเสื้อทั้งสองข้างจะปักลวดลาย หรือขลิบด้วยผ้าสี ตัวกระโปรงจีบเป็นรอบ ทำเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งการปัก และย้อมรอยผ่าของกระโปรงอยู่ด้านหน้า มีผ้าเหลี่ยมผืนยาวปักลวดลายปิดรอยผ่า และมีผ้าสีแดงคาดเอวทับอีกทีหนึ่ง โดยผูกปล่อยชาย เป็นหางไว้ด้านหลัง สำหรับกระโปรงนี้จะใส่ในทุกโอกาส และในอดีตนิยม พันแข้งด้วยผ้าสีดำอย่างประณีตซ้อนเหลื่อมเป็นชั้นๆ ปัจจุบันก็ไม่ค่อย นิยมใส่กันแล้ว ผู้หญิงม้งดำนิยมพันผมเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม และมีช้องผมมวยซึ่งทำมาจากหางม้าพันเสริมให้มวยผมใหญ่ขึ้นใช้ผ้าแถบเป็นตาข่าย สีดำพันมวยผมแล้วประดับด้วยลูกปัดสีสวยๆ ส่วนเครื่องประดับเพิ่มเติมนั้น มีลักษณะเหมือนกับม้งขาว
ม้งน้ำเงิน ผู้ชาย สวมเสื้อสีดำ หรือน้ำเงิน ตัวสั้น ตัวป้าย ปักลวดลาย แขนยาว ขลิบขอบแขนเสื้อด้วยสีฟ้า ส่วนกางเกงใช้สีเดียวกัน เป้ากางเกงจะกว้างและหย่อนต่ำลงมาถึงหัวเข่า ปลายขาแคบมีผ้าสีแดงคาดเอวเอาไว้ ชายผ้าทั้งสองข้างปักลวดลาย ห้อยลงมา ผู้หญิง สวมเสื้อสีดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม มีลวดลายที่หน้าอก แขนยาวขลิบที่ปลายแขนด้วยสีฟ้า ปกเสื้อห้อยพับไปด้านหลัง ปักลวดลาย สวมกระโปรงจีบ รอบตัว ลวดลาย จากการเขียนด้วยขี้ผึ้งแล้วนำย้อมสีน้ำเงิน มีผ้าผืนยาวปักลวดลาย หัอยชายปิดกระโปรง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะใช้ผ้าพื้นเรียบ ขลิบชายด้วยผ้าสี มีผ้าแดงปักลวดลายที่ชายทั้งสองข้าง และปล่อยเป็นพู่ห้อยลงมา คาดด้วยเข็มขัดเงินทับ พันแข้งด้วยผ้าสีน้ำเงินหรือดำ มวยผมไว้ที่กลางกระหม่อมมีช้องผมมวย พันเสริมให้ใหญ่ขึ้น แล้วใช้ผ้าโพกทับมวยผม ประดับเครื่องเงิน และเหรียญเงิน
ส่วนม้งเขียว สวมเสื้อคล้ายกับม้งขาว แต่จะสวมกระโปรงที่ทอจากใยกัญชง การแต่งกายของผู้ชาย ม้งขาวสวมเสื้อสีดำ/น้ำเงิน แขนยาว ปลายแขนและสาบเสื้อปักด้วยลวดลายสวยงาม กางเกงสะดอสีดำหรือสีน้ำเงิน ผ้ามัดเอวสีแดงหรือสีส้มปักด้วยลวดลายที่ปลายทั้งสองข้าง ส่วนม้งเขียว สวมเสื้อสีดำแขนยาวตัวสั้นปักลายที่ปลายแขน สาบเสื้อและชายเสื้อ กางเกงสีดำเป้ายาวเกือบถึงปลายขากางเกง ผ้ามัดเอวสีคราม ยาว 3 เมตร เครื่องดนตรี เป็นประเภทเป่า เช่น ขลุ่ย ปี่ แคน ใช้ในการประกอบพิธข้าวใหม่ชาวม้ง ของคนในชุมชนชาวม้งและในงานประเพณีรื่นเริงต่าง ๆ ของชนเผ่าม้ง ความเชื่อและพิธีข้าวใหม่ชาวม้ง ชาวม้งจะนับถือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติในป่า (เจ้าที่เจ้าทาง) และมีความเชื่อที่อยู่ในบ้าน เกี่ยวกับบรรพบุรุษ ผีบ้านผีเรือน บางหมู่บ้านก็จะมีการผสมผสานทางด้านศาสนาเข้ามา เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ส่วนพิธีกรรมที่ยึดถือ ประกอบไปด้วยพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด เช่น การเรียกขวัญ การขอแซ่ พิธีกรรมงานศพ การทำผี (แปงผี ,เซ่นผี) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของชาวม้งในทุกด้าน ตั้งแต่เกิดจนตายนอกจากนี้ชาวม้งยังมีความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์ยาม การบนบาน การอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อมาคุ้มครองให้สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีมีการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติสุข
ประเพณีปีใหม่ม้ง หรือที่ชาวม้งเรียกกันว่า “น่อเป๊โจ่วฮ์” แปลตรงตัวได้ว่า “กินสามสิบ” สืบเนื่องจากชาวม้งจะนับช่วงเวลาตามจันทรคติ โดยจะเริ่มนับตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึง 30 ค่ำ
ประเพณีปีใหม่ม้ง เป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ช่วยส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวของอำเภอเชียงดาวได้เป็นอย่างดีและถือว่าเป็นประเพณีที่สำคัญของพี่น้องชาวม้ง ซึ่งจะจัดขึ้นทุกปี หลังจากมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบปีเรียบร้อย ว่ากันว่า เป็นการฉลองถึงความสำเร็จในการเพาะปลูกของแต่ละปี ซึ่งในกิจกรรมดังกล่าวนั้นจะต้องทำพิธีบูชาถึงผีฟ้า ผีป่า และผีบ้าน ที่ให้ความคุ้มครอง ดูแลความสุขสำราญตลอดทั้งปี รวมถึงผลผลิตที่ได้ในรอบปีด้วย
แต่เดิมนั้น จะมีการจัดขึ้นในแต่ละหมู่บ้าน โดยมีการฉลองกันตามวัน เวลา ที่สะดวกของแต่ละชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดกันในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี แต่ในปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยน มีการรวมพี่น้องชนเผ่าม้ง จากหลายๆ หมู่บ้าน โดยมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามแต่ละหมู่บ้านที่มีความพร้อม
เมื่อวันที่ 14 -16 ธันวาคมที่ผ่านมาได้มีการจัดงานประเพณีปีใหม่ม้ง ขึ้นที่บ้านม้งแม่มะกู้ ตั้งอยู่บริเวณถนนสายปิงโค้ง-พร้าว ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีพี่น้องชนเผ่าม้ง จากหลายหมู่บ้าน หลายอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง เดินทางเข้ามาร่วมงานกันอย่างคับคั่งนับพันคน ทำให้บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายชุดประจำเผ่ากันอย่างงดงาม
ประเพณีปีใหม่ม้ง หรือที่ชาวม้งเรียกกันว่า “น่อเป๊โจ่วฮ์” แปลตรงตัวได้ว่า “กินสามสิบ” สืบเนื่องจากชาวม้งจะนับช่วงเวลาตามจันทรคติ โดยจะเริ่มนับตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึง 30 ค่ำ (ซึ่งตามปฏิทินจันทรคติจะแบ่งออกเป็นข้างขึ้น 15 ค่ำ และข้างแรม 15 ค่ำ) เมื่อครบ 30 ค่ำ จึงนับเป็น 1 เดือน ดังนั้นในวันสุดท้าย (30 ค่ำ) ของเดือนสุดท้าย(เดือนที่ 12) ของปีจึงถือได้ว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ช่วงวันฉลองปีใหม่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม
ในวันดังกล่าว หัวหน้าครัวเรือนของแต่ละบ้าน จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลของครัวเรือน ถัดจากวันส่งท้ายปีเก่าไป 3 วัน คือวันขึ้น 1 ค่ำ 2 ค่ำและ 3 ค่ำของเดือนหนึ่ง จัดเป็นวันฉลองปีใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งทุกคนจะหยุดหน้าที่การงานทุกอย่างในช่วงวันดังกล่าวนี้ และจะมีการจัดการละเล่นต่าง ๆ ในงานขึ้นปีใหม่ เช่น การละเล่นลูกช่วง การตีลูกข่าง การร้องเพลงม้ง เป็นต้น
การเล่นลูกช่วง หรือที่คนม้ง เรียกกันว่า “จุเป๊าะ” นั้นถือว่าเป็นการละเล่นเพื่อฉลองวันปีใหม่ม้งโดยเฉพาะ เลยทีเดียว ลูกช่วง นั้นจะมีลักษณะกลมเหมือนลูกบอลทำด้วยเศษผ้า มีขนาดเล็กพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียวได้ การละเล่นลูกช่วง จะแบ่งกลุ่มผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย โดยที่ก่อนจะมีการละเล่น ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่เอาลูกช่วงไปให้ฝ่ายชาย หรือญาติ ๆ ของฝ่ายหญิงเป็นผู้ที่นำลูกช่วงไปให้
วันที่สามของการกลับมามีชีวิตใหม่ (72 ชั่วโมง)
วันที่สี่ของการกลับมามีชีวิตใหม่ (96 ชั่วโมง)
วันที่ห้าของการกลับมามีชีวิตใหม่ (120 ชั่วโมง)
วันที่หกของการกลับมามีชีวิตใหม่ (144 ชั่วโมง)
วันที่เจ็ดของการกลับมามีชีวิตใหม่ (168 ชั่วโมง)
ปีใหม่ม้ง ที่หมู่บ้านของชาวไทยม้งประเพณีปีใหม่ของพวกเขาตรงกับ วัน ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ของม้ง ซึ่งตรงกับปฏิทินไทยคือ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 2 หรือ ปฏิทินจีน คือ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเวลาระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคมของทุกปี ซึ่งในวันปีใหม่นี้ของชาวม้งจัดเป็นงานประเพณีที่ชาวม้งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากจะเป็นการพบปะกันระหว่างกลุ่มญาติมีประเพณีขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโส เป็นวันที่หนุ่มๆสาวๆในหมู่บ้านจะได้เลือกคู่ มีการจัดการแข่งขันกีฬาประเพณีและการละเล่นต่างๆ เช่น ลูกข่าง ลูกช่วง และยังมีการแข่งขันล้อเลื่อนไม้ชิงแชมป์ประเทศไทยซึ่งเป็นกีฬาที่ท้าทายน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่นอกการละเล่นที่สร้างความสนุกสนานแล้วชาวม้งก็ไม่ลืมที่จะทำพิธีกรรมต้อนรับปีใหม่ซึ่งจัดเป็นพิธีกรรมที่ชาวม้งให้ความสำคัญกันมากโดยมี 4 อย่างดังนี้
ชนชาติม้งชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วในประเทศไทยลูกผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้ง
แม่ของข้าเจ้าเป็นชาวสิบสองปันนา ซึ่งภาษาที่ใช้พูดกันส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไทลื้อเจ้า”
เรือน คุณเหม่ยลี่เป็นชนชาติม้ง โดยทางพ่อมีเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยว
และทางแม่มีเชื้อสายมาจากชนชาติไท สิบสองปันนา ทั้งนี้จากข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์
ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะ ซึ่งมีความเชื่อว่าน่าจะเป็นแหล่งอารยธรรม
เก่าแก่โบราณและอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเธอก็ได้ดังนั้นผมจึงวิเคราะห์อย่างคร่าวๆ ได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือ ชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วในประเทศไทย
เท่าที่ทราบกันมาแต่เดิมนั้นม้งอาศัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งชาวจีนเรียกกันว่า “เมี้ยว”นั้น ได้แบ่งเมี้ยวเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆด้วยกันคือ ม้ง (Hmong) มุบ (Hmub) และ โคเชียง(Kho Hsiong) แต่บางครั้งก็มักจะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ ม้ง (Hmong) , มุบ(Hmub), มอง(Mong) และเมา (Hmao) ไม่ว่าอย่างไรก็ตามม้งได้ถูกแบ่งไว้ในกลุ่มหนึ่งของเมี้ยว และคำว่า “เมี้ยว” นี้เองที่เพี้ยนไปเป็นว่า “แม้ว” (Meo) ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในภาษาไทย ลาว เวียดนาม อังกฤษและฝรั่งเศส
ผู้หญิงม้งมักต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย เพราะว่า ชายม้งถือว่าได้ซื้อผู้หญิงมาทำหน้าที่แทนทุกคนในบ้าน หรือมาเป็นคนรับใช้ ดังนั้น ผู้หญิงม้งที่แต่งงานจึงเปรียบได้ว่าเป็นคนรับใช้ ดังนั้นงานที่จะต้องทำมีอยู่มากมาย และไม่มีวันหมด ทำงานหนักทุกวัน แต่ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำให้ชายม้งต้องการมีภรรยาหลายคน เพื่อที่จะได้มาแบ่งภาระเหล่านี้ บางคนอาจมีถึง 4 คน แต่บรรดาภรรยา ของชายม้งจะอยู่ร่วมกันเสมือนญาติพี่น้อง ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันแต่ปัจจุบัน ม้งเริ่มรับวัฒนธรรมของคนไทย จึงทำให้ครอบครัวม้งมีขนาดเล็กลง คือ จะประกอบ ด้วยพ่อ แม่ ลูก เท่านั้น และผู้ชายม้งเริ่มหันมาให้ความช่วยเหลือภรรยาของตนมากขึ้น
ชาวม้ง ชาวกะเหรี่ยง มีนามสกุลเป็นเรื่องเป็นราว นามสกุลจะบอกตัวตนของเผ่าพันธ์ุ เช่น ทรัพย์ทวีอนันต์สุข รุ่งโรจน์ไพศาลกิจ จะเป็นม้งครับ ถ้าเป็นนามสกุลออกแนวธรรมชาติ เช่น คิรีภูมิทอง พฤษาฉิมพลี นทีไพวัลย์ จะเป็นกะเหรี่ยงครับ
เท่าที่ทราบกันมาแต่เดิมนั้นม้งอาศัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งชาวจีนเรียกกันว่า “เมี้ยว”นั้น ได้แบ่งเมี้ยวเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆด้วยกันคือ ม้ง (Hmong) มุบ (Hmub) และ โคเชียง(Kho Hsiong) แต่บางครั้งก็มักจะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ ม้ง (Hmong) , มุบ(Hmub), มอง(Mong) และเมา (Hmao) ไม่ว่าอย่างไรก็ตามม้งได้ถูกแบ่งไว้ในกลุ่มหนึ่งของเมี้ยว และคำว่า “เมี้ยว” นี้เองที่เพี้ยนไปเป็นว่า “แม้ว” (Meo) ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในภาษาไทย ลาว เวียดนาม อังกฤษและฝรั่งเศส
ส่วนการอพยพที่เข้าประเทศไทย
การอพยพเข้าสู่ประเทศไทย
ชนชาติม้งกลุ่มแรกที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทยนั้นไม่มีหลักฐานใดๆบ่งชี้ได้ชัดเจนแต่จากเอกสารของสถาบ้นวิจัยชาวเขาคาดว่าเริ่มต้นอพยพเข้ามาทางตอนเหนือของประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. 2387 – 2417 จุดที่ชนเผ่าม้งเข้ามามีอยู่ด้วยกัน 3 จุดคือ
1.1 เข้ามาทางห้วยทราย – เชียงของ อำเภอ เชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือสุด เป็นจุดที่เข้ามาก่อน และเข้ามามากที่สุด หลังจากนั้นแยกย้ากระจัดกระจายไปตามแนวทองของเส้นเขามุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตากและสุโขทัย
1.2 เข้ามาทางไชยบุรี ปัว และทุ่งช้าง เขตอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน แล้วบางกลุ่มได้อพยพลงสู่ทางใต้และทางตะวันตกเข้าสู่จังหวัดแพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร และจังหวัดตาก
1.3 เข้าทางภูคา – นาแห้ว และด่านซ้าย อำเภอนาแห้ว และอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แล้วบางกลุ่มได้เข้ามาสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ในที่สุด (สุนทรี, 2524 :อ้างโดยประสิทธิ์, 2531)
นอกจากทั้งสามจุดนี้แล้ว จุดหนึ่งที่ชาวม้งได้อพยพผ่านมาแต่ไม่มีใครกล่าวถึงคือ เข้ามาทางอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยผ่านมาทางประเทศพม่า ช่องดอยอ่างขาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขันกันว่า ม้งกลุ่มนี้คือกลุ่มที่หลงทางจากการอพยพจากจุดที่ 1
1. สำเนียงเชียงรุ่ง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สำเนียงคนยองถือว่าเป็นสำเนียงภาษากลางของชาวไทลื้อ คือเป็นภาษาของชาวเชียงรุ่ง เป็นสำเนียงที่พูดช้าและฟังดูสุภาพ มักมีคำว่า "เจ้า" ต่อท้ายเหมือนคนล้านนา สำเนียงนี้เป็นสำเนียงที่ใช้ในบริเวณสิบสองปันนาตอนกลาง และตะวันตกของสิบสองปันนา ครอบคลุ่มถึงรัฐฉาน ประเทศพม่า ประกอบด้วย (เมืองยอง, เมืองหลวย, เมืองยู้, เมืองเชียงลาบ, เมืองเลน, เมืองพะยาก และเมืองไฮ) เลยมาถึงประเทศลาวแถบเมืองสิงห์ (เชียงทอง), เชียงแขง, เวียงภูคา, บ่อแก้ว, ไชยบุรี, เชียงฮ่อน, เชียงลม และหงสา โดยมีสำเนียงจะออกกลางๆ การผันสำเนียงเสียง จะอยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นๆ ลงๆ ค่อนข้างน้อย แต่มักตัดคำพูดควบกันให้สั้นลง และมักเอื้อนเสียงพูด หรือลากเสียงยาว ภาษาชาวไทลื้อกลุ่มนี้พูดกันมากในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ เชียงราย น่าน (นับแต่ ตำบลยม อำเภอท่าวังผา, อำเภอปัว ขึ้นไปจนถึงเมืองเงิน และหลวงพระบาง, เมืองสิงห์ ของประเทศลาว)
ภาษาม้งอยู่ในตระกูลเหมียว-เหยา หรือม้ง-เมี่ยน ใช้กันในชาวม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บางส่วนของจีนจัดเป็นภาษาคำโดด โดยหนึ่งคำมีเสียงพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ ไม่มีเสียงตัวสะกด มีวรรณยุกต์สนธิหรือการผสมกันของเสียงวรรณยุกต์เมื่อนำคำมาเรียงต่อกันเป็นประโยค ในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
1. ภาษาม้งเขียว หรือ ม้งจั๊ว (Hmong Njua)
2. ภาษาม้งขาว หรือ ม้งเด๊อ (Hmong Daw)
ภาษาม้งอยู่ในตระกูลเหมียว-เหยา หรือม้ง-เมี่ยน ใช้กันในชาวม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ บางส่วนของจีนจัดเป็นภาษาคำโดด โดยหนึ่งคำมีเสียงพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ ไม่มีเสียงตัวสะกด มีวรรณยุกต์สนธิหรือการผสมกันของเสียงวรรณยุกต์เมื่อนำคำมาเรียงต่อกันเป็นประโยค ในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
1. ภาษาม้งเขียว หรือ ม้งจั๊ว (Hmong Njua)
2. ภาษาม้งขาว หรือ ม้งเด๊อ (Hmong Daw)
1.ภาษาไทลื้อ หรือ ภาษาลื้อ (คำเมือง: ᨣᩴᩣᨴᩱ᩠ᨿ กำไต; จีน: 傣语 Dǎilèyǔ ไต่หยวื่อ; เวียดนาม: Lự, Lữ หลื่อ, หลือ ไทลื้อ: ᦅᧄᦺᦑᦟᦹᧉ ) เป็นภาษาไทยถิ่นแคว้นสิบสองปันนา หรือ เมืองลื้อ อยู่ในตระกูลภาษาขร้า-ไท และมีคำศัพท์และการเรียงคำศัพท์คล้ายกับภาษาไทยถิ่นอื่น ๆ ผู้พูดภาษาไทลื้อเรียกว่าชาวไทลื้อหรือชาวลื้อ ภาษาไทลื้อมีผู้พูดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2,000,000 คน โดยมีจำนวนผู้พูดในประเทศจีน 300,000 คน ในประเทศพม่า 200,000 คน ในประเทศไทย 1,200,000 คน และในประเทศเวียดนาม 5,000 คน
2.ภาษาไทลื้อในตระกูลเผ่าไททั้ง 5 เผ่า นั้นแบ่งสำเนียงภาษาการพูดออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ โดยอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำล้านจ้าง(โขง) เป็นตัวแบ่ง สำเนียงแรก คือ สำเนียงเชียงรุ่ง และสำเนียงเมืองล้า
1. สำเนียงเชียงรุ่ง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ สำเนียงคนยองถือว่าเป็นสำเนียงภาษากลางของชาวไทลื้อ คือเป็นภาษาของชาวเชียงรุ่ง เป็นสำเนียงที่พูดช้าและฟังดูสุภาพ มักมีคำว่า "เจ้า" ต่อท้ายเหมือนคนล้านนา สำเนียงนี้เป็นสำเนียงที่ใช้ในบริเวณสิบสองปันนาตอนกลาง และตะวันตกของสิบสองปันนา ครอบคลุ่มถึงรัฐฉาน ประเทศพม่า ประกอบด้วย (เมืองยอง, เมืองหลวย, เมืองยู้, เมืองเชียงลาบ, เมืองเลน, เมืองพะยาก และเมืองไฮ) เลยมาถึงประเทศลาวแถบเมืองสิงห์ (เชียงทอง), เชียงแขง, เวียงภูคา, บ่อแก้ว, ไชยบุรี, เชียงฮ่อน, เชียงลม และหงสา โดยมีสำเนียงจะออกกลางๆ การผันสำเนียงเสียง จะอยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นๆ ลงๆ ค่อนข้างน้อย แต่มักตัดคำพูดควบกันให้สั้นลง และมักเอื้อนเสียงพูด หรือลากเสียงยาว ภาษาชาวไทลื้อกลุ่มนี้พูดกันมากในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ เชียงราย น่าน (นับแต่ ตำบลยม อำเภอท่าวังผา, อำเภอปัว ขึ้นไปจนถึงเมืองเงิน และหลวงพระบาง, เมืองสิงห์ ของประเทศลาว)
2. สำเนียงภาษาไทลื้อกลุ่มเมืองล้า ได้รับอิทธิพลสำเนียงมาจากภาษาลาว หรือภาษาพวน มาค่อนข้างมาก สำเนียงการพูดออกไปทางภาษาลาว การผันสำเนียงขึ้นลงค่อนข้างเร็ว แต่ต่างกันที่สำเนียงพูดยังคงเป็นภาษาลื้อที่ไม่มี สระ อัว อัวะ เอีย สำเนียงการพูดนี้จะพูดในกลุ่มของชาวไทลื้อเมืองหล้า เมืองพง เมืองมาง เมืองเชียงบาน โดยในประเทศไทย ภาษากลุ่มนี้จะพูดใน อำเภอเชียงม่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา, อำเภอสองแคว อำเภอท่าวังผา (เฉพาะตำบลป่าคา และตำบลยอด อำเภอสองแคว) จังหวัดน่าน)
นอกจากนี้คำบางคำในภาษาไทลื้อยังแตกต่างกันไปตามสภาพของภูมิศาสตร์ และอิทธิพลของภาษากลุ่มที่ใกล้เคียง
3.คำพูดภาษา ของชาวลื้อได้รับอิทธิพลของจีน และ พม่ามากกว่าล้านนา จึงมีสุภาษิตของชาวลื้อว่า “มีม่านเป๋นป่อ มีฮ่อเป๋นแม่” เช่นคำว่า เซ่อ ในภาษาจีน แปลว่า เจ้า ภาษาไทลื้อ มีความหมายอย่างเดียวกัน ในส่วนของล้านนานั้น อิทธิพลภาษาลื้อ และวัฒนธรรม เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ลำพูน และน่าน เพราะสำเนียงภาษาที่นั่นส่วนใหญ่ คำล้านนาบางคำได้สูญหายไป คำศัพท์ภาษาลื้อมาแทน ค่อนข้างมาก เพราะประชากรของชาวไทลื้อมีอยู่มาก กว่าคนเมือง
กลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยว หรือชาวเขาเผ่าม้ง แม้ว ในประเทศไทย ชาวเมี้ยวในประเทศจีนมีประชากร 8,940,116 คน เกือบครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลกุ้ยโจวและที่เหลือในมณฑลหยุนหนาน หูหนาน เสฉวน กวางสี หูเป่ย และไห่หนาน และยังมีชาวเมี้ยวหรือแม้วอีกกว่า 1,500,000 คนในประเทศไทย ลาว เวียดนาม และผลจากสงครามทำให้มีชุมชนเมี้ยวกลุ่มใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ชาวเมี้ยวพูดภาษาในตระกูลเมี้ยว เย้า ชาวเมี้ยวมีความโดดเด่นที่เครื่องแต่งกายและแคนอันเป็นเครื่องดนตรีประจำเผ่า
“ข้าเจ้าสามภาษาแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เออ....ผมขอถามหน่อยสิ แล้วที่นี่ที่ไหนกันครับ”
หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยแววตาสดใส พลางกล่าวตอบ
“อ้ายกับข้าเจ้าถูกน้ำป่าพัดแต่ไม่รู้เหมือนกันว่า มาอยู่บนเฮือนของข้าเจ้า
หลังจากหมู่เฮาทั้งสองถูกป่าป่า”
เธอทำสีหน้ามึนงง พลางพยายามทบทวนเหตุการณ์
หญิงสาวยิ้มยิงฟันกว้างจนตาหยี พลางหัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจ
เขาพูดปนยิ้มอย่างเป็นสุข ก่อนกล่าวต่อด้วยเสียงสุขุมอ่อนโยนว่า
“ได้เจ้า”
เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานฉ่ำปนเปื้อนบนใบหน้ารูปไข่ขาวนวลของเธอ
แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างของเรือนไม้ไผ่ ทำให้ชายหนุ่มเขาความสว่างแววตา พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ เรือน และมองหาต้นเสียง พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ เรือน แล้วจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
เขายิงคำถามเป็นชุด
หญิงสาวสะบัดศีรษะไปมาเบาๆก่อนบ่นพึมพำในใจว่า
ภาพผุดขึ้นในหัวสมองอย่างรางเลือน
ดร.ปารมี ฟาร์เก็ต ชายหนุ่มรูปงามลูกครึ่งไทยอังกฤษใบหน้าหล่อเหลาคมคายของ
“ข้าเจ้าจื้อ....จื้อ....เหม่ยลี่เจ้า”
“เหม่ยลี่....เหม่ยลี่....ทำไมชื่อเหมือนคนจีน”
หญิงสาวยิ้มยิงฟันกว้างจนตาหยี พลางหัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจ
“แล้วอ้ายล่ะ จื้ออ่าหยัง”
กำลังสำลักน้ำป่า แล้วค่อยๆ จมหายไปกับกระแสน้ำป่า
ที่กำลังไหลเชี่ยวกรากอย่างบ้าคลั่ง
ดร.ปารมี ฟาร์เก็ต ชายหนุ่มรูปงามลูกครึ่งไทยอังกฤษใบหน้าหล่อเหลาคมคายของ
จน ต้อง ขบ กราม แน่น เป็น สัน นูน ด้วย อาการ เครียด .
วันที่สี่ของการกลับมามีชีวิตใหม่ (96 ชั่วโมง)
สามารถให้มีชีวิตอยู่ได้เกือบ 168 ชั่วโมง หรือเกือบ 7 วันครับ”
ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า
สบตากับหญิงคนรักที่จ้องมองมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
เขากอดร่างที่เย็นเฉียบมาแนบอก สะอึกสะอื้นร่ำไห้ให้ปิ่มว่าจะขาดใจ
หนมามองหน้าเธอ ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนก ก่อนจะเอ่ย ...
ลุงไผ่เงียบนิ่ง ทําท่าเหมือนจะไม่ยอมปริปากพูดอะไร
ริมฝีปากของเธอไร้สีเลือดฝาด สายตาเย็นชาจนน่ากลัว.
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา....ทำไม....ทำไมเราถึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดได้ถึงขนาดนี้
โอ้พระเจ้า!....ทำไมเราถึงอยากอยู่ใกล้ๆ อยากโอบกอด อยากสัมผัสลูบไล้เรือนร่างบางอรชร
อันขาวนวลเนียนของอาจารย์ใหญ่เหลือเกิน หรือ....หรือว่าเราหลงเสน่ห์อาจารย์ใหญ่เข้าไป
อย่างเต็มเป้าเสียแล้วสงสัยงานนี้เราจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่ออาจารย์ใหญ่ หรือว่าเพื่อ
ตัวเรา เออ....ใช่ คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back tolife)โครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์
เราจะต้องชุบชีวิตอาจารย์ใหญ่ให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์ที่เราคิดค้น
ขึ้นมากับมือและคราวนี้นับเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะได้ทดลองน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่
หลังจากที่ได้คิดค้นน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สำเร็จครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วแต่สามารถฟื้นคืนชีพอยู่ได้
แค่เพียง24 ชั่วโมงเท่านั้น....อาจารย์ใหญ่ครับ....ผมจะช่วยชุบชีวิตให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ด้วยน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า CBL2 เพราะสูตรใหม่นี้เป็นการปรับปรุงตัวยา
เพื่อยืดเวลาให้มีชีวิตยาวนานมากขึ้นกว่าครั้งแรกเกือบ 168 ชั่วโมง ดังนั้นผมขออนุญาตทดลอง
ฉีด CBL2ให้กับอาจารย์ใหญ่เพื่อต้องการให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง....อาจารย์ใหญ่อดใจรอผม
ก่อนนะครับเพราะอีกไม่ช้าเราสองคนจะได้พบกันในเร็ววันนี้”
ดร.ปารมีกล่าวเสริมคล้อยตามอดีตคนรัก แต่ในใจกลับคิดเลยเถิดไปมากกว่านั้นในทำนองชู้สาว
เพราะขณะต้องสัมผัสเนื้อหนังมังสาส่วนที่เป็นข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่เขาเกิดความรู้สึก
แปลกประหลาดยังไงชอบกลทำไมผิวหนังอ่อนนุ่มเหมือนคนยังมีชีวิตอยู่ แม้จะซีดเซียวไปบ้างตามกาลเวลาแต่ลักษณะสภาพภายนอกดูแล้วเหมือนคนนอนหลับปกติเท่านั้นเองและจากที่ได้
สำรวจในเบื้องต้นอย่างคร่าวๆ พบว่าผิวหนัง เส้นผม ขนตา รวมไปถึงใบหน้ายังอยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อยผุพังแต่อย่างใดซึ่งเมื่อคำนวณอายุแล้วน่าจะราวๆ 20 ปีขึ้นไป ส่วนความสูง
ก็ประมาณ 1.69 เมตรเห็นจะได้ เขาจ้องมองร่างของอาจารย์ใหญ่ที่นอนหงายเหยียดยาวตรงหน้า
ด้วยความพิศวงงงงวย พร้อมเกิดความรู้สึกพิสมัยถึงขนาดคลั่งไคล้อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ให้จงได้ยิ่งอยู่ใกล้ชิดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้อารมณ์พิศวาสทวีความต้องการ และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะบ้าคลั่งเสียให้ได้ กิเลสตัณหาราคะบังเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวตอนนี้ความคิดของเขาเกิดความสับสนวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูกมีคำถามมากมายเกิดขึ้นจนแทบ
หัวจะระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ
1. เพราะตั้งแต่ทำงานอยู่ที่สถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติแห่งนี้ ก็พึ่งจะได้ยินโครงการเทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ หรือที่เรียกว่า คัมแบ็ค ทู ไลฟ์ (Come back to life)ซึ่งเป็นเรื่องลับของสถาบันจากปากของชายคนรัก
2. “เมื่อปีที่แล้วก่อนจะมีโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สายภาคเหนือนี้ขึ้นมานั้น
ท่านศาสตราจารย์วิโรจน์ธรรมกาญจน์ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยแหล่งซากดึกดำบรรพ์แห่งชาติ ซึ่งเป็นคุณพ่อของปรางค์ ท่านจ่ายเงินลงทุนให้ด็อกเตอร์ปารมีกับปรางค์ทำโครงการ
เทคโนโลยีฟื้นคืนชีพในมนุษย์ ซึ่งเป็นการคิดค้นน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์ที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโครงการนี้เรียกว่า คัมแบ็ค ทู ไลฟ์(Come back to life) ครับ”
3. “โครงการสำรวจนี้มีอะไรบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ครับที่รักซึ่งจริงๆ แล้วผมเอง
ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะเรื่องนี้มันเป็นความลับของสถาบัน แต่ตอนนี้ผมกับคุณเพียงขวัญ
ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ผมจึงตัดสินใจอยากจะเล่าเรื่องลับให้ฟัง เผื่อว่าหากผมเกิดเป็นอะไรไป
คุณเพียงขวัญจะได้รับรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังโครงการสำรวจอันชั่วร้ายนี้ครับ”
4. และแล้วสิ่งที่คาดคะเนไว้ก้ประสบผลสำเร็จ
เพียงขวัญร้องอุทานเสียงหลง ด้วยอาการตกใจเมื่อได้ยินเรื่องเล่าที่เป็นความลับของสถาบัน
5. หรือ น้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า CBL2 ทดลองน้ำยาชุบชีวิตมนุษย์สูตรใหม่”
6. แทบไม่วางสายตา หัวใจดวงน้อย
7. เท้าไวเท่าความคิด
8. แต่เอจะดีมั้ยเนี่ย. บดกรามจนเป็นสัน
9. รู้สึกเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ
10. ชื่อนั้นกระตุกหัวใจเธอ อย่างรุนแรง เสียววาบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
อากาศหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
เธอรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
รู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
สายลมยามนี้ช่างหนาวเหน็บ มันหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
แต่บนเปื้อนไปด้วย
เพียงขวัญเออออห่อหมกคล้อยตามผู้เป็นเพื่อนรัก
เขาเป่าลมออกปากยาว เหมือนปลงตกในชีวิต
หา ตาโตเท่าไข่ห่าน
10. เราจะต้องล้างมือล้างไม้ก่อนรับประทานอาหาร
11. อาบน้ำอาบท่าแล้วหรือ
12. พูดน้ำตาคลอ
13. ช่างมันเถอะเนอะ
14.สลิด คือ กิริยาความประพฤติ
สวมเสื้อผ้าที่อยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อคลี่ผ้าห่อศพออกทีมวิจัยได้พบกับเครื่องใช้อีกจำนวนมาก เช่น แหวนพลอย, ปิ่นปักผมที่ทำจากเงิน และเสื้อผ้าที่ทอจากไหมผสมฝ้ายเล็กน้อยอีกร่วม 20 ชิ้น และตัวอีกษรจีนโบราณที่ถูกเขียนไว้รอบๆโลง ทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าของร่างนี้ต้องเป็นหญิงในสังคมขั้นสูง ทีมวิจัยสันนิษฐานว่า น้ำที่ขังอยู่มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ร่างของมัมมี่สัมผัสกับออกซิเจนและแบคทีเรียในอากาศ ร่างจึงยังถูกรักษาให้อยู่ในสภาพสมบรณ์ได้ โดยจะตรวจสอบร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียดต่อไปเพื่อค้นหาเทคนิคในการักษาศพช่วงสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรื่องทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม"
ลักษณะสภาพหลังจากที่เขาเปิดผ้าดิบมาจนถึงส่วนลำตัวและแขนทั้งสองข้าง
ดร.นวลปรางค์หยุดเล่า เพื่อพยายามทบทวนความทรงจำที่พึ่งผ่านมาเกี่ยวกับความฝันที่เกิดขึ้น
เมื่อตอนใกล้รุ่งสาง เธอสบตาเพื่อนรักก่อนเฉลยว่า
ดร.ปารมีฟังสองสาวคุย แต่ในใจกลับตื่นเต้น เพราะคิดอยู่ในใจว่า ทำไมเนื้อหนังมังสาของอาจารย์ใหญ่ยังอ่อนนุ่ม และรู้สึกแปลกประหลาดกว่านั้นคือ ขณะสัมผัสข้อมือข้างขวาของอาจารย์ใหญ่ ทำไมเกิดความรู้สึกลึกๆ พิสมัย
“ของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ภายในโลงศพหินแกรนิต ผมขออนุญาตนำไปวิเคราะห์
หาองค์ประกอบทางเคมี ร่วมกับเส้นใยจากผ้าดิบที่ใช้ห่อหุ้มร่างของอาจารย์ใหญ่นะครับ”
เธอได้รับเอกสารสำคัญจากเพื่อนสนิทคนจีนนามว่า เก้าจั๊วะที่มอบให้ก่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมียซึ่งเนื้อหาสาระในเอกสารเป็นข้อมูลลับที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเก้าจั๊วะ
โดยเก้าจั๊วะต้องการอยากให้ดร.นวลปรางค์สำรวจแหล่งกำเนิดชาติพันธุ์ที่อยู่ทางตอนใต้ของ
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความเชื่อที่คาดว่าน่าจะเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่โบราณ
และอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเก้าจั๊วะก็ได้ดังนั้นจากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
สังเกตเห็นเม็ดเหงื่อซึมเต็มบริเวณหน้าผากกว้าง ... จบประโยครอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อคม.
“ไม่ใช่เรอะเนี่ย”
เจ้าหน้าที่ทีมงานสำรวจรีบนำร่างของอาจารย์ใหญ่ไปเก็บรักษายังห้องแล็บที่ถูกสร้างขึ้นภายในรีสอร์ท เพื่อรอการตรวจสอบพิสูจน์หาอายุร่างของอาจารย์ใหญ่
ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของดร.ปารมี ส่วนการตรวจสอบพิสูจน์หาอายุของโลงศพหินแกรนิตจะเป็น
หน้าที่หลักของดร.ชัยยศ ดร.นวลปรางค์ และเพียงขวัญ
ร่างของ “ซินจุย” สูง 154 เซนติเมตร น้ำหนัก 34.3 กิโลกรัม
ด้านนักโบราณคดีและนักวิชาการจีนเองก็เปิดเผยถึงเหตุการณ์ตอนค้นพบศพไม่เน่าไม่เปื่อยของซินจุยไว้ว่า ตอนเปิดโลงศพพบว่าศพถูกแช่อยู่ในโลงที่บรรจุไว้ด้วยของเหลวไร้สี ลึกประมาณ 20 เซนติเมตร ทว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน ของเหลวดังกล่าวก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเป็นสีน้ำตาล โดยในปี 2515 ศพดังกล่าวได้ถูกแพทย์ชาวจีนนำออกมาชันสูตร
และร่างของเธอถูกพบของเหลวถึง 21 แกลลอน "ของเหลวที่ไม่รู้จัก" ที่ผ่านการทดสอบว่ามีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยและมีร่องรอยของแมกนีเซียม ดินที่มีลักษณะคล้ายกะปิหนาหนาปูพื้นและเต็มไปด้วยถ่านดูดซับความชื้นและปิดผนึกด้วยดินทำให้ทั้งออกซิเจนและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการสลายตัวออกจากห้องนิรันดร์ของเธอ ด้านบนถูกผนึกด้วยดินอีกสามฟุตเพื่อป้องกันน้ำจากการเจาะโครงสร้างแม้ว่าเราจะรู้ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการฝังศพและความตายของ Xin Zhuiแต่เรารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตของเธอเลดี้ไดเป็นภรรยาของหลี่ฉางเจ้าหน้าที่
ทีมวิจัยกล่าวว่า "เมื่อเคลื่อนย้ายศพออกจากโลงเพื่อทำการสำรวจก็พบว่า สภาพศพยังสมบูรณ์มาก เจ้าของร่างนี้สูง 1.5 เมตร ผิวหนัง ผม ขนตา รวมถึงใบหน้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์สวมเสื้อผ้าที่อยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อคลี่ผ้าห่อศพออกทีมวิจัยได้พบกับเครื่องใช้อีกจำนวนมาก เช่น แหวนพลอย, ปิ่นปักผมที่ทำจากเงิน และเสื้อผ้าที่ทอจากไหมผสมฝ้ายเล็กน้อยอีกร่วม 20 ชิ้น และตัวอีกษรจีนโบราณที่ถูกเขียนไว้รอบๆโลง ทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าของร่างนี้ต้องเป็นหญิงในสังคมขั้นสูง ทีมวิจัยสันนิษฐานว่า น้ำที่ขังอยู่มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ร่างของมัมมี่สัมผัสกับออกซิเจนและแบคทีเรียในอากาศ ร่างจึงยังถูกรักษาให้อยู่ในสภาพสมบรณ์ได้ โดยจะตรวจสอบร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียดต่อไปเพื่อค้นหาเทคนิคในการักษาศพช่วงสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรื่องทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม"
จนทุกคนสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในโลงศพหินแกรนิตมากขึ้นเรื่อยๆสักพักใหญ่สิ่งที่ทุกคนมองเห็นดร.นวลปรางค์รู้สึกตื่นเต้นและขนลุกขนพองเมื่อมองเห็น
ร่างของอาจารย์ใหญ่ที่นอนสงบนิ่งอยู่
สักพักความตื่นเต้นบังเกิดขึ้นเมื่อดร.นวลปรางค์หัวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นเมื่อสิ่ง
จนแทบยืนไม่ติดพื้น
ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตื่นเต้น
และขนลุกขนพองไปตามๆ กัน โดยเฉพาะดร.นวลปรางค์หัวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เธอมอบหัวใจทั้งดวงให้กับผู้ชายในฝันที่แอบหลงใหลได้ปลื้มอย่างไม่อาจยับยั้งความต้องการได้
เต็มตื้นไปด้วยความสุขและอิ่มเอมสุขสมหวังยิ่งนัก
ดร.ชัยยศกล่าวทักทายหัวหน้าทีมงานสำรวจ เมื่อเขาเดินไปถึงบริเวณหลุมศพของคนสมัยโบราณ
กำลังช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่รอบๆ โลงศพหินตามหลักวิชาการ
เพื่อต้องการนำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพ โดยมีดร.ชัยยศคอยกำกับดูแลและควบคุมการทำงานอย่างไม่ยอมทิ้งห่าง
ตอนประมาณบ่ายๆ
กระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสิบโมงกว่าๆ
ทีมงานทั้งชุดสำรวจและชุดนักวิชาการต่างช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่
รอบๆ โลงศพหินแกรนิต จากเดิมที่โผล่พ้นขึ้นมาได้ประมาณ 30 เซนติเมตร จนสามารถมองเห็น
ความชัดเจนได้เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์โลงศพหินแกรนิตมีเนื้อหยาบสีดำสนิท ลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีความกว้าง 1.50 เมตร ความยาว 2.50 เมตร และความสูง 2 เมตร
ส่วนด้านบนมีฝาปิดสนิทจนอากาศไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตื่นเต้น
และขนลุกขนพองไปตามๆ กัน โดยเฉพาะดร.นวลปรางค์หัวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
จนแทบยืนไม่ติดพื้น เธอใช้ฝ่ามืออันเรียวงามสัมผัสลูบไล้ไปมาแผ่วเบาบริเวณฝาโลงศพหินแกรนิต
ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
สมศักดิ์หัวหน้าทีมงานสำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันขุดคุ้ยดินที่อยู่รอบๆ โลงศพหินตามหลักวิชาการเพื่อต้องการนำโลงศพขึ้นมาจากหลุมศพ โดยมีดร.ชัยยศคอยกำกับดูแลและควบคุมการทำงานอย่างไม่ยอมทิ้งห่าง
ซึ่งมีสีเทาเข้มๆ จนเกือบจะเป็นสีดำ จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นการฝังศพ
แนวหินแกรนิตตะวันออกที่เริ่มต้นบริเวณมณฑลยูนนานตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วพาดผ่านมาทางภาคเหนือของประเทศไทยครับ ”
ซึ่งมีสีเทาเข้มๆ จนเกือบจะเป็นสีดำ จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นการฝังศพ
แนวหินแกรนิตตะวันออกที่เริ่มต้นบริเวณมณฑลยูนนานตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วพาดผ่านมาทางภาคเหนือของประเทศไทยครับ ”
1. ความเครียดทำให้เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าด้วยความตื่นเต้น ไม่มีเสียงพูดคุยกัน มีแต่เสียงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอกราวเสียงกลองมโหระทึกที่ถูกกระหน่ำอย่างแรง
2. เธอส่งยิ้มหวานละไมให้เขาในขณะบอกเขาด้วยเสียงหวานฉํ่า
3. ถามด้วยน้ำเสียงยียวน
4. ด้วยอาการขวางหูขวางตาเล็กน้อย แล้วนิ่งเฉยไป
5. หญิงสาวลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้าของชัยชนะที่ลอยอยู่ใกล้ๆ ...
6.น่าสะพรึงกลัว
7. อุ้ย!
8. เสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหวเมื่อลิ้นอุ่นรัวฉกที่ยอดอกสีชมพู ...
รู้สึก ตัว เบา หัวใจ ดวง น้อย ๆ เต้น ระรัว ความ กระสัน ซ่าน แผ่ กระจาย ไป ทุก รู ขุม ขน เลือด ใน กาย สูบ ฉีด แรง เธอ ไม่ เคย ได้ รับ จุมพิต แบบ นี มา ก่อน เลย จูบ ของ เขา อ่อนโยน ...
9. พอกะพริบตาก็พบว่าเธอคลี่รอยยิ้มและเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
10. แดงแจ๋
11.เมื่อนึกโกรธเพื่อนรัก
12. ออดอ้อนจนน่าสงสารเสียเหลือเกิน
13. เธอแอบยิ้มเล็กๆ ในใจอย่างเป็นสุข
14. บดกรามจนเป็นสัน
15.
ทีมวิจัยกล่าวว่า "เมื่อเคลื่อนย้ายศพออกจากโลงเพื่อทำการสำรวจก็พบว่า สภาพศพยังสมบูรณ์มาก เจ้าของร่างนี้สูง 1.5 เมตร ผิวหนัง ผม ขนตา รวมถึงใบหน้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์สวมเสื้อผ้าที่อยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อคลี่ผ้าห่อศพออกทีมวิจัยได้พบกับเครื่องใช้อีกจำนวนมาก เช่น แหวนพลอย, ปิ่นปักผมที่ทำจากเงิน และเสื้อผ้าที่ทอจากไหมผสมฝ้ายเล็กน้อยอีกร่วม 20 ชิ้น และตัวอีกษรจีนโบราณที่ถูกเขียนไว้รอบๆโลง ทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าของร่างนี้ต้องเป็นหญิงในสังคมขั้นสูง ทีมวิจัยสันนิษฐานว่า น้ำที่ขังอยู่มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ร่างของมัมมี่สัมผัสกับออกซิเจนและแบคทีเรียในอากาศ ร่างจึงยังถูกรักษาให้อยู่ในสภาพสมบรณ์ได้ โดยจะตรวจสอบร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียดต่อไปเพื่อค้นหาเทคนิคในการักษาศพช่วงสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรื่องทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม"
โดยเรียกทีมงานโครงการวิจัยพิเศษของศาสตราจารย์วิโรจน์ ธรรมประดิษฐ์ มานุษยวิทยาที่ร่วมกับคณะโบราณคดีให้มาประชุมเร่งด่วน
เกี่ยวกับโครงการวิจัยพิเศษ ซึ่งร่วมงานกับสถาบันวิจัยมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาแห่งหนึ่ง
สักพักใหญ่เสียงหญิงสาว ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานกล่าวเชื้อเชิญให้เข้าห้องประชุม
ซากศพมัมมี่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ โดยห่อหุ้ม
และสืบสานต่อมายังประเทศไทยตามหลักฐานแหล่งอารยธรรมโบราณเก่าแก่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยยืนยันและว่าทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่บ่งบอกถึงแหล่งอารยธรรมโบราณเก่าแก่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยอย่างแน่ชัดและชัดเจนถูกต้องว่า
ทางยังกล่าวคือ ซากดึกดำบรรพ์เกิดเป็น
ซากดึกดำบรรพ์สามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรเป็นบรรทัดฐาน การพยายามจำแนกตามหลักอนุกรมวิธานตามแบบชีววิทยา อาจพบกับข้อจำกัด เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วซากดึกดำบรรพ์มักเป็นส่วนซากเหลือจากการผุพังสลายตัว ส่วนใหญ่เป็นส่วนที่แข็ง มีความทนทานต่อการผุพังสลายตัวสูงกว่าส่วนที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม เช่น กระดูก ฟัน กระดอง เปลือก และสารเซลลูโลสของพืชบางส่วน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับประเภทนักวิจัยซากดึกดำบรรพ์ (นักบรรพชีวินวิทยา) ในปัจจุบัน ในที่นี้จะจำแนกซากดึกดำบรรพ์ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ซากดึกดำบรรพ์สัตว์
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
2. ซากดึกดำบรรพ์พืช
o ซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน
o ซากดึกดำบรรพ์ใบไม้
o ซากดึกดำบรรพ์ดอก
o ซากดึกดำบรรพ์ทางเรณูวิทยา
o ซากดึกดำบรรพ์ผลไม้
o ซากดึกดำบรรพ์เมล็ด
3. ซากดึกดำบรรพ์ร่องรอย
4. ฟาโรห์ (อังกฤษ: Pharaoh; อ่านว่า เฟโรห์ (ˈ/feɪroʊ/) หรือ แฟโรห์ (/ˈfæroʊ/)[1]) เป็นชื่อตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินอียิปต์โบราณทุกราชวงศ์[2] มีต้นศัพท์คือคำว่า "pr-aa" แปลว่า บ้านหลังใหญ่ (great house) ซึ่งเป็นคำอุปมาถึง พระราชมนเทียร
5. คำ "ฟาโรห์" นั้นปัจจุบันใช้เรียกพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของอียิปต์โบราณ แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว เริ่มเรียกพระมหากษัตริย์อียิปต์ว่า "ฟาโรห์" กันในสมัยราชอาณาจักรใหม่ โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงกลางราชวงศ์ที่ 18 เมื่อพ้นรัชกาลของพระนางแฮตเชปซุต (Hatshepsut) ไปแล้ว[3]
6. ฟาโรห์ หรือที่ถูกอ่านว่า เฟโรห์ หรือ แฟโรห์ เป็นชื่อตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินอียิปต์โบราณทุกราชวงศ์ มีต้นศัพท์คือคำว่า "pr-aa" แปลว่า บ้านอันใหญ่ (great house) ซึ่งเป็นคำอุปมาถึง พระราชมนเทียร
7. คำ "ฟาโรห์" นั้นปัจจุบันใช้เรียกพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของอียิปต์โบราณ แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว เริ่มเรียกพระมหากษัตริย์อียิปต์ว่า "ฟาโรห์" กันในสมัยอาณาจักรใหม่ โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงกลางราชวงศ์ที่สิบแปดเมื่อพ้นรัชกาลของนางแฮตเชปซุต (Hatshepsut) ไปแล้ว
8. ฟาโรห์และมัมมี่
9. ฟาโรห์ ตุตันคาเมน (ตุตันคามุน) เป็นฟาโรห์ในราชวงค์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ซึ่งมีพระชนม์เพียง 9-10 ชันษา ครองราชย์ระหว่าง 1325-1334 ปีก่อนคริสตกาล การบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่กับวิซิเออร์ อัยย์ ฟาโรห์ ตุตันคาเมนได้ครองราชย์ในรัชสมัยของพระองค์ช่วงสั้นๆ ราว 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเพราะฟาโรห์ ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิซิเออร์ อัยย์จึงได้สร้างสุสานถวายแบบง่าย ๆราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของรามเสสที่ 6 ทับสุสานของ ฟาโรห์ ตุตันคาเมน ทั้ง ๆ ที่คนงานก็รู้แต่นึกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจึงไม่ได้เสนอเบื้องบน จึงทำให้มัมมี่ของฟาโรห์ ตุตันคาเมน ปลอดภัย นับเป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด
10. ฟาโรห์ คือคำที่ใช้เรียกพระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์ในสมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งถือเสมอเหมือนพระเจ้าบนดิน มัมมี่ คือศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษในประเทศอียิปต์ พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า “มัมมี่” มาจากคำว่า มัมมียะ ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์
11. ฟาโรห์คือตอนที่มีชีวิตอยู่ มัมมี่คือตอนฟาโรห์ตายแล้ว
12.
tomsanapang@gmail.com
ตอนที่ 8
5. กลุ่มชาติพันธุ์เมี้ยว หรือชาวเขาเผ่าม้ง แม้ว ในประเทศไทย ชาวเมี้ยวในประเทศจีนมีประชากร 8,940,116 คน เกือบครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลกุ้ยโจวและที่เหลือในมณฑลหยุนหนาน หูหนาน เสฉวน กวางสี หูเป่ย และไห่หนาน และยังมีชาวเมี้ยวหรือแม้วอีกกว่า 1,500,000 คนในประเทศไทย ลาว เวียดนาม และผลจากสงครามทำให้มีชุมชนเมี้ยวกลุ่มใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ชาวเมี้ยวพูดภาษาในตระกูลเมี้ยว เย้า ชาวเมี้ยวมีความโดดเด่นที่เครื่องแต่งกายและแคนอันเป็นเครื่องดนตรีประจำเผ่า
ซากดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (อังกฤษ: fossil) คำว่า ฟอสซิล มีความหมายเดิมว่า เป็นของแปลกที่ขุดขึ้นมาได้จากพื้นดิน แต่ในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในความหมายของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ถูกแปรสภาพด้วยกระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์และถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน โดยอาจประกอบไปด้วยซากเหลือของสัตว์ พืช หรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตอื่นใด ๆ ที่ได้รับการจัดแบ่งจำแนกไว้ทางชีววิทยา และรวมถึงร่องรอยต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ
ตัวอย่างโบราณวัตถุ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ขวานหิน ลูกปัด เครื่องมือเหล็ก เป็นต้น คราวหน้ามาติดตามกันต่อนะคะ
สิ่งของโบราณที่เคลื่อนที่ได้ มีอายุกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และเป็นประโยชน์ในทางศิลปะประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี เช่น พระพุทธรูป เทวรูป โครงกระดูก ศิลาจารึก.
ดังนั้นจากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทีมงานโครงการสำรวจแหล่งซากดึกดำบรรพ์สาย
ภาคเหนือ จึงทำการสำรวจบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย และต่อมาได้ขุดค้นพบหลุมศพ
ของคนสมัยโบราณโดยพบโลงศพหิน 1 โลง ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกประมาณ2 เมตรคาดว่ามี
อายุกว่า 100 ปีมาแล้ว และศพที่อยู่ในโลงศพหินเป็นเพศหญิง ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนจีน
และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อย โดยศพนี้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าทอมือที่ยังอยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อยเช่นกัน และเมื่อทีมงานได้เคลื่อนย้ายศพออกมาจากโลงเพื่อทำการสำรวจ
ก็พบว่า สภาพศพยังสมบูรณ์
และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ภาคเหนือของประเทศไทยยังมีแหล่งซากดึกดำบรรพ์ตกสำรวจและขุดค้นอีกจำนวนหนึ่ง
กล่าวคือ ซากดึกดำบรรพ์
กล่าวคือ ซากดึกดำบรรพ์เกิดเป็น
ซากดึกดำบรรพ์สามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรเป็นบรรทัดฐาน การพยายามจำแนกตามหลักอนุกรมวิธานตามแบบชีววิทยา อาจพบกับข้อจำกัด เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วซากดึกดำบรรพ์มักเป็นส่วนซากเหลือจากการผุพังสลายตัว ส่วนใหญ่เป็นส่วนที่แข็ง มีความทนทานต่อการผุพังสลายตัวสูงกว่าส่วนที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม เช่น กระดูก ฟัน กระดอง เปลือก และสารเซลลูโลสของพืชบางส่วน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับประเภทนักวิจัยซากดึกดำบรรพ์ (นักบรรพชีวินวิทยา) ในปัจจุบัน ในที่นี้จะจำแนกซากดึกดำบรรพ์ออกเป็น 3 ประเภท คือ
13. ซากดึกดำบรรพ์สัตว์
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
14. ซากดึกดำบรรพ์พืช
o ซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน
o ซากดึกดำบรรพ์ใบไม้
o ซากดึกดำบรรพ์ดอก
o ซากดึกดำบรรพ์ทางเรณูวิทยา
o ซากดึกดำบรรพ์ผลไม้
o ซากดึกดำบรรพ์เมล็ด
15. ซากดึกดำบรรพ์ร่องรอย
16.
บริเวณพื้นที่ภาคเหนือ เดิมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรล้านนา ซึ่งสถาปนาอาณาจักรขึ้นมาในปีพุทธศักราช 1835 โดยพญามังราย และสถาปนาเมืองหลวงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 1839 ในชื่อนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ อาณาจักรล้านนาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 1835 เกิดจากการยุบรวมกันของอาณาจักรในช่วงยุคก่อนหน้า คือ หิรัญนครเงินยางเชียงแสนและหริภุญชัย
ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา
แต่เดิมคนไทยแยกกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ กระจัดกระจายอยู่ในแหลมอินโดจีน ชาวไทยที่อยู่ทางภาคเหนือจะตั้งบ้านเรือนอยู่พื้นที่ราบระหว่างเขา เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คนไทยที่อยู่ทางเหนือมีการสร้างบ้านแปลงเมือง มีกษัตริย์ปกครองสืบมา ที่ปรากฏชัดเจนคือ อาณาจักรน่านเจ้าอยู่บริเวณแคว้นยูนนานของจีน อาณาจักรนี้ถูกจีนตีแตกเมื่อ พ.ศ. 1796 หลังจากนั้นอาณาจักรเชียงแสน ซึ่งเริ่มตั้งเมืองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 ก็เริ่มขยายเป็นอาณาจักรขึ้นแทน ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ 18 คนไทยกลุ่มใหญ่ที่สุด ก็รวมตัวกันตั้งบ้านเมืองแยกเป็น 3 อาณาจักรชัดเจน คือ อาณาจักรเชียงแสนอยู่ทางภาคเหนือ อาณาจักรสุโขทัยอยู่ภาคกลางและภาคใต้ อาณาจักรล้านช้างคือดินแดนฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง ปัจจุบันคือประเทศลาวและภาคอีสานของไทย
ภาคเหนือในอดีต แบ่งออกเป็น 2 อาณาจักร กับ 1 แคว้น คือ อาณาจักรโยนก เป็นอาณาจักรที่เกิดก่อนอาณาจักรล้านนา ช่วงเวลาที่ก่อตั้งอาณาจักรไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มาสิ้นสุด ในพุทธศตวรรษที่ 17 โดยมีพระเจ้าสิงหนวัติเป็นผู้ก่อตั้ง มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองเชียงแสน (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) มีกษัตริย์สืบต่อมาหลายพระองค์ และได้เสียเอกราชให้ขอม ในสมัยพระเจ้าพังคราช ต่อมาพระเจ้า พรหมกอบกู้เอกสารคืนมาได้ และได้สร้างเมืองขึ้นใหม่บริเวณที่แม่น้ำฝางและแม่น้ำกกบรรจบกัน เรียกว่า เมืองไชยปราการ และประทับอยู่จนสิ้นพระชนน์ อาณาจักรโยนกจึงเสื่อมและสิ้นลง
อาณาจักรล้านนา หรือ ลานนา พระเจ้าเม็งราย โอรสของพระเจ้าลาวเม็ง กษัตริย์เมืองหิรัญนครเงินยางเป็นผู้ก่อตั้ง พ่อขุนเม็งราย ประสูติ พ.ศ.1782 ทิวงคต เมื่อ พ.ศ. 1860 ทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเป็นเมืองแรก เมื่อ พ.ศ. 1805 ทรงรวบรวมอาณาจักรล้านนาให้เป็นปึกแผ่น และทรงสร้างความสามัคคีระหว่างชนชาติไทย
เมื่อทรงครองราชย์ ในปี พ.ศ. 1802 ได้รวมหัวเมืองใกล้เคียงไว้ด้วยกัน ยกเว้นเมืองพะเยา ซึ่งพญางำเมืองครองอยู่ และดินแดนของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ ได้ทรงกระทำสัตยปฏิญาณว่าจะเป็นมิตรไมตรีต่อกัน ทรงสร้างเมืองเชียงราย เมืองฝาง และยึดครองแคว้นหริภุณชัย เมืองลำปาง และได้สร้างเมืองเวียงกุมกาม (อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่)
จากนั้นจึงทรงสร้างเมืองใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการปกครองแคว้นล้านนาที่ทรงรวบรวมมา ได้บริเวณริมแม่น้ำปิงไปจนถึงดอยสุเทพ ซึ่งเป็นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ และขนานนามว่า นพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่ เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 1839 ก่อนกรุงศรีอยุธยา 54 ปี แล้วประทับอยู่ตลอดพระชนม์ชีพ
ส่วนแคว้นหริภุณชัย หรือลำพูน อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำวัง ทางด้านตะวันตกของเทือกเขาผีปันน้ำเป็นกลุ่มบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีเมืองหริภุญไชย(จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน)เป็นศูนย์กลางแคว้น กับที่ราบลุ่มแม่น้ำวังมีเมืองเขลางค์นคร(จังหวัดลำปาง)เป็นส่วนหนึ่งของแคว้น ในฐานะเป็นเมืองลูกลองลงมาจากเมืองหริภุญไชย นอกจากนั้นยังพบหลักฐานของเมืองโบราณที่ปรากฏอยู่รอบๆแคว้นหริภุญไชยอิกหลายแห่ง เช่น เวียงมโน (อยู่ในเขตตำบล หนองตองอำเภอหางดง) เวียงท่ากาน (อยู่ไนเขตตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง) เวียงเถาะ (บ้านสองแคว อำเภอจอมทอง) และพบโบราณวัตถุแบหริภุญไชย อีกหลายแห่ง ในแถบที่ราบเชิงดอยสุเทพ ที่ถ้ำฤาษี วัดดอยคำ บริเวณกลางป่าเขตตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม และที่เวียงกุมกาม เขตอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่า แคว้นหริภุญไชยเป็นแคว้นที่ใหญ่และมีความเจริญในยุคนั้น
ซากดึกดำบรรพ์สามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรเป็นบรรทัดฐาน การพยายามจำแนกตามหลักอนุกรมวิธานตามแบบชีววิทยา อาจพบกับข้อจำกัด เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วซากดึกดำบรรพ์มักเป็นส่วนซากเหลือจากการผุพังสลายตัว ส่วนใหญ่เป็นส่วนที่แข็ง มีความทนทานต่อการผุพังสลายตัวสูงกว่าส่วนที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม เช่น กระดูก ฟัน กระดอง เปลือก และสารเซลลูโลสของพืชบางส่วน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับประเภทนักวิจัยซากดึกดำบรรพ์ (นักบรรพชีวินวิทยา) ในปัจจุบัน ในที่นี้จะจำแนกซากดึกดำบรรพ์ออกเป็น 3 ประเภท คือ
17. ซากดึกดำบรรพ์สัตว์
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง
o ซากดึกดำบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
18. ซากดึกดำบรรพ์พืช
o ซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน
o ซากดึกดำบรรพ์ใบไม้
o ซากดึกดำบรรพ์ดอก
o ซากดึกดำบรรพ์ทางเรณูวิทยา
o ซากดึกดำบรรพ์ผลไม้
o ซากดึกดำบรรพ์เมล็ด
19. ซากดึกดำบรรพ์ร่องรอย
20.
















