ฮาจาร์คิม (Ħaġar Qim)
ฮาจาร์คิม (ออกเสียงในภาษามอลตา: [ħadʒar ˈʔiːm]; แปลว่า "หินที่ตั้งอยู่/หินบูชา") เป็นกลุ่มวิหารยุคหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะมอลตาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีอายุย้อนกลับไปถึงยุคĠgantija (3600–3200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) วิหารหินขนาดใหญ่ของมอลตา นับเป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกได้ยกย่องว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร" หินก้อนใหญ่ทางด้านขวาของทางเข้า มีน้ำหนักถึง 20 ตัน ในปี ค.ศ. 1992 องค์การยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนให้ฮาจาร์คิม และกลุ่มวิหารเมกะลิธิกอีกสี่แห่งของมอลตา เป็นมรดกโลก
มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ฮาจาร์คิม ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในยุคหิน (*Stone Age*) ซึ่งเดินทางมาจากหมู่เกาะซิลลี (*Scilly*) วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น เพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัย
ที่บริเวณนี้มีการค้นพบรูปปั้น ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ (*fertility*) รูปปั้นบางส่วนถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ ในเมืองวัลเลตตา (*National Museum of Archaeology in Valletta*)
วิหารฮาจาร์คิมถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1839 และมีการขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1885 ซึ่งนำไปสู่การค้นพบรูปปั้นหินและแท่นบูชาหินปูน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการบูรณะและเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างวิหารอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์ วี. กอร์ดอน ไชลด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดียุโรป ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และอดีตผู้อำนวยการสถาบันโบราณคดี แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (ระหว่างปี ค.ศ. 1946–1957) เคยมาเยือนฮาจาร์คิมและกล่าวว่า **"ข้าพเจ้าได้เดินทางไปชมซากโบราณสถาน รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งแต่เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีซ ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ แต่ข้าพเจ้า ไม่เคยพบสถานที่ใดที่เก่าแก่เท่านี้มาก่อน"**
ภาพรวม
กลุ่มวิหารหินขนาดใหญ่ของฮาจาร์คิม ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะมอลตา บนสันเขาที่ปกคลุมด้วยหินปูนโกลบิเจอรินา ซึ่งเป็นหินที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของมอลตา พบได้ประมาณ 70% ของพื้นที่เกาะ หินชนิดนี้ถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างวิหาร
ด้านหน้าของวิหารมีทางเข้าแบบไตรลิธอน (trilithon) ลานด้านหน้า และกำแพงหิน มีทางเดินที่ทอดผ่านตัวอาคารตามรูปแบบดัดแปลงของสถาปัตยกรรมเมกะลิธิกของมอลตา อีกทั้งยังมีทางเข้า สำหรับไปยังส่วนที่แยกเป็นเอกเทศสี่ห้อง แทนที่อพส์ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของวิหาร มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความอุดมสมบูรณ์ เช่น การค้นพบรูปปั้นมนุษย์อ้วนและเครื่องสังเวย นอกจากนี้ยังมีการจัดวางหินที่สันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์เพศชาย รวมถึงแท่นบูชาที่มีลักษณะเว้าคล้ายกับที่ใช้สำหรับบูชายัญสัตว์ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบประตูที่มีฉากกั้น ซึ่งอาจใช้สำหรับพิธีกรรมของเทพพยากรณ์
ซากวิหารและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ
กลุ่มวิหารฮาจาร์คิม ประกอบด้วยวิหารหลักหนึ่งแห่ง และสิ่งก่อสร้างหินขนาดใหญ่อีกสามแห่ง ที่อยู่ข้างๆ วิหารหลัก ถูกสร้างขึ้นระหว่าง 3600–3200 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่ซากปรักหักพังทางตอนเหนือ มีอายุเก่าแก่กว่านั้นมาก
ทางเข้า เชื่อมต่อไปยังห้องขนาดใหญ่หกห้อง อพส์ด้านขวา มีโครงสร้างแบบโค้งเพื่อลดความเสี่ยงของหินทรุดตัว ผนังด้านนอก สร้างจากแท่งหินขนาดใหญ่ ที่วางซ้อนกัน โดยให้ด้านในโค้งเข้าหาศูนย์กลางของอาคาร เพื่อความมั่นคง
ลานด้านหน้าวิหาร
ลานด้านหน้าของฮาจาร์คิม ถูกปูด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นระเบียบ บางส่วน มีรูที่อาจเคยใช้เป็นเตาผิง พื้นที่นี้ มีลักษณะคล้ายกับลานด้านหน้า ของวิหารเมกะลิธิกแห่งมไนดรา (Mnajdra)
โครงสร้างเสริมและป้อมปราการ
บริเวณรอบๆ มีสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ที่เรียกว่าที่อยู่อาศัย ประกอบด้วยหินขนาดกลาง ที่จัดเป็นรูปครึ่งวงกลม นอกจากนี้ ยังมีป้อมปราการที่สร้างจากก้อนหินขนาดใหญ่ มีผนังด้านตะวันตกยาวประมาณ 20 เมตร โดยมีแนวโน้มว่าอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันวิหารจากสัตว์ป่าซึ่งเคยมีอยู่มากในยุคนั้น
ด้านหน้าวิหารฮาจาร์คิม มีแท่งหินขนาดใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมเมกะลิธิกของมอลตา มีน้ำหนักถึง 57 ตัน และมีเสาหินตั้งตรงสูง 5.2 เมตร ผนังด้านนอกของวิหาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากลมทะเล เป็นเวลาหลายพันปี ทำให้เกิดการผุกร่อนอย่างรุนแรง
ปัจจุบัน ฮาจาร์คิม ได้รับการปกป้องจากการเสื่อมสภาพ โดยเต็นท์คลุมขนาดใหญ่ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2009
วิหารทางเหนือ
การสร้างใหม่ของหลังคาวิหาร วิหารทางเหนือเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของฮาจาร์คิม ประกอบด้วยห้องโถงทรงรีที่มีอพส์ครึ่งวงกลมอยู่ทั้งสองข้าง หลังจากผ่านประตูที่สองเข้าไปจะพบอีกห้องหนึ่งที่มีอพส์ลักษณะเดียวกัน
วิหารทางเหนือ มีลักษณะพิเศษคือ มีพื้นสามชั้นที่เป็นฉนวนป้องกัน แต่ละชั้นใช้วิธีขัดหินที่แตกต่างกัน นักวิชาการจึงสันนิษฐานว่าพื้นทั้งสามชั้นนี้สะท้อนถึงช่วงสำคัญของการก่อสร้างที่ฮาจาร์คิม
ก้อนหินทรงกลมขนาดต่างๆ ถูกพบอยู่ตามกำแพงของวิหารทางเหนือและบริเวณอื่นๆ ของโครงสร้าง นักโบราณคดีเชื่อว่าก้อนหินเหล่านี้เคยใช้เป็นลูกกลิ้งเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายแท่งหินขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังพบลูกกลิ้งฝังอยู่ใต้แท่งหิน ซึ่งช่วยเสริมให้โครงสร้างมีความแข็งแรง
พื้นที่เว้าแรกของวิหารทางเหนือ
พื้นที่เว้าส่วนแรกของวิหารทางเหนือ มีเสาหินทรงกลมตั้งอยู่ พร้อมกับแผ่นหินสี่เหลี่ยมที่วางตั้งอยู่ด้านหน้า บนแผ่นหินมีร่องกลมซึ่งอาจใช้วางภาชนะใส่ของเหลว ภาชนะที่ขุดพบจากไซต์นี้มีฐานทรงรี ซึ่งออกแบบมาให้สามารถตั้งตรงได้เมื่อวางลงในร่องหิน
ร่องรอยของแท่งหินแนวตั้ง ที่เคยเรียงขนาบพื้นที่เว้ายังคงมองเห็นได้ ทางขวาของห้องนี้ มีอีกหนึ่งพื้นที่เว้าที่มีช่องเสียง (oracle hole) ซึ่งช่วยให้เสียงเดินทางระหว่างห้องหลักและห้องเว้า ช่องนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับแนวการขึ้นของดวงอาทิตย์ในช่วงครีษมายัน นอกจากนี้ ทางขวาของห้องยังมีแท่นหินแนวนอนที่อาจใช้เป็นที่นั่ง
วิหารหลัก
หลังจากผ่านทางเข้าวิหารหลัก จะพบกับพื้นที่ทรงรีขนาด 14.3 เมตร × 5.5 เมตร ซึ่งมีกำแพงหินแผ่นใหญ่และเคยมีโครงสร้างอิฐต่อเติมด้านบน อพส์ทั้งสองด้านถูกแยกออกจากลานกลางโดยแผ่นหินแนวตั้งสองแผ่นที่เจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยม เชื่อกันว่า เดิมช่องเหล่านี้ อาจถูกปิดกั้นด้วยม่าน เพื่อจำกัดการเข้าถึงอพส์ด้านข้าง
พื้นที่ตรงกลางปูด้วยแผ่นหินที่ขัดเรียบ และตามแนวกำแพงมีแท่นบูชาหินเตี้ยๆ ที่เคยถูกตกแต่งด้วยรอยสลัก บางแท่นมีร่องรอยการเผาไหม้
ในปี 1839 นักโบราณคดี ได้ค้นพบวัตถุสำคัญหลายชิ้นในลานนี้ ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วัลเลตตา ได้แก่
- รูปปั้นหิน
- แท่นบูชาหินแกะสลักลวดลายพืช
- แผ่นหินสลักลายก้นหอย
- หินธรณีประตูที่ถูกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม
อพส์ด้านขวาเคยเป็นคอกขังสัตว์ ขณะที่อพส์ด้านซ้าย มีแท่นบูชาแบบไตรลิธอนขนาดใหญ่ทางซ้าย และแท่นบูชาอีกสองแท่นทางขวา โดยหนึ่งในนั้นอยู่ในห้องขนาดเล็ก อีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปภายในมีลานกลาง ช่องเว้า และอพส์ด้านขวารวมกัน
ช่องเว้า (The Niche)
ประตูทางเข้าช่องเว้านี้ ถูกล้อมด้วยแท่นหินที่มีขอบโค้งและขอบนูน ที่ฐานของแท่นบูชาแห่งหนึ่งมีช่องวงรีสองช่องเรียงซ้อนกัน ซึ่งคล้ายกับ "ช่องร้อยเชือก" ที่พบในวิหารมอลตาอื่นๆ
พื้นทางเข้าถูกปูไว้อย่างประณีต และมีแผ่นหินตั้งเป็นกรอบ บริเวณด้านซ้ายของทางเข้าเป็นช่องเว้าขนาดเล็ก และทางขวาเป็นห้องที่มีแท่นบูชาหินก้อนเดียวซึ่งถูกเผาจนเกิดการเปลี่ยนสี นักวิชาการสันนิษฐานว่าสถานที่นี้อาจเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของวิหาร
ด้านหน้าของช่องเว้า ทางเดินขยายเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม มีช่องลึกที่ปลายสุด ซึ่งถูกปิดกั้นด้วยแผ่นหินสูง 0.9 เมตร โดยมีอีกแผ่นหนึ่งวางพาดอยู่บนเสาสองต้น ทำให้ช่องนี้ดูคล้ายหน้าต่าง ภายในเป็นห้องขนาดเล็ก นักขุดค้นในยุคแรกไม่สามารถรายงานได้อย่างแน่ชัดว่าพบอะไรในช่องนี้ แต่เมื่อเทียบกับวิหารทาร์เชียน (Tarxien Temples) คาดว่าห้องนี้ อาจเคยใช้เก็บกระดูกสัตว์บูชายัญ และเครื่องปั้นดินเผาที่ถูกทุบทำลายตามพิธีกรรม
แหล่งกักเก็บน้ำ (The Watering Place)
Il-Misqa หรือ "แหล่งกักเก็บน้ำ" เป็นพื้นที่ราบหินเปลือยบนยอดเขาใกล้กับวิหาร ประกอบด้วยอ่างเก็บน้ำรูปทรงระฆังเจ็ดแห่ง ห้าแห่งยังสามารถกักเก็บน้ำฝนได้ ส่วนอีกสองแห่งซึ่งลึกที่สุดไม่สามารถเก็บน้ำได้อีกต่อไป เนื่องจากถูกเชื่อมต่อกันผ่านทางน้ำใต้ดิน
มีแท่งหินตั้งอยู่บนหนึ่งในอ่างเก็บน้ำที่แห้ง เชื่อกันว่าอาจใช้ในการตักน้ำจากบ่อ นอกจากนี้ ยังมีบ่ออีกหนึ่งแห่ง ที่ถูกปิดกั้นโดยต้นมะเดื่อขนาดใหญ่ ทางน้ำที่ถูกแกะสลักบนพื้นหิน ช่วยกระจายปริมาณน้ำฝนไปยังบ่อต่างๆ และรักษาระดับน้ำให้สัมพันธ์กัน
การขุดค้นและบูรณะ
นักประวัติศาสตร์ชาวมอลตา โจวันนี ฟรานเชสโก อาเบลา (Giovanni Francesco Abela) ได้บันทึกไว้ในปี 1647 ว่าซากปรักหักพังของฮาจาร์คิมเป็น "หลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ชาวมอลตายุคแรก เป็นเผ่ายักษ์"
ฮาจาร์คิมได้รับการสำรวจครั้งแรกในปี 1839 โดย เจ. จี. แวนซ์ (J. G. Vance) แห่งกองวิศวกรหลวงอังกฤษ เขาได้ทำแผนผังอาคารและส่งแท่นบูชา แผ่นหินสลัก และรูปปั้นหินเจ็ดชิ้นไปยังพิพิธภัณฑ์วัลเลตตา รายงานการขุดค้นของเขาถูกตีพิมพ์ในปี 1842
ในปี 1885 อันโตนิโอ การูอานา (Antonio Caruana) ได้ขุดค้นเพิ่มเติม และตีพิมพ์รายงานฉบับยาวพร้อมแผนผังโดยละเอียด
การขุดค้นเพิ่มเติมดำเนินการในปี 1909 โดยเธมิสโตเคิล ซัมมิต (Themistocles Zammit) และโทมัส พีต (Thomas Peet) โรงเรียนอังกฤษที่กรุงโรม ได้ร่วมดำเนินโครงการขุดค้นเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกซากปรักหักพัง ในพื้นที่ฮาจาร์คิม ได้รับการบันทึกครบถ้วน
เธมิสโตเคิล ยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวิจัย ที่ได้รับเลือกจากการประชุมวิทยาศาสตร์ก่อนประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ยุคต้นนานาชาติครั้งแรก
ในปี 1910 มีการค้นหาทุ่งนาโดยรอบอย่างละเอียด และสำรวจซากปรักหักพังของวิหารอย่างแม่นยำโดยสมาชิกของโรงเรียนอังกฤษที่กรุงโรม (British School at Rome) ซึ่งได้ซ่อมแซมบางส่วนของโครงสร้างที่เสียหาย รวมถึงรวบรวมเศษภาชนะดินเผา เครื่องมือหินเหล็กไฟ วัตถุหิน และดินเหนียว ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์วัลเลตตา
ตัวอย่างประติมากรรมวิหารมอลตา
วิหารแห่งนี้ถูกบรรจุอยู่ใน *บัญชีโบราณสถาน* เมื่อปี 1925 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 1949 มีการค้นพบรูปปั้นหินขนาดเล็กสามชิ้น และชิ้นส่วนของรูปปั้นขนาดใหญ่อีกหลายชิ้น ฝังอยู่ใต้แผ่นหินสี่เหลี่ยม ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1950 ได้มีการค้นพบ "วีนัสแห่งมอลตา" (*Venus of Malta*) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรูปปั้นที่พบในฮาจาร์คิม
การขาดลักษณะทางเพศที่เด่นชัด ในรูปปั้นทางศาสนาของมอลตา ที่พัฒนามากขึ้น อาจบ่งบอกได้ว่ารูปปั้นเหล่านี้ เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเพศ
การบูรณะและการอนุรักษ์
มีการบูรณะวิหารเพียงเล็กน้อย ยกเว้นการเสริมความแข็งแรง หรือเปลี่ยนแท่งหินบางก้อน เช่น ทับหลังของประตูในช่วงทศวรรษที่ 1950
Heritage Malta ได้สร้างที่กำบังเพื่อป้องกันวิหารจากการกัดเซาะเพิ่มเติม รวมถึงสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้กับวิหาร บริเวณที่เคยเป็นร้านอาหารขนาดเล็กมาก่อน
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งนี้ มีหอประชุมสำหรับฉายวิดีโอแนะนำเกี่ยวกับวิหาร และพื้นที่จัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแบบจำลองที่มาจากพิพิธภัณฑ์โบราณคดี และนิทรรศการแบบอินเทอร์แอคทีฟ
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างใหม่เหล่านี้ เป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน เนื่องจากรายงานของ MEPA (หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและการวางแผนของมอลตา) ระบุว่า การก่อสร้าง ควรจำกัดอยู่ที่เหมืองหิน Magħlaq ซึ่งอยู่ใกล้กับวิหาร Mnajdra และไม่ควรสร้างติดกับวิหารฮาจาร์คิม อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าว กลับไม่ถูกต้องและทำให้เกิดความเข้าใจผิด




