ขนาดเกิดแผ่นดินไหว ทหารพม่ายังเดินหน้าโจมตีต่อ ไม่สนใจแม้แต่ภัยธรรมชาติ
เมื่อไม่กี่วันก่อน เกิดแผ่นดินไหวที่ชายแดนพม่า สะเทือนมาถึงหลายจังหวัดของไทย ดิฉันอยู่บ้านยังรู้สึกว่าพื้นบ้านมันไหวยิบๆ หัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมาอีก แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่ากลับไม่ใช่ภัยธรรมชาติค่ะ
แต่เป็นเสียงระเบิด เสียงปืน มันไม่ได้หยุดลงพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินเลยค่ะ ตรงกันข้าม เหมือนทุกอย่างจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดิฉันได้ยินข่าวจากคนในพื้นที่ ว่าชาวบ้านฝั่งรัฐกะเหรี่ยงที่อยู่ใกล้แนวชายแดน ต้องหอบลูกจูงหลานหนีตายกันกลางป่า บางคนไม่มีแม้แต่รองเท้าใส่ ต้องวิ่งหนีทั้งที่แผ่นดินก็สั่น ปืนก็ยิง น้ำตาก็ไหล
ดิฉันเคยหวังว่า เหตุการณ์ใหญ่อย่างแผ่นดินไหว จะทำให้ทุกฝ่ายหยุดคิดสักนิดว่า ชีวิตคนมีค่าเพียงใด แต่ดูเหมือนบางคนจะไม่ได้มองชีวิตมนุษย์ว่าเป็นสิ่งสำคัญเลยด้วยซ้ำ
เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องหนีออกมาจากบ้านโดยไม่มีแม้แต่ข้าวติดมือ ผู้หญิงที่แบกลูกไว้ข้างหน้า แบกชีวิตอีกหลายชีวิตไว้ข้างหลัง... พวกเขาเหล่านั้นไม่ควรต้องเผชิญกับความโหดร้ายแบบนี้
บางคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ดิฉันขอบอกตรง ๆ ว่าเสียงปืนจากฝั่งโน้น บางวันมันลอยข้ามน้ำมาให้เราได้ยินจริง ๆ ชาวบ้านไทยที่อยู่แนวชายแดนก็อยู่กันไม่เป็นสุข ทั้งหวาดกลัว ทั้งเห็นใจ ใครบางคนก็ต้องรับผู้อพยพเข้ามาช่วยเหลือกันตามกำลัง
นี่ไม่ใช่เรื่องของ “คนอื่น” แล้วนะคะ แต่มันคือเรื่องของ “มนุษย์” ที่กำลังบอบช้ำด้วยกันทั้งสองฝั่ง
ดิฉันไม่รู้ว่าเสียงเล็ก ๆ แบบนี้จะส่งไปถึงใครได้ไหม
แต่ขอเพียงใครสักคนที่มีอำนาจ เห็นใจ หยุดคิด หยุดยิง แล้วหันมาพูดกันดี ๆ สักครั้ง ไม่ต้องถึงกับรักกัน ขอแค่ไม่เข่นฆ่ากันก็พอแล้ว
ขนาดแผ่นดินยังสั่นสะเทือน... หัวใจของผู้หญิงวัยห้าสิบอย่างดิฉันก็สั่นไหวไม่แพ้กันเลยค่ะ
หากคุณผู้อ่านผ่านมาพบกระทู้นี้ ฝากช่วยกันส่งเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด เพื่อคนตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่สงครามจะได้มี “โอกาส” ในการมีชีวิตที่ปลอดภัยบ้างเถอะค่ะ
ด้วยรักและห่วงใย จากคนไทยในต่างแดน















