ผลไม้บ่มสุก ดีจริงเหมือนผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติหรือไม่?
บ่มสุกผลไม้ เป็นกระบวนการที่พบเห็นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมการเกษตรและการค้าผลไม้ทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าผลไม้ที่ผ่านการบ่มให้สุกนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการและความปลอดภัยเทียบเท่ากับผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติบนต้นหรือไม่ บทความนี้จะพาไปสำรวจข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกระบวนการบ่มผลไม้ให้สุก ผลกระทบต่อคุณค่าทางโภชนาการ และความปลอดภัยในการบริโภค โดยอ้างอิงจากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและทันสมัย
ผลไม้บ่มสุกได้อย่างไร
กระบวนการสุกของผลไม้เป็นปรากฏการณ์ทางชีวเคมีที่ซับซ้อน โดยธรรมชาติแล้ว ผลไม้จะสร้างฮอร์โมนพืชที่เรียกว่า "เอทิลีน" (Ethylene) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่นำไปสู่การสุก การศึกษาโดย Lelievre และคณะ (1997) ในวารสาร Physiologia Plantarum ได้แสดงให้เห็นว่าเอทิลีนกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสลายโครงสร้างผนังเซลล์ การเปลี่ยนแปลงแป้งเป็นน้ำตาล และการสังเคราะห์สารให้กลิ่นและสารให้สี
การบ่มผลไม้ให้สุกในเชิงพาณิชย์มีหลายวิธี:
- การบ่มด้วยก๊าซเอทิลีน - วิธีที่พบบ่อยที่สุดในอุตสาหกรรม โดยปล่อยก๊าซเอทิลีนเข้าไปในห้องบ่มที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
- การบ่มด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์ - เมื่อสัมผัสกับความชื้น แคลเซียมคาร์ไบด์จะปล่อยก๊าซอะเซทิลีนซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับเอทิลีน วิธีนี้เป็นที่นิยมในบางประเทศกำลังพัฒนาแต่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย
- การบ่มด้วยความร้อน - การเพิ่มอุณหภูมิจะเร่งกระบวนการเมแทบอลิซึมในผลไม้ทำให้สุกเร็วขึ้น
- การบ่มด้วยวิธีธรรมชาติ - เช่น การห่อผลไม้ในกระดาษหรือถุงกระดาษ หรือวางใกล้กับผลไม้ที่ปล่อยเอทิลีนสูง เช่น กล้วยหรือแอปเปิล
การศึกษาโดย Barry และ Giovannoni (2007) ในวารสาร Annual Review of Plant Biology ได้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการสุกของผลไม้สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทหลักๆ:
- ผลไม้ที่สุกแบบไคลแมคเทอริก (Climacteric fruits) - ผลไม้ประเภทนี้มีการผลิตเอทิลีนสูงขึ้นระหว่างการสุก เช่น กล้วย มะม่วง แอปเปิล อะโวคาโด ลูกพีช และมะละกอ ผลไม้กลุ่มนี้สามารถบ่มให้สุกได้แม้จะเก็บเกี่ยวในขณะที่ยังไม่สุกเต็มที่
- ผลไม้ที่สุกแบบนอน-ไคลแมคเทอริก (Non-climacteric fruits) - ผลไม้ประเภทนี้ไม่มีการเพิ่มขึ้นของการผลิตเอทิลีนระหว่างการสุก เช่น ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ และสับปะรด ผลไม้กลุ่มนี้ต้องสุกบนต้นและไม่สามารถบ่มให้สุกเพิ่มเติมได้หลังจากเก็บเกี่ยว
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ เคยสงสัยกันไหม ผลไม้รถเข็นถึงหวานฉ่ำจัง? ความลับการเพิ่มความหวานผลไม้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
การบ่มผลไม้มีเสียต่อร่างกายคนทานไหม?
คำถามที่สำคัญคือ การบ่มผลไม้ให้สุกส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคหรือไม่ ข้อกังวลหลักเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลไม้บ่มสุกมีดังนี้:
1. การบ่มด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์
การวิจัยโดย Rahman และคณะ (2008) ในวารสาร Pakistan Journal of Biological Sciences พบว่าการบ่มผลไม้ด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากแคลเซียมคาร์ไบด์ในทางการค้าอาจมีการปนเปื้อนของสารหนู (arsenic) และฟอสฟอรัส (phosphorus) ซึ่งเป็นสารพิษ การบริโภคผลไม้ที่บ่มด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในปากและลำคอ ท้องเสีย หรือหากได้รับในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระบบประสาทและไต
2. การบ่มด้วยเอทิลีน
ในทางตรงกันข้าม การบ่มด้วยก๊าซเอทิลีนที่ได้รับการยอมรับว่าปลอดภัยกว่า การศึกษาโดย Martínez-Romero และคณะ (2007) ในวารสาร Food Science and Technology International ไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าการบ่มด้วยเอทิลีนในปริมาณที่ควบคุมส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค เนื่องจากเอทิลีนเป็นฮอร์โมนที่ผลไม้ผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ และไม่มีการตกค้างในผลไม้หลังกระบวนการบ่ม
3. สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผลไม้ การศึกษาโดย Bempah และคณะ (2011) ในวารสาร Journal of Environmental Protection พบว่าผลไม้ที่เก็บเกี่ยวก่อนระยะสุกเต็มที่เพื่อนำมาบ่มอาจมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในปริมาณที่สูงกว่า เนื่องจากระยะเวลาระหว่างการฉีดพ่นสารเคมีครั้งสุดท้ายกับการเก็บเกี่ยวอาจสั้นกว่าที่แนะนำ
องค์การอาหารและยา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ล้างผลไม้ให้สะอาดก่อนบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีตกค้าง โดยไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติหรือผลไม้บ่มสุกก็ตาม
การทานผลไม้บ่มสุก คุณค่าทางโภชนาการลดลงไหม?
เมื่อเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการระหว่างผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติกับผลไม้บ่มสุก มีข้อค้นพบที่น่าสนใจจากการวิจัยหลายชิ้น:
1. วิตามินและแร่ธาตุ
การศึกษาโดย Lee และ Kader (2000) ในวารสาร Postharvest Biology and Technology พบว่าปริมาณวิตามินซีในผลไม้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวิธีการบ่ม โดยผลไม้ที่สุกบนต้นมักมีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ที่เก็บเกี่ยวก่อนสุกและนำมาบ่ม อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนี้มักไม่มีนัยสำคัญทางโภชนาการในการบริโภคจริง
ในทางกลับกัน การศึกษาโดย Prasanna และคณะ (2007) ในวารสาร Journal of the Science of Food and Agriculture พบว่าผลไม้บางชนิด เช่น มะม่วง อาจมีปริมาณเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอเพิ่มขึ้นระหว่างการบ่มให้สุกหลังการเก็บเกี่ยว
2. สารต้านอนุมูลอิสระ
Kevers และคณะ (2007) ในวารสาร Journal of Agricultural and Food Chemistry ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ระหว่างการสุก พบว่าผลไม้บางชนิดมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเมื่อสุก (เช่น มะเขือเทศ) ในขณะที่บางชนิดมีปริมาณลดลง (เช่น เบอร์รี่)
การวิจัยโดย Vinha และคณะ (2013) ในวารสาร Food Chemistry พบว่าวิธีการบ่มมีผลต่อปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ โดยการบ่มที่อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมอาจช่วยรักษาหรือเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระได้
3. ใยอาหารและคาร์โบไฮเดรต
การศึกษาโดย Goldfield และคณะ (2008) ในวารสาร Nutrition Reviews พบว่าปริมาณใยอาหารในผลไม้ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากวิธีการบ่ม แต่ระดับน้ำตาลอาจแตกต่างกัน โดยผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติบนต้นมักมีความสมดุลของรสหวานและความเปรี้ยวที่ดีกว่า
4. รสชาติและกลิ่น
Fellman และคณะ (2000) ในวารสาร Journal of Agricultural and Food Chemistry พบว่าผลไม้ที่สุกบนต้นมักมีโปรไฟล์ของสารให้กลิ่นที่ซับซ้อนกว่าผลไม้ที่บ่มสุกหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งอาจส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นโดยรวม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติมักมีรสชาติดีกว่า
ผลไม้บ่มสุก มีอะไรบ้าง?
ผลไม้แต่ละชนิดมีความเหมาะสมในการบ่มให้สุกแตกต่างกัน ตามการศึกษาของ Paul และ Pandey (2014) ในวารสาร Comprehensive Reviews in Food Science and Food Safety สามารถแบ่งผลไม้ตามความเหมาะสมในการบ่มได้ดังนี้:
ผลไม้ที่เหมาะสำหรับการบ่มสุก (ไคลแมคเทอริก)
- กล้วย - เป็นผลไม้ที่บ่มสุกได้ดีที่สุด การศึกษาโดย Ahmad และคณะ (2006) ในวารสาร Tropical Science พบว่ากล้วยที่เก็บเกี่ยวในระยะเขียวและบ่มด้วยเอทิลีนสามารถพัฒนารสชาติและเนื้อสัมผัสได้ใกล้เคียงกับกล้วยที่สุกบนต้น
- มะม่วง - Lalel และคณะ (2003) ในวารสาร Journal of Horticultural Science and Biotechnology พบว่ามะม่วงสามารถบ่มให้สุกได้ดีหลังการเก็บเกี่ยว แต่โปรไฟล์ของสารให้กลิ่นอาจแตกต่างจากมะม่วงที่สุกบนต้น
- อะโวคาโด - ต้องเก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสมและบ่มที่อุณหภูมิห้องเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติที่ดี (Woolf et al., 2004; Postharvest Biology and Technology)
- ลูกพีช - การบ่มที่อุณหภูมิ 20-25°C จะช่วยให้ลูกพีชมีรสชาติหวานและเนื้อนุ่ม (Crisosto et al., 2001; Postharvest Biology and Technology)
- มะละกอ - สามารถเก็บเกี่ยวในระยะเริ่มเปลี่ยนสีและบ่มให้สุกได้ (Paull et al., 1997; Postharvest Biology and Technology)
- แอปเปิล - บางสายพันธุ์สามารถบ่มให้สุกได้ดี แต่บางสายพันธุ์ควรสุกบนต้น (Johnston et al., 2002; Postharvest Biology and Technology)
- สาลี่ - เหมาะสำหรับการบ่มที่อุณหภูมิห้อง และมักมีรสชาติดีกว่าเมื่อบ่มหลังการเก็บเกี่ยว (Chen and Mellenthin, 1981; Journal of American Society for Horticultural Science)
ผลไม้ที่ไม่เหมาะสำหรับการบ่มสุก (นอน-ไคลแมคเทอริก)
- ส้ม - ต้องสุกบนต้น การบ่มหลังเก็บเกี่ยวไม่ช่วยเพิ่มความหวานหรือคุณภาพ (Rodrigo et al., 2013; Food Science and Technology International)
- องุ่น - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพที่สำคัญหลังการเก็บเกี่ยว (Chervin et al., 2004; Postharvest Biology and Technology)
- สตรอเบอร์รี่ - ควรเก็บเกี่ยวเมื่อสุกเต็มที่เท่านั้น การบ่มไม่ช่วยปรับปรุงคุณภาพ (Kalt et al., 1993; Journal of Food Science)
- เชอร์รี่ - เช่นเดียวกับสตรอเบอร์รี่ ต้องสุกบนต้น (Serrano et al., 2005; Food Chemistry)
- สับปะรด - แม้จะมีการเปลี่ยนสีภายนอกหลังการเก็บเกี่ยว แต่ความหวานไม่เพิ่มขึ้น (Chen and Paull, 2001; Postharvest Biology and Technology)
วิธีการบ่มผลไม้ให้สุก
การบ่มผลไม้ในระดับครัวเรือนสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมีดังนี้:
1. การบ่มด้วยถุงกระดาษ
การศึกษาโดย Thompson และคณะ (2008) ในวารสาร HortTechnology พบว่าการห่อผลไม้ในถุงกระดาษช่วยกักเก็บก๊าซเอทิลีนที่ผลไม้ปล่อยออกมา ทำให้กระบวนการสุกเร็วขึ้น:
- นำผลไม้ที่ต้องการบ่ม เช่น กล้วย มะม่วง หรืออะโวคาโด ใส่ในถุงกระดาษ
- พับปากถุงให้สนิท
- เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (20-25°C)
- ตรวจสอบทุกวันเพื่อดูระดับความสุก
2. การบ่มโดยใช้ผลไม้ที่ปล่อยเอทิลีนสูง
Wills และ Warton (2004) ในวารสาร Postharvest Biology and Technology แนะนำการบ่มผลไม้โดยวางใกล้กับผลไม้ที่ปล่อยเอทิลีนสูง:
- วางผลไม้ที่ต้องการบ่มใกล้กับกล้วยสุกหรือแอปเปิล
- นำไปไว้ในภาชนะปิดหรือถุงกระดาษเพื่อกักเก็บก๊าซเอทิลีน
- เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ตรวจสอบทุกวันเพื่อป้องกันการสุกเกินไป
3. การบ่มด้วยข้าวสาร
วิธีดั้งเดิมในหลายประเทศแถบเอเชีย:
- ใส่ข้าวสารลงในภาชนะ
- วางผลไม้ลงบนข้าวสาร โดยให้ผลไม้ไม่สัมผัสกัน
- ปิดภาชนะและเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ข้าวสารจะช่วยดูดซับความชื้นและรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม
4. การบ่มด้วยความร้อน
Ferguson และคณะ (1999) ในวารสาร Postharvest Biology and Technology พบว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะเร่งกระบวนการสุก:
- เก็บผลไม้ไว้ในที่อุ่นในบ้าน (เช่น ใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดส่อง)
- หมั่นพลิกผลไม้เพื่อให้ได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
- ระวังไม่ให้ผลไม้ได้รับความร้อนมากเกินไปซึ่งอาจทำให้เน่าเสียได้
คงมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน (Kader, 2008; Annual Review of Food Science and Technology)
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผลไม้บ่มสุก
1. ผลไม้บ่มสุกและผลไม้สุกธรรมชาติแตกต่างกันอย่างไร?
ผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติบนต้นมักมีรสชาติที่สมดุลกว่าและมีโปรไฟล์ของสารให้กลิ่นที่ซับซ้อนกว่า ในขณะที่ผลไม้บ่มสุกอาจมีรสชาติและกลิ่นที่ด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ยังคงมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน (Kader, 2008; Annual Review of Food Science and Technology)
2. ผลไม้บ่มสุกด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์อันตรายหรือไม่?
การบ่มผลไม้ด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์อาจเป็นอันตรายเนื่องจากอาจมีสารพิษปนเปื้อน เช่น สารหนูและฟอสฟอรัส ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคผลไม้ที่บ่มด้วยวิธีนี้ (Siddiqui and Dhua, 2010; Journal of Food Science and Technology)
3. จะรู้ได้อย่างไรว่าผลไม้ถูกบ่มด้วยสารเคมี?
ผลไม้ที่บ่มด้วยสารเคมีมักมีลักษณะสังเกตได้ เช่น สีสม่ำเสมอเกินธรรมชาติ มีจุดสีเข้มที่ผิว มีกลิ่นแปลกปลอม หรือมีเนื้อแข็งผิดปกติในขณะที่ภายนอกดูสุก (Gunther, 2016; Food Safety Magazine)
4. ผลไม้ชนิดใดที่ไม่ควรซื้อมาบ่มเอง?
ผลไม้นอน-ไคลแมคเทอริก เช่น ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ และสับปะรด ไม่ควรซื้อมาบ่มเอง เนื่องจากไม่สามารถสุกเพิ่มขึ้นได้หลังการเก็บเกี่ยว (Paul et al., 2012; Frontiers in Plant Science)
5. การบ่มผลไม้ให้สุกที่บ้านวิธีใดปลอดภัยที่สุด?
การบ่มผลไม้ในถุงกระดาษหรือวางใกล้กับผลไม้ที่ปล่อยเอทิลีนสูง เช่น กล้วยสุก เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการบ่มผลไม้ที่บ้าน เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ (Mattheis, 2012; HortScience)
6. ผลไม้บ่มสุกมีวิตามินน้อยกว่าผลไม้สุกธรรมชาติจริงหรือไม่?
จากการศึกษาของ Yahia และคณะ (2019) ในวารสาร Journal of Agricultural and Food Chemistry พบว่าความแตกต่างของปริมาณวิตามินระหว่างผลไม้บ่มสุกและผลไม้สุกธรรมชาติมีไม่มากและมักไม่มีผลกระทบต่อคุณค่าทางโภชนาการโดยรวมในการบริโภคประจำวัน
7. ทำไมผลไม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่จึงเป็นผลไม้บ่มสุก?
เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งและอายุการเก็บรักษา ผลไม้มักถูกเก็บเกี่ยวก่อนระยะสุกเต็มที่เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง และบ่มให้สุกเมื่อถึงปลายทาง (Watkins, 2006; Trends in Food Science & Technology)
8. ผลไม้บ่มสุกเก็บได้นานเท่าไร?
ผลไม้บ่มสุกมักมีอายุการเก็บรักษาสั้นกว่าผลไม้ที่ยังไม่สุก โดยทั่วไปควรบริโภคภายใน 3-7 วันหลังจากสุกเต็มที่ ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ (Pareek, 2016; Postharvest Ripening Physiology of Crops)
9. ควรล้างผลไม้บ่มสุกก่อนรับประทานหรือไม่?
ควรล้างผลไม้ทุกชนิดก่อนรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้บ่มสุกหรือสุกตามธรรมชาติ เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีตกค้างและเชื้อจุลินทรีย์ (FDA, 2018; Food Safety Guidelines)
สรุปบทความ
ผลไม้บ่มสุกเป็นทางเลือกที่มีทั้งข้อดีและข้อด้อยเมื่อเทียบกับผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติบนต้น จากการทบทวนงานวิจัยต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า:
- คุณค่าทางโภชนาการ: ผลไม้บ่มสุกและผลไม้สุกตามธรรมชาติมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน แม้ว่าอาจมีความแตกต่างเล็กน้อยในปริมาณวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพของผู้บริโภค
- รสชาติและคุณภาพ: ผลไม้ที่สุกบนต้นมักมีรสชาติและกลิ่นที่ดีกว่าผลไม้บ่มสุก เนื่องจากมีการพัฒนาสารให้กลิ่นที่ซับซ้อนมากกว่า
- ความปลอดภัย: การบ่มผลไม้ด้วยก๊าซเอทิลีนหรือวิธีธรรมชาติมีความปลอดภัย แต่การบ่มด้วยแคลเซียมคาร์ไบด์อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษ
- ความเหมาะสม: ผลไม้ไคลแมคเทอริก เช่น กล้วย มะม่วง และอะโวคาโด สามารถบ่มให้สุกได้ดีหลังการเก็บเกี่ยว ในขณะที่ผลไม้นอน-ไคลแมคเทอริก เช่น ส้มและสตรอเบอร์รี่ ควรสุกบนต้นและไม่เหมาะสำหรับการบ่ม
- ทางเลือกที่ดีที่สุด: หากมีโอกาส การเลือกผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติบนต้นจะให้รสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด แต่ผลไม้บ่มสุกก็เป็นทางเลือกที่ยอมรับได้ในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการและความสะดวก
ที่สำคัญ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีลักษณะผิดปกติซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการบ่มด้วยสารเคมีที่ไม่ปลอดภัย และควรล้างผลไม้ทุกชนิดให้สะอาดก่อนรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีตกค้างและเชื้อจุลินทรีย์
การเลือกผลไม้จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ในกรณีที่ต้องการความสะดวกและการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น ผลไม้บ่มสุกอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่หากต้องการรสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด การเลือกผลไม้ตามฤดูกาลที่สุกบนต้นจากแหล่งที่เชื่อถือได้จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ 5 ประโยชน์ผงกล้วยดิบ ที่ช่วยได้มากกว่าลดกรดไหลย้อน
✪ 10 เครื่องดื่มช่วยลดไขมันเลว LDL ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
✪ โรคเก๊าท์ อย่าโทษไก่ รู้ไหมเนื้อแดงทำให้เป็นเก๊าท์ได้มากกว่าไก่?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ











