วิหารอสรพิษขนนก, เตโอติฮัวกัน (Temple of the Feathered Serpent, Teotihuacan)
วิหารอสรพิษขนนก เป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเมืองโบราณเตโอติฮัวกัน ซึ่งเป็นเมืองในยุคก่อนโคลัมบัส ตั้งอยู่ในบริเวณตอนกลางของเม็กซิโก เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นประมาณศตวรรษที่ 1 หรือ 2 ก่อนคริสตกาล และเจริญรุ่งเรืองถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 7 มีประชากรสูงสุดราว 100,000 คนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3
โครงสร้างและทำเลที่ตั้ง
วิหารตั้งอยู่ทางใต้ของถนน Avenue of the Dead ภายในเขตโครงสร้างที่เรียกว่า "ซิวดาเดลา" (Ciudadela) ซึ่งเป็นลานขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ภายในมีอาคารสำคัญหลายแห่ง รวมถึงวิหารหลักและฐานชานหน้าวิหาร (Adosada Platform) ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 4 และบังมุมมองของวิหารไว้บางส่วน
พื้นที่นี้ยังล้อมรอบด้วยกลุ่มที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง เชื่อกันว่าเป็นผู้นำของรัฐเตโอติฮัวกัน วิหารนี้มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแบบขั้นบันได 6 ชั้น (talud-tablero) และตกแต่งด้วยหัวอสรพิษขนนกสลับกับสัตว์หัวคล้ายงูอีกชนิดหนึ่งที่บางคนเชื่อว่าเป็นเทพตลาโลก (Tlaloc) หรืออสรพิษไฟ (fire serpent)
ความหมายเชิงสัญลักษณ์
ภาพสลักและลวดลายรอบวิหาร แสดงถึงความเชื่อทางจักรวาลวิทยา ปฏิทิน หรือการปกครอง มีการตีความว่ารูปหัวเครื่องประดับของอสรพิษขนนกแสดงถึงบทบาทของเทพเจ้าในการนำพา "พลังแห่งเวลา" ลงสู่โลก
การฝังศพและการสังเวย
มีการค้นพบหลุมฝังศพของผู้ที่อาจถูกสังเวยกว่า 200 ศพใต้ฐานวิหาร โดยมากเป็นชายที่แต่งกายคล้ายทหาร พร้อมอาวุธและของประดับ เช่น สร้อยฟันมนุษย์ ซึ่งทำให้นักวิชาการเชื่อว่าเป็นนักรบที่อาจสังกัดรัฐเตโอติฮัวกันเอง บางหลุมเชื่อว่าอาจเคยบรรจุร่างของกษัตริย์ แต่ถูกปล้นไปก่อนในอดีต
ศพและของฝังถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สื่อถึงความเชื่อด้านปฏิทินและการสร้างโลก นักวิชาการบางท่านเสนอว่า วิหารนี้มีความเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของสงคราม และเทพเจ้าอสรพิษขนนกเองก็อาจเกี่ยวโยงกับเทพแห่งสงครามหรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาวศุกร์
สภาพปัจจุบันและการอนุรักษ์
วิหารได้รับความเสียหายจากสภาพอากาศ การเติบโตของพืช และนักท่องเที่ยว ในปี 2004 องค์กร World Monuments Fund ได้ขึ้นทะเบียนวิหารแห่งนี้เพื่อการอนุรักษ์ และร่วมมือกับสถาบันชาติพันธุ์วิทยาและประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกในการฟื้นฟู
การค้นพบในภายหลัง
ช่วงปลายปี 2003 อุโมงค์ใต้วิหารเทพแห่งขนนก ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยนักโบราณคดี เซร์คิโอ โกเมซ ชาเวซ และจูลี กาซโซลา จากสถาบันมานุษยวิทยา และประวัติศาสตร์แห่งชาติของเม็กซิโก (INAH) หลังจากฝนตกหนักหลายวัน โกเมซ ชาเวซสังเกตเห็นหลุมยุบกว้างเกือบหนึ่งเมตรที่บริเวณฐานของพีระมิดวิหาร
เมื่อพยายามส่องไฟฉายลงไปดูจากด้านบน เขามองเห็นเพียงความมืดมิด จึงให้เพื่อนร่วมงานหลายคนช่วยผูกเชือกหนักรอบเอวและหย่อนตัวเขาลงไปในหลุมลึก เมื่อถึงก้นหลุม เขาพบว่ามันเป็นปล่องทรงกระบอกสมบูรณ์แบบที่นำไปสู่อุโมงค์โบราณที่ถูกกั้นไว้ด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ โกเมซคาดว่าอาจเป็นอุโมงค์ที่คล้ายคลึงกับอุโมงค์ใต้พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ และอาจนำไปสู่ห้องใต้ดินใต้วิหารเทพแห่งขนนก เขาจึงตัดสินใจตั้งสมมุติฐานและขออนุมัติจากทางการ พร้อมกันนั้นก็สร้างเต็นท์คลุมหลุมไว้เพื่อป้องกันความเสียหายจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อุโมงค์นี้เชื่อว่าถูกปิดผนึกไว้ตั้งแต่ราว ค.ศ. 200
การเตรียมสำรวจเบื้องต้น
การวางแผนและระดมทุนใช้เวลากว่า 6 ปี ก่อนเริ่มขุดในต้นปี 2004 ดร. วิคเตอร์ มานูเอล เวลาสโก เอร์เรรา ได้ใช้เรดาร์ตรวจใต้พื้นดินร่วมกับทีมงาน 20 คน เพื่อวัดความยาวโดยประมาณของอุโมงค์และตรวจสอบการมีอยู่ของห้องต่าง ๆ พวกเขาสแกนใต้ดินบริเวณ Ciudadela และอัปโหลดข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์ของโกเมซในแต่ละวัน ภายในปี 2005 แผนที่ดิจิทัลก็เสร็จสมบูรณ์
ทีมโบราณคดีใช้หุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลชื่อ "Tlaloc II-TC" ซึ่งติดกล้องอินฟราเรดและเครื่องสแกนเลเซอร์สามมิติ เพื่อลงไปบันทึกภาพใต้ดิน หุ่นยนต์สอดเข้าไปทางช่องเล็ก ๆ และเก็บภาพแรกได้ที่ความลึก 37 เมตรภายในทางเดิน
การขุดค้นอย่างเป็นทางการ
ในปี 2009 รัฐบาลให้อนุญาตแก่โกเมซในการเริ่มขุดค้นจริง ช่วงปลายปีนั้น ทีมนักโบราณคดีของ INAH ค้นพบทางเข้าอุโมงค์ที่นำไปสู่ห้องใต้ดินใต้พีระมิด ซึ่งอาจเป็นที่ฝังศพของผู้ปกครองในอดีต และในเดือนสิงหาคม 2010 โกเมซในฐานะผู้อำนวยการโครงการ Tlalocan Project: Underground Road ได้ประกาศความคืบหน้าและเตรียมเข้าอุโมงค์ที่ถูกปิดผนึกมากว่า 1,800 ปี
อุโมงค์อยู่ใต้วิหารเทพแห่งขนนก โดยทางเข้าอยู่ห่างจากตัววิหารไม่กี่เมตร ถูกปิดด้วยหินขนาดใหญ่ หลุมที่เกิดจากพายุในปี 2003 ไม่ใช่ทางเข้าจริง ทางเข้าที่แท้จริงเป็นปล่องแนวตั้งกว้าง 5 เมตร ลึก 14 เมตร และนำไปสู่ทางเดินยาวเกือบ 100 เมตร ซึ่งสิ้นสุดที่ห้องใต้ดินหลายห้อง
มีการติดตั้งบันไดและลิฟต์เพื่ออำนวยความสะดวก การขุดใช้แรงงานคนและเสียเวลากว่า 1,000 ตันของดินถูกนำออกจากอุโมงค์ สิ่งของที่ค้นพบมีทั้งเปลือกหอยขนาดใหญ่ กระดูกจากัวร์ เศษเครื่องปั้นดินเผา เศษหนังมนุษย์ หน้ากากไม้ประดับหิน เครื่องประดับต่าง ๆ ฟันจระเข้หินหยก รูปปั้นมนุษย์และสัตว์ และลูกกลมโลหะปริศนาหลายร้อยลูก ลูกกลมเหล่านี้ มีแกนเป็นดินเหนียว และเปลือกภายนอกเป็นแร่ jarosite ที่ได้จากการออกซิไดซ์ของไพไรต์
จอร์จ คาวกิล จากมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนากล่าวว่า “ไพไรต์เป็นสิ่งที่ชาวเตโอติฮัวกันและวัฒนธรรมเมโสอเมริกาโบราณใช้กัน ลูกกลมเหล่านี้น่าจะส่องแสงแวววาวในอดีต ซึ่งแม้จะไม่เข้าใจความหมายแน่ชัด แต่เป็นวัตถุที่พิเศษและไม่เหมือนใคร” ทั้งหมดนี้เชื่อว่าเป็นการถวายเครื่องบูชาเพื่อเอาใจเทพเจ้า
ปลายอุโมงค์ นำไปสู่ห้องที่แทนโลกใต้พิภพ หรือจักรวาลจำลองของเตโอติฮัวกัน ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากจุดศูนย์กลางของพีระมิดราว 17 เมตร ภูมิทัศน์จำลองนี้บรรจุวัตถุ เช่น ลูกบอลยาง (ใช้ในการเล่นบอลโบราณ) แทนดวงอาทิตย์ และมีปรอทเหลวในแอ่งเล็ก ๆ แทนทะเลสาบ
ยังค้นพบรูปปั้นหินหยก 4 องค์ แต่งกายด้วยเครื่องประดับ หันหน้าเงยขึ้นราวกับจ้องมองไปยังแกนกลางของจักรวาล สองในสี่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม เชื่อกันว่าเป็น “ชาแมนผู้ก่อตั้ง” ที่ทำหน้าที่นำพาผู้แสวงบุญไปยังสถานศักดิ์สิทธิ์ ถือวัตถุบูชา เช่น เครื่องรางและกระจกไพไรต์ซึ่งเชื่อว่าเป็นประตูสู่โลกอื่น
ผนังและเพดานของอุโมงค์ เคลือบด้วยผงแร่แม่เหล็ก ไพไรต์ และฮีมาไทต์ เพื่อสร้างความแวววาว เหมือนยืนอยู่ใต้ดวงดาวในโลกใต้พิภพจำลอง
ถึงปี 2015 มีวัตถุกว่า 75,000 ชิ้นที่ถูกค้นพบ ศึกษา บันทึก วิเคราะห์ และบูรณะเท่าที่สามารถจัดการได้ การค้นพบเหล่านี้จัดแสดงในนิทรรศการใหญ่ที่พิพิธภัณฑ์ De Young เมืองซานฟรานซิสโกตั้งแต่ปลายกันยายน 2017
ความเชื่อมโยงกับปฏิทิน
มีการเชื่อมโยงระหว่างวิหารเทพแห่งขนนกกับปฏิทิน ชาวเตโอติฮัวกันเชื่อว่า ในพีระมิด มีเศียรเทพขนนกอยู่ 260 เศียร ซึ่งตรงกับจำนวนวันในปฏิทินพิธีกรรมของพวกเขา โดยแต่ละปากของเศียรมีช่องว่างขนาดพอใส่เครื่องหมายบอกตำแหน่งได้ เชื่อว่าชาวเมืองจะย้ายเครื่องหมายนี้ไปตามเศียรต่าง ๆ เพื่อระบุวันพิธีทางศาสนา
อิทธิพลทางการเมือง
วิหารเทพแห่งขนนกไม่เพียงเป็นศูนย์กลางศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางการปกครอง ผู้นำของเตโอติฮัวกันเป็นทั้งผู้นำทางการเมืองและจิตวิญญาณ
สิ่งน่าสนใจ คือการปรากฏของการเปลี่ยนแปลงอำนาจ หรือแนวคิด โดยมีการสร้างแท่น “Adosada” ไว้หน้าวิหาร บดบังทัศนียภาพของพีระมิดดั้งเดิม เป็นสัญญาณว่าแนวคิดของเทพแห่งขนนกอาจเสื่อมความนิยมลง
ในปี ค.ศ. 378 ชาวเตโอติฮัวกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกขับไล่ออกจากเมือง ได้ทำรัฐประหารที่เมืองตีกัลป์ ในกัวเตมาลา พีระมิดเทพแห่งขนนกถูกเผา รูปสลักต่าง ๆ ถูกทำลาย และมีการสร้างแท่นใหม่เพื่อบดบังโฉมหน้าเดิมของพีระมิด
นักวิชาการเชื่อว่า เหตุการณ์เหล่านี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดด้านการก่อสร้าง จากเดิมที่เน้นการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อยกย่องบุคคล ไปสู่การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชากรจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าความสำคัญของ “ประโยชน์ส่วนรวม” เริ่มแซงหน้าความรุ่งโรจน์ส่วนบุคคล
การขุดค้นโดยจอร์จ คาวกิล ระหว่างปี 1988–1989 พบว่าพีระมิดถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง และเศษผนังดินเผาถูกนำไปใช้ในการสร้างแท่น Adosada เขาเชื่อว่าการปล่อยให้พีระมิดถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการปกป้อง เป็นสัญลักษณ์เตือนผู้ปกครองในอนาคตไม่ให้ลุแก่อำนาจ
คาวกิล ยังเสนอว่า การเสียสละที่เกิดขึ้นในพิธี อาจมากเกินไปจนชนชั้นสูงรู้สึกต่อต้าน และนั่น อาจเป็นแรงจูงใจในการทำลายอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ด้วยตัวพวกเขาเอง.
















