ซิกกูแรตแห่งเออร์ (Ziggurat of Ur)
**ซิกกูแรตแห่งเออร์** หรือที่รู้จักกันว่า **ซิกกูแรตใหญ่ (Great Ziggurat)** แห่งเออร์ (ในภาษาสุเมเรียน: *é-temen-ní-gùru* ซึ่งแปลว่า “วิหารซึ่งฐานรากก่อให้เกิดพลัง”) เป็นซิกกูแรตยุคนีโอ-สุเมเรียน ตั้งอยู่ในเมืองเออร์โบราณ ใกล้เมืองนาซิริยะห์ จังหวัดดีการ์ ประเทศอิรักในปัจจุบัน
สิ่งก่อสร้างนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคสำริดตอนต้น (ประมาณศตวรรษที่ 21 ก่อนคริสตกาล) แต่ต่อมาได้พังทลายลงกลายเป็นซากปรักหักพังภายในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ในสมัยนีโอ-บาบิโลน ซึ่งกษัตริย์ **นาบอนิดัส (Nabonidus)** ได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่
ซากของซิกกูแรตนี้ ได้รับการขุดค้นในช่วงทศวรรษ 1920–1930 โดยทีมงานนานาชาติที่นำโดยเซอร์ **ลีโอนาร์ด วูลลีย์ (Sir Leonard Woolley)** ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1980 ภายใต้การปกครองของ **ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein)** ได้มีการสร้างฟาซาด (ด้านหน้าอาคาร) และบันไดขนาดใหญ่ขึ้นใหม่บางส่วน
ซิกกูแรตแห่งเออร์ ถือเป็นซิกกูแรต ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด ในเมโสโปเตเมีย รองจากซิกกูแรตแห่ง **ดูร์ อุนตัช (Dur Untash)** หรือ **โชกา ซานบิล (Chogha Zanbil)** นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 3 โบราณสถาน ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในเมืองเออร์นีโอ-สุเมเรียน พร้อมกับ **สุสานราชวงศ์ (Royal Mausolea)** และ **พระราชวังของเออร์-นัมมู (E-hursag)**
ซิกกูแรตสุเมเรียน
**ซิกกูแรตแห่งนี้สร้างโดยกษัตริย์เออร์-นัมมู (Ur-Nammu)** ซึ่งอุทิศเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพจันทรา **นันนา (Nanna/Sîn)** ราวศตวรรษที่ 21 ก่อนคริสตกาล (ตามลำดับเวลาสั้น – short chronology) ในช่วงราชวงศ์ที่สามของเออร์
ซิกกูแรตที่ยิ่งใหญ่นี้ มีลักษณะเป็นพีระมิดขั้นบันไดขนาดมหึมา โดยมีขนาดความยาว 64 เมตร (210 ฟุต) ความกว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และความสูงมากกว่า 30 เมตร (98 ฟุต) — แต่ความสูงนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ เนื่องจากโครงสร้างดั้งเดิมของซิกกูแรต เหลือเพียงฐานรากเท่านั้น
ซิกกูแรตนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการบริหารของเมือง และเป็นศาลเจ้าของเทพจันทรานันนา ซึ่งเป็นเทพผู้คุ้มครองเมืองเออร์
การก่อสร้างซิกกูแรตเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของ **กษัตริย์ชุลกี (Shulgi)** ซึ่งในความพยายามจะผูกไมตรีกับนครต่าง ๆ ได้ประกาศตนเป็นเทพด้วย ช่วงการครองราชย์ 48 ปีของพระองค์ เมืองเออร์ได้เติบโตขึ้นเป็นเมืองหลวงของรัฐที่ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมโสโปเตเมีย
การบูรณะในสมัยนีโอ-บาบิโลน
**กษัตริย์นาบอนิดัส (Nabonidus)** ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรนีโอ-บาบิโลนในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล หลังจากที่ “พบเพียงส่วนยอดสุดของซิกกูแรต และไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบเดิมเป็นอย่างไร” พระองค์จึงสั่งบูรณะซิกกูแรตใหม่ โดยทำเป็นเจ็ดชั้น แทนที่จะเป็นสามชั้นอย่างเดิม
การขุดค้นและการอนุรักษ์
ซากของซิกกูแรตแห่งเออร์ถูกค้นพบอีกครั้งโดย **วิลเลียม ลอฟตัส (William Loftus)** ในปี ค.ศ. 1850 การขุดค้นครั้งแรกดำเนินการโดย **จอห์น จอร์จ เทย์เลอร์ (John George Taylor)** ในช่วงปี 1850 ซึ่งมีการระบุว่าเทย์เลอร์มักถูกเรียกผิดว่า “J. E. Taylor” การขุดค้นครั้งนี้ นำไปสู่การระบุว่า โบราณสถานดังกล่าวคือเมืองเออร์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการขุดค้นเพิ่มเติมโดย **เรจินัลด์ แคมป์เบลล์ ทอมป์สัน (Reginald Campbell Thompson)** และ **เฮนรี ฮอลล์ (Henry Hall)** ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1922–1934 มีการขุดค้นอย่างกว้างขวางโดย **เซอร์ ลีโอนาร์ด วูลลีย์ (Sir Leonard Woolley)** ภายใต้การแต่งตั้งของพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียและพิพิธภัณฑ์อังกฤษ
ซากของซิกกูแรตที่พบ อยู่ในรูปของโครงสร้าง ที่เป็นก้อนทึบสามชั้น ทำจากอิฐโคลนที่หุ้มด้วยอิฐเผา ซึ่งใช้บิทูเมน (ยางมะตอยธรรมชาติ) เป็นวัสดุยึด ชั้นล่างสุดเป็นโครงสร้างดั้งเดิม ที่สร้างในสมัยกษัตริย์เออร์-นัมมู ส่วนอีกสองชั้นบนเป็นส่วนที่บูรณะใหม่ในสมัยนีโอ-บาบิโลน
ความเสียหายจากสงคราม
ซิกกูแรต ที่ได้รับการบูรณะได้รับความเสียหายในช่วง **สงครามอ่าว (Gulf War)** ปี ค.ศ. 1991 จากกระสุนปืนขนาดเล็ก และแรงสั่นสะเทือนจากระเบิด มีหลุมระเบิด 4 แห่งอยู่ใกล้กับซาก และผนังของซิกกูแรตมีรอยกระสุนมากกว่า 400 รู
ภายหลังการขุดค้น
ภาพร่างของซิกกูแรตที่วิลเลียม ลอฟตัส สเก็ตช์ไว้ เมื่อค้นพบโบราณสถานนี้ ยังคงหลงเหลืออยู่ และ ณ ปี ค.ศ. 2008 พื้นที่แห่งนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของภัณฑารักษ์ชื่อ **Dief Mohssein Naiif al-Gizzy**












