นครรัฐพยู (ပျူ မြို့ပြ နိုင်ငံများ) กลุ่มรัฐนคร ที่มีอยู่ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 2
รัฐนครของชาวพยู (พม่า: ပျူ မြို့ပြ နိုင်ငံများ [pjù mjo̼.pjɑ̼ nàɪɴŋàɴ mjá]) เป็นกลุ่มของรัฐนครที่มีอยู่ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงกลางศตวรรษที่ 11 ในพื้นที่ตอนบนของประเทศเมียนมาในปัจจุบัน รัฐนครเหล่านี้ก่อตั้งขึ้นจากการอพยพลงใต้ของชาวพยู ซึ่งเป็นชนกลุ่มแรกที่พูดภาษาในตระกูลทิเบโต-พม่า และเป็นกลุ่มแรกที่มีบันทึกหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์ของพม่า ช่วงเวลานับพันปีของชาวพยูนี้ มักถูกเรียกว่า “สหัสวรรษแห่งพยู” ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างยุคสำริด กับการเริ่มต้นของยุครัฐโบราณแบบคลาสสิก ที่เริ่มต้นด้วยการเกิดขึ้นของอาณาจักรพุกาม ในปลายศตวรรษที่ 9
รัฐนครสำคัญของพยู ตั้งอยู่ในสามภูมิภาคชลประทานหลัก ของพม่าตอนบน ได้แก่ หุบเขาแม่น้ำมู ที่ราบเจาก์เซ และเขตมินบู ซึ่งอยู่บริเวณบรรจบของแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำจินด์วิน มีการขุดค้นพบเมืองที่มีกำแพงล้อม 5 เมืองหลัก ได้แก่ เบ็กธะโน เมงมอ บินนากะ ฮาลิน และศรีเกษตรา รวมถึงเมืองขนาดเล็กหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่น้ำอิรวดี ฮาลิน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดจนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 หรือ 8 จากนั้นศูนย์กลางของพยู จึงย้ายลงใต้ไปยังเมืองศรีเกษตรา (ใกล้เมืองพยีในปัจจุบัน) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฮาลินถึงสองเท่า และกลายเป็นเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอาณาจักรพยู ปัจจุบัน มีเพียงฮาลิน เบ็กธะโน และศรีเกษตราเท่านั้น ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก ส่วนเมืองอื่น ๆ อาจถูกเสนอชื่อเพิ่มเติมในอนาคต
ดินแดนของพยู ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าทางบกระหว่างจีนและอินเดีย วัฒนธรรมของพยู ได้รับอิทธิพลจากการค้ากับอินเดียอย่างมาก โดยรับพุทธศาสนาเข้ามา รวมถึงแนวคิดทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และการเมือง ซึ่งมีอิทธิพลต่อรูปแบบการปกครอง และวัฒนธรรมของพม่า ต่อมา ปฏิทินของพยูซึ่งอิงตามปฏิทินพุทธศาสนา ต่อมากลายเป็นปฏิทินพม่า อักษรพยู ที่ได้รับอิทธิพลจากอักษรพราหมี อาจเป็นต้นแบบของอักษรพม่า ที่ใช้เขียนภาษาพม่าในปัจจุบัน
อารยธรรม ที่มีอายุกว่าหนึ่งพันปีของชาวพยู ล่มสลายลงในศตวรรษที่ 9 จากการรุกรานซ้ำ ๆ ของอาณาจักรหนานเจ้า ชาวพม่า (บะหม่า) ได้ตั้งฐานทัพที่พุกามซึ่งตั้งอยู่บริเวณบรรจบของแม่น้ำอิรวดีและจินด์วิน ถึงแม้จะมีการตั้งถิ่นฐานของพยู หลงเหลืออยู่ในพม่าตอนบน อีกประมาณสามศตวรรษ แต่ในที่สุดชาวพยู ก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพุกาม ที่กำลังขยายตัว ภาษาเขียนของพยู ยังคงมีการใช้งานจนถึงปลายศตวรรษที่ 12 และภายในศตวรรษที่ 13 ชาวปยูก็ได้ผนวกรวมเข้ากับชาติพันธุ์พม่า เรื่องราวในตำนานและประวัติศาสตร์ของชาวพยู ก็ได้ถูกรวมเข้ากับเรื่องราวของชาวบะหม่าเช่นกัน
พื้นหลัง
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่มีจำกัด ชี้ให้เห็นว่ามีวัฒนธรรมยุคแรก ๆ ในพม่าตั้งแต่ประมาณ 11,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะในเขตแห้งแล้งตอนกลางของประเทศ ใกล้แม่น้ำอิรวดี ยุคหินของพม่าที่เรียกว่า “อัญญาธี” เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับยุคหินเก่าในยุโรป มีการค้นพบวัตถุโบราณยุคนีโอลิธิกในถ้ำสามแห่งใกล้เมืองตองจี บริเวณเชิงเขาชาน โดยมีอายุประมาณ 10,000–6,000 ปีก่อนคริสตกาล
ราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนในภูมิภาคนี้เริ่มหลอมทองแดงเป็นสำริด ปลูกข้าว และเลี้ยงไก่กับหมู ซึ่งนับเป็นกลุ่มแรกในโลกที่ทำเช่นนี้ได้ และในราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ก็เริ่มมีชุมชนที่รู้จักการใช้เหล็กเกิดขึ้นทางใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ในปัจจุบัน มีการขุดพบโลงศพประดับสำริดและแหล่งฝังศพที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผาเป็นจำนวนมาก หลักฐานทางโบราณคดีบริเวณหุบเขาแม่น้ำสะมอน ทางใต้ของมัณฑะเลย์บ่งชี้ว่า มีชุมชนที่ปลูกข้าว และมีการค้ากับจีน ระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตกาลถึง 200 ปีหลังคริสตกาล
ประมาณศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ชาวพยู ที่พูดภาษาทิเบโต-พม่า เริ่มเข้ามาในลุ่มน้ำอิรวดีจากมณฑลยูนนาน ผ่านแม่น้ำต้าเผิงและชเวลี บ้านเดิมของชาวพยูเชื่อว่า อยู่แถบทะเลสาบชิงไห่ ในมณฑลชิงไห่และกานซู ชาวพยู ได้ก่อตั้งชุมชนต่าง ๆ ทั่วบริเวณที่ราบ ใกล้จุดบรรจบของแม่น้ำอิรวดีและจินด์วิน ซึ่งมีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคหิน พื้นที่ของรัฐพยู มีรูปร่างยาวจากทิศเหนือจรดใต้ โดยมีศรีเกษตราอยู่ทางใต้ ฮาลินทางเหนือ บินนากะและเมงมอทางตะวันออก และอาจรวมถึงอายาดอว์เจียทางตะวันตก บันทึกของราชวงศ์ถังของจีนระบุว่า มีรัฐของพยูทั้งหมด 18 แห่ง ซึ่งในจำนวนนั้น 9 แห่ง เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อม และครอบคลุมพื้นที่ 298 อำเภอ
โบราณคดี
ชาวพยูเป็นกลุ่มคนแรก ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รับอักษรพราหมีมาใช้ และปรับให้เข้ากับภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ของตน โดยมีการคิดเครื่องหมายเสียงวรรณยุกต์ขึ้นเอง พวกเขาแสดงออกถึงความเป็นเมืองในหลายระดับ โดยมีพื้นที่ล้อมกำแพง ซึ่งบางด้านติดกับอ่างเก็บน้ำ หรือมีอ่างอยู่นอกกำแพง เมืองเบ็กธะโน ในหุบเขาแม่น้ำยิน เป็นที่ตั้งถิ่นฐานยาวนานของพยู ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มากกว่าเมืองศรีเกษตรา ในหุบเขาแม่น้ำนะวิน เพราะสามารถควบคุมน้ำ ด้วยระบบชลประทานได้ดี
ตามที่สตาร์การ์ดท์กล่าวในบทความ *“From the Iron Age to early cities at Srikestra and Beikthano, Myanmar”* ที่ตีพิมพ์ใน *Journal of Southeast Asian Studies* ได้ระบุว่า มีหลักฐานจารึกศิลาเป็นภาษาพยูจำนวนมาก ที่ศรีเกษตรา ฮาลิน ใกล้พินเล (หมิงมอ) และพุกาม สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานว่า มีผู้คนอาศัยอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3–6 หลักฐานทั้งหมดนี้ ได้รับการเสนอชื่อให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกยูเนสโก
ในบทความเดียวกัน ยังกล่าวถึงการสำรวจทางโบราณคดี ที่มีภาพถ่ายโบราณ ของพื้นที่ที่ขุดค้นแล้ว เช่น เนินฝังศพ 9 แห่งที่อยู่นอกกำแพงเมืองด้านใต้ อนุสรณ์พุทธศาสนาโบราณ รวมถึงกลุ่มโบราณสถานที่เมืองเบ็กธะโน และสุสานของพระราชินีพันธวาร์
จนถึงปัจจุบัน การสำรวจทางโบราณคดี ได้ค้นพบเมืองที่มีกำแพงล้อมจำนวน 12 เมือง รวมถึงเมืองขนาดใหญ่ 5 เมือง และแหล่งชุมชนขนาดเล็กอื่น ๆ ที่ไม่มีการป้องกัน ตั้งอยู่ในหรือใกล้พื้นที่ชลประทานที่สำคัญสามแห่งของพม่า ก่อนยุคอาณานิคม ได้แก่ หุบเขาแม่น้ำมูทางเหนือ ที่ราบเจาก์เซทางตอนกลาง และเขตมินบูทางใต้และตะวันตก ของสองพื้นที่แรก
รัฐนครพยู มีความร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนัน (กัมพูชา) และอาจรวมถึงจัมปา (เวียดนามใต้) ทวารวดี (ไทย) ตาพรลิงคาและตะกั่วป่า ใกล้คอคอดกระ และศรีวิชัย (สุมาตราตะวันออกเฉียงใต้) รัฐเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นแบบของการเกิดขึ้นของ “อาณาจักรคลาสสิก” แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในคริสต์สหัสวรรษที่สอง
อารยธรรมนี้ ดำรงอยู่อย่างยาวนานเกือบพันปี จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ก่อนที่กลุ่มนักรบม้าผู้ว่องไวจากทางเหนือที่เรียกว่า “เมรานม่า” (Mranma) หรือชาวพม่า จะเคลื่อนเข้ามาทางตอนบนของลุ่มแม่น้ำอิรวดี ผ่านการรุกรานหลายระลอก ชาวถังแห่งราชวงศ์ถังของจีน ได้บันทึกไว้ว่า อาณาจักรน่านเจ้า (Nanzhao) เริ่มการรุกรานพม่าตอนบนตั้งแต่ปี ค.ศ. 754 หรือ 760 โดยในปี ค.ศ. 763 กษัตริย์แห่งน่านเจ้าชื่อโก-โล-เฟิง (Ko-lo-feng) ได้ยึดครองลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนบนไว้ได้
การรุกรานของน่านเจ้าเริ่มรุนแรงมากขึ้น ในศตวรรษที่ 9 โดยมีการบุกในปี ค.ศ. 800–802 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 808–809 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 832 พวกนักรบจากน่านเจ้า ได้บุกเข้าไปในดินแดนของชาวพยู (Pyu) และจับเชลยพยูจากเมืองฮาลิน (Halin) ไปถึง 3,000 คน ตามบันทึกของจีน (ในปี ค.ศ. 835 เอกสารของจีนยังระบุว่า มีการบุกโจมตีรัฐหนึ่ง ซึ่งบางคนระบุว่าเป็นรัฐของชาวพยู แต่ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นเอกฉันท์)
อย่างไรก็ตาม การที่ชาวพยูถูกจับตัวไป 3,000 คน ไม่ได้หมายความว่าอารยธรรมของพวกเขาหายไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากขนาดของอาณาจักรพยู และจำนวนเมืองที่มีป้อมกำแพง บ่งชี้ถึงประชากรที่มีจำนวนมากกว่านั้นมาก อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานชัดเจนจากศรีเกษตรหรือแหล่งพยูอื่นๆ ที่บ่งบอกว่าถูกทำลายอย่างรุนแรง จึงมีความเป็นไปได้มากกว่า ที่การรุกรานเหล่านั้น ทำให้รัฐของพยูอ่อนแอลง และเปิดทางให้ชาวพม่าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาแทนที่
หลักฐานจากการหาอายุด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอน แสดงให้เห็นว่า มีกิจกรรมของมนุษย์ที่เมืองฮาลิน ซึ่งถูกโจมตีในปี ค.ศ. 832 จนถึงราวปี ค.ศ. 870 พงศาวดารพม่าระบุว่าชาวพม่าก่อตั้งเมืองปะกัน (หรือพุกาม) ที่มีป้อมปราการในปี ค.ศ. 849 แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่า กำแพงเมืองที่เก่าแก่ที่สุดน่า จะมีอายุประมาณปี ค.ศ. 980 ส่วนกำแพงเมืองหลักสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1020 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 24 ปี ก่อนที่พระเจ้าอโนรธาจะขึ้นครองราชย์ และก่อตั้งจักรวรรดิพุกาม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชาวพม่า ก็ได้เข้ายึดครองอำนาจของรัฐพยู ภายในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 และก่อตั้งจักรวรรดิพุกามในช่วงกลางศตวรรษที่ 11 ซึ่งเป็นการรวมลุ่มแม่น้ำอิรวดีและพื้นที่โดยรอบเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ชาวพยู ได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรมไว้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งผู้ปกครองชาวพม่าของอาณาจักรพุกามก็ ได้นำตำนานและประวัติศาสตร์ของชาวพยูมาสืบทอดต่อ พงศาวดารพม่าระบุว่ากษัตริย์แห่งพุกาม สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์แห่งศรีเกษตรและตะเกิงตั้งแต่ปี 850 ก่อนคริสตกาล ซึ่งนักวิชาการสมัยใหม่ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับข้อมูลดังกล่าว
ถิ่นฐานของชาวพยู ยังคงมีอยู่ในพม่าตอนบนอีกประมาณสามศตวรรษ แต่ในที่สุดชาวปยูก็ค่อยๆ ถูกดูดกลืนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพุกาม ภาษาแห่งชาวพยู ยังมีใช้อยู่ถึงปลายศตวรรษที่ 12 แต่ภายในศตวรรษที่ 13 ชาวพยู ได้ผสมกลมกลืนเข้ากับชาติพันธุ์พม่า และเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
รัฐนคร (City-states)
จากเมืองที่มีป้อมกำแพง 12 แห่งที่มีการขุดค้นพบจนถึงปัจจุบัน พบว่า 5 แห่งเป็นเมืองสำคัญที่สุดของรัฐปยู ได้แก่:
- **เบกธานู (Beikthano)**
ตั้งอยู่ในเขตที่ราบชลประทานมินบู (ใกล้กับเมืองตองดวินจีในปัจจุบัน) มีทางเข้าสู่ที่ราบชุ่มน้ำเกษตรกรรมเขตเจาก์เซโดยตรง เบกธานูเป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐพยู และเป็นเมืองที่มีการขุดค้นอย่างเป็นระบบ ซากสิ่งปลูกสร้าง เครื่องปั้นดินเผา โบราณวัตถุ และโครงกระดูกมนุษย์ที่ค้นพบมีอายุระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 100 ปีหลังคริสตกาล ชื่อเมืองตั้งตามพระวิษณุ เทพในศาสนาฮินดู และอาจเป็นเมืองหลวงแห่งแรก ที่มีความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมและการเมือง เมืองมีป้อมปราการรูปสี่เหลี่ยมขนาด 3 × 1 กิโลเมตร และกำแพงหนา 6 เมตร โดยผ่านการหาอายุได้ระหว่าง 180 ปีก่อนคริสตกาลถึง 610 หลังคริสตกาล ภายในเมืองมีทั้งพระราชวังเจดีย์ และอารามทางศาสนาพุทธ
- **เมืองไมง์มอว์ (Maingmaw)**
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "มองเมา" (ไม่ควรสับสนกับเมืองมองเมาในแคว้นอื่น) ตั้งอยู่ในเขตเจาก์เซ ลักษณะผังเมืองเป็นวงกลม ถูกกำหนดอายุคร่าวๆ อยู่ในช่วงพันปีก่อนคริสตกาล เมืองนี้บางครั้งเรียกชื่อว่าปินเล (Pinle) ตามชื่อหมู่บ้านใกล้แหล่งโบราณคดี และไม่ควรสับสนกับปินเลพยูทางตอนใต้ เมืองมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 กิโลเมตร พื้นที่ประมาณ 222 เฮกตาร์ มีกำแพง 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ชั้นในเป็นวงกลม ซึ่งสื่อถึงสัญลักษณ์จักรราศี แบบเดียวกับแนวคิดการสร้างเมืองมัณฑะเลย์ ในศตวรรษที่ 19 ตรงกลางเมืองมีเจดีย์นันทเวยะพญา (Nandawya Paya) สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่อาจสร้างบนซากวัดโบราณ การขุดค้นเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 1979 พบเหรียญเงิน เครื่องประดับ โถเผาศพ ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับสิ่งที่พบที่เบกธานูและบินนกะ
- **เมืองบินนกะ (Binnaka)**
ตั้งอยู่ในเขตเดียวกับไมง์มอว์ และมีลักษณะคล้ายคลึงกันในหลายด้าน อาคารอิฐมีผังคล้ายกับเมืองปยูอื่นๆ ขุดพบโบราณวัตถุยุคก่อนพุทธศาสนา เช่น สร้อยทอง เครื่องประดับหินล้ำค่า รูปสัตว์อย่างช้าง เต่า สิงโต เครื่องปั้นดินเผาแบบพยู แท็บเล็ตดินเผามีอักษรคล้ายอักษรพยู ลูกปัดออนิกซ์เจาะกรด และลูกปัดอำพัน/หยก เหรียญเงินเหมือนกับที่พบที่เบกธานู เครื่องพิมพ์สำหรับหล่อทองและเงิน กำไลทองกับชามเงินมีอักษรพยู โถเผาศพที่เหมือนกันกับของเบกธานู
ไมง์มอว์และบินนกะ อาจร่วมสมัยกับเบกธานู แม้ว่าพงศาวดารจะไม่กล่าวถึงเบกธานูเลย แต่กลับพูดถึงสองเมืองนี้ (แม้ไม่ระบุว่าเป็นเมืองของปยูโดยตรง) โดยเฉพาะบินนกะ ที่ถูกระบุว่า มีส่วนทำให้เมืองตะเกิง ซึ่งถือเป็นบ้านเดิมของชาวพูดภาษาพม่าต้องล่มสลาย จากบันทึกในแผ่นใบลานยุคคองบอง บินนกะยังคงมีคนอาศัยอยู่ถึงราวศตวรรษที่ 19
ฮาลิน (Halin)
ฮาลิน หรือ ฮาลินจี (ဟန်လင်းကြီး [həlɪ́ɰ̃dʑí]) ตั้งอยู่ในหุบเขามู (Mu valley) ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ชลประทานที่ใหญ่ที่สุดของพม่า ก่อนยุคอาณานิคม เป็นเมืองของชาวพยูที่อยู่เหนือสุด เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน หลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองคือประตูไม้ ซึ่งมีอายุจากการคาร์บอน-14 อยู่ที่ราวปี ค.ศ. 70
เมืองนี้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมโค้ง มีการสร้างกำแพงอิฐล้อมรอบ ความยาวกำแพงที่ขุดพบได้มีความยาวประมาณ 3.2 กิโลเมตรจากทิศเหนือจรดใต้ และ 1.6 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดของเมืองมีประมาณ 664 เฮกตาร์ ซึ่งใหญ่กว่าเมืองพยูบิศโสโนะ (Beikthano) เกือบสองเท่า เมืองมีประตูหลัก 4 ทิศ และประตูทั้งหมด 12 ประตู ตามสัญลักษณ์จักรราศี มีแม่น้ำหรือคลองไหลผ่านตัวเมือง และพบร่องรอยของคูเมืองล้อมรอบ ยกเว้นด้านทิศใต้ซึ่งเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องมีคูเมือง เพราะมีการกั้นน้ำสร้างอ่างเก็บน้ำไว้แล้ว
ผังเมืองนี้ มีอิทธิพลต่อการวางผังเมืองของเมืองพม่ายุคต่อมา รวมถึงเมืองสุโขทัยของไทย เช่น จำนวนประตูและผังเมืองแบบเดียวกัน ยังพบได้ในเมืองหลวงพม่าสำคัญเช่น พุกามในคริสต์ศตวรรษที่ 11 และมัณฑะเลย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โครงสร้างวัด ที่พบในเมืองฮาลิน ก็มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมวัดในพุกาม ยุคศตวรรษที่ 11–13 ด้วย
จากหลักฐานที่ขุดพบพบว่า ภาษาพยูที่ฮาลิน เป็นการเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนพยู โดยมีต้นกำเนิดจากอักษรพราหมียุคแรก (ยุคโมริยะและคุปตะ) อักษรจารึกที่เมืองศรีเกษตร ใช้รูปแบบของอักษรเดียวกัน ในระยะที่พัฒนามากขึ้น
เมืองฮาลิน เป็นที่รู้จัก ในฐานะศูนย์กลางการผลิตเกลือ ซึ่งเป็นสินค้ามีค่ามากในคริสต์ศตวรรษแรก ฮาลิน ถูกศรีเกษตรแทนที่ ในฐานะเมืองพยู ศูนย์กลางหลักราวคริสต์ศตวรรษที่ 7 จากบันทึกของจีน เมืองนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของพยู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อเกิดการรุกรานจากอาณาจักรน่านเจ้า โดยบันทึกของจีนระบุว่า เมืองถูกทำลายโดยนักรบน่านเจ้าในปี ค.ศ. 832 และมีประชากร 3,000 คนถูกจับตัวไป อย่างไรก็ตาม การตรวจคาร์บอน-14 ชี้ว่า มีร่องรอยของมนุษย์ในพื้นที่นี้ต่อไปจนถึงราวปี ค.ศ. 870
ศรีเกษตร (Sri Ksetra)
**ศรีเกษตร** หรือ **ทเยเข็ตตะยะ** (သရေခေတ္တရာ [θəjè kʰɪʔtəjà]; แปลว่า "ทุ่งแห่งโชค" หรือ "ทุ่งแห่งเกียรติยศ") ตั้งอยู่ห่างจากเมืองปะโค (Pyay) ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร ใกล้กับหมู่บ้านฮเมาซา (Hmawza) เมืองนี้ก่อตั้งระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 7 แต่การขุดค้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 2015 และ 2016 โดย Janice Stargardt ได้พบเศษภาชนะที่ประทับตราลวดลายพุทธศิลป์ ซึ่งมีอายุราวปี ค.ศ. 340 และพบการฝังศพแบบเผาศพตามวัฒนธรรมพยูราวปี ค.ศ. 270
เมืองศรีเกษตร น่าจะกลายเป็นศูนย์กลางหลักของอาณาจักรพยู แทนที่ฮาลิน ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 7 หรือ 8 และคงสถานะนี้ จนกระทั่งชาวเมรามมา (พม่า) เข้ามาในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมืองนี้เป็นที่ตั้งของราชวงศ์อย่างน้อย 2 ราชวงศ์ ได้แก่ ราชวงศ์วิกรม ซึ่งเป็นผู้เริ่มใช้ปฏิทินพยู (ต่อมาใช้เป็นปฏิทินพม่า) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 638 และราชวงศ์ที่สองโดยกษัตริย์ตุตตะบอง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 739
ศรีเกษตร เป็นเมืองพยูที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีการขุดค้น จนถึงปัจจุบัน (มีเพียงศรีเกษตรและบิศโสโนะที่ขุดค้นอย่างละเอียด) เมืองมีเส้นรอบวงกว่า 13 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 1,400 เฮกตาร์ กำแพงอิฐสูง 4.5 เมตร มีประตู 12 ประตู โดยมีเทวดายักษ์เฝ้าประตูแต่ละทิศ และมีเจดีย์ประจำมุมทั้งสี่
กลางเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวังซึ่งมีขนาด 518 × 343 เมตร ซึ่งสะท้อนแนวคิดของ "มณฑลจักรวาล" (mandala) และแผนภูมิดาว (zata) เช่นเดียวกับที่พบในเมือง Maingmaw ส่วนครึ่งเมืองทางใต้เป็นพื้นที่พระราชวัง วัด และบ้านเรือน ส่วนครึ่งเมืองทางเหนือเป็นนาข้าว พร้อมคูเมืองและกำแพงที่ออกแบบให้สามารถรับมือการล้อมโจมตีได้
ศรีเกษตร เป็นจุดศูนย์กลางทางการค้า เชื่อมระหว่างจีนและอินเดีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดี ไม่ไกลจากทะเล เนื่องจากยังไม่มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำในเวลานั้น เรือจากมหาสมุทรอินเดีย สามารถล่องขึ้นมาถึงเมืองนี้เพื่อค้าขายได้ วัฒนธรรมจากอินเดียจึงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง พบหลักฐานของพุทธศาสนาแบบเถรวาทในเมืองนี้มากที่สุด ในหมู่เมืองพยู
งานศิลป์ทางศาสนาในเมือง สะท้อนอิทธิพลจากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคต้น ต่อมาจากอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ และในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ก็มีอิทธิพลจากอาณาจักรน่านเจ้าเข้ามาด้วย บันทึกของจีนและการเดินทางของพระภิกษุจีนอย่างพระถังซำจั๋ง (Xuanzang) ในปี 648 และอี้จิง (Yijing) ในปี 675 ต่างกล่าวถึงศรีเกษตรว่า เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีบันทึกจากราชวงศ์ถังที่ระบุว่ามีทูตจากศรีเกษตรไปยังราชสำนักจีนในปี ค.ศ. 801
ตะก่อง (Tagaung)
**ตะก่อง** (တကောင်း [dəɡáʊɰ̃]) ตั้งอยู่ในเขตตะก่อง จังหวัดมัณฑะเลย์ (ห่างจากมัณฑะเลย์ประมาณ 200 กิโลเมตรไปทางเหนือ) เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดเล็ก แต่มีความสำคัญทางการเมืองของวัฒนธรรมพยู มีการค้นพบวัตถุโบราณของพยูรวมถึงโกศเผาศพ เครื่องปั้นดินเผาจากตะก่องมีลักษณะคล้ายกับของเมืองพยูอื่น ๆ ในด้านขนาดและการวางกลุ่ม แต่ก็มีความแตกต่างจากเมืองพยูตอนใต้ในหลายด้าน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงอิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่น หรือความแตกต่างของวัฒนธรรมพยูทางตอนเหนือ
ความสำคัญของตะก่อง มาจากการที่พงศาวดารพม่าระบุว่า เป็นบ้านเกิดของอาณาจักรพม่าแห่งแรก นอกจากเมืองบิศโสโนะและศรีเกษตรแล้ว เมืองพยูอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการขุดค้นอย่างละเอียด
พินเล (Pinle)
นครที่สาบสูญซึ่งเรียกว่า "พินเลพยู" (Pinle Pyu) หรือ "ปิ่นเล่พยู" (ပင်လယ်ပျူ [pɪ̀ɰ̃.lɛ̀ pjù]) แปลตามตัวว่า "พยูแห่งทะเล" ได้ถูกบันทึกไว้ว่า ตั้งอยู่ติดทะเล ต่างจากแหล่งพยูขนาดเล็กอื่น ๆ เมืองนี้เชื่อกันว่ามีขนาดใหญ่ และตั้งอยู่ทางท้ายน้ำของศรีเกษตร
นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า ซากโบราณสถานใกล้อิ่นกะปุ (Ingapu) ในเขตอิระวดี อาจเป็นสถานที่ตั้งของพินเลพยู นักประวัติศาสตร์ โฟน ตินจ์ จ่อ (Phone Tint Kyaw) ได้นำทีมศึกษาพื้นที่นี้ ในปี ค.ศ. 2009 และสรุปว่า ไซต์แห่งนี้ อาจเป็นแหล่งของชาวพยู โดยอ้างอิงจากการใช้ตัวอักษรพราหมี ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล และความคล้ายคลึงทางสถาปัตยกรรมกับแหล่งพยูอื่น ๆ โดยเฉพาะที่เมืองชเวดองในเขตพะโค ซึ่งอยู่เหนือลำน้ำอิรวดี โบราณสถานแห่งนี้ถูกสร้างอย่างสมมาตรบนสันเขา โดยออกแบบโดยเน้นองค์ประกอบอย่างสถูปและระบบน้ํา ด้วยขนาดและโครงสร้างทางสังคมในยุคพยู เมืองนี้น่าจะถูกสร้างโดยกษัตริย์ มิใช่เจ้านายศักดินา และเนื่องจากไม่มีการกล่าวถึงเมืองนี้ ในบันทึกยุคที่สี่ของอาณาจักรพุกาม จึงเป็นไปได้ว่า เมืองนี้ถูกทิ้งร้างไปนาน ก่อนศตวรรษที่ 11 อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์โบราณวัตถุที่ขุดพบในบริเวณนี้ โบราณวัตถุจากแหล่งใกล้เคียง ยังรวมถึงเครื่องมือยุคหินเก่า และรอยเท้าโบราณ ซึ่งบ่งชี้ว่า พื้นที่นี้อาจเก่าแก่กว่าแหล่งพยูอื่น ๆ
ถิ่นฐานขนาดเล็ก
ตามบันทึก *ประวัติศาสตร์ใหม่ราชวงศ์ถัง* ราชอาณาจักรมิ-เฉิน (Mi-ch'en) ได้ส่งคณะทูตไปยังจีนในปี ค.ศ. 805 และถูกโจมตีโดยหนานเจ้าในปี ค.ศ. 835
มีการค้นพบถิ่นฐานของชาวพยูจำนวนมาก ในเขตพม่าตอนบน โดยเฉพาะในตำบลมยินมู ใกล้ปากแม่น้ำมู หนึ่งในแหล่งที่โดดเด่นคือ หมู่บ้านอายาดอกเกย์ (Ayadawkye Ywa) ในหุบเขามู ทางตะวันตกของหะลิน ซึ่งอยู่ทางใต้ของแหล่งยุคสำริดที่เพิ่งค้นพบอีกแห่งคือเนียงกัน (Nyaunggan) ไกลลงมาทางใต้ในตำบลมยิงยัน ทางตะวันตกของเมืองเม็งมอว์ แหล่งวาติ (Wati หรือ Wa Tee) เป็นซากเมืองมีกำแพงล้อมรอบรูปวงกลม
นอกจากนี้ ยังมีถิ่นฐานของพยูในพม่าตอนล่าง ซึ่งอาจถูกละเลย หรือละเว้นจากบันทึกประวัติศาสตร์ ที่เน้นการรับรองสายเลือดของกษัตริย์พม่าตอนบน แหล่งซากะระ (Sagara หรือ Thagara) ในเมืองทวาย เป็นอีกแห่ง ที่เปรียบได้กับเมืองตะกอง การขุดค้นทางโบราณคดีในปี ค.ศ. 2001 พบโบราณวัตถุหลายชิ้น รวมถึงโกศดินเผาในนาข้าว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบริเวณที่มีกำแพงล้อมรอบ ใกล้กับซากะระ แหล่งมกติ (Mokti) ก็พบโบราณวัตถุในลักษณะคล้ายกัน สถูปในซากะระ และแผ่นจารึกถวาย ที่พบในมกติ มีลักษณะวัฒนธรรมแบบพยูอย่างชัดเจน แต่อีกหลายชิ้น แสดงให้เห็นถึงอิทธิพล ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย









