หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ทำไมคนกินหญ้าไม่ได้เหมือน วัว ควาย ทั้งที่กินผักชนิดใบได้หลายชนิด

เนื้อหาโดย รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมมนุษย์เราสามารถกินผักใบเขียวได้หลากหลายชนิด แต่กลับไม่สามารถกินหญ้าได้เหมือนวัวหรือควาย ทั้งที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นพืชประเภทเดียวกัน คำถามนี้ไม่เพียงสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเข้าใจพื้นฐานทางชีววิทยาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไมคนเรากินหญ้าไม่ได้เหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของโครงสร้างร่างกาย กระบวนการย่อยอาหาร และวิวัฒนาการที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์กินพืช เช่น วัวและควาย นอกจากนี้ เรายังจะสำรวจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์พยายามกินหญ้า และมีพืชตระกูลหญ้าหรือวัชพืชชนิดใดบ้างที่มนุษย์สามารถบริโภคได้

ความเข้าใจเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ตอบคำถามที่น่าสนใจ แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติและข้อจำกัดของร่างกายมนุษย์มากขึ้นอีกด้วย

มนุษย์กับสัตว์กินพืช มีความแตกต่างของระบบย่อยอาหาร

โครงสร้างฟันที่แตกต่างกัน

ฟันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของกระบวนการย่อยอาหาร และมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างมนุษย์กับสัตว์กินพืช โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้องอย่างวัวและควาย

สัตว์เคี้ยวเอื้องมีฟันกรามที่กว้าง แบน และแข็งแรง ออกแบบมาเพื่อบดพืชที่แข็งและหยาบอย่างหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟันของพวกมันมีผิวที่ขรุขระพิเศษช่วยในการบดเยื่อใยพืชที่แข็ง นอกจากนี้ ขากรรไกรของพวกมันยังสามารถเคลื่อนไหวในแนวข้าง (lateral movement) ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวแบบบดที่จำเป็นสำหรับการย่อยเยื่อใยพืชที่แข็ง

ในทางตรงกันข้าม มนุษย์มีฟันที่หลากหลายมากกว่า เหมาะกับการกินอาหารหลากหลายประเภท ฟันกรามของเราเล็กกว่าและไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการบดเยื่อใยหยาบเป็นเวลานาน ขากรรไกรของเราก็มีการเคลื่อนไหวในแนวข้างน้อยกว่า ทำให้การเคี้ยวอาหารเยื่อใยสูงเป็นเวลานานทำได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพ

การศึกษาในปี 2020 โดย Ungar และ Sponheimer ได้แสดงให้เห็นว่าฟันของมนุษย์มีการปรับตัวเพื่อบดอาหารที่อ่อนนุ่มและผ่านการปรุงแต่งแล้ว โดยเฉพาะหลังจากการค้นพบไฟและการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการเตรียมอาหารให้นุ่มขึ้น

ระบบทางเดินอาหารที่แตกต่างกัน

ความแตกต่างอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือโครงสร้างและความยาวของระบบทางเดินอาหาร

สัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัวและควาย มีระบบทางเดินอาหารที่ซับซ้อนประกอบด้วยกระเพาะอาหาร 4 ส่วน ได้แก่ กระเพาะรูเมน (rumen), กระเพาะรีติคิวลัม (reticulum), กระเพาะโอมาซัม (omasum) และกระเพาะอะโบมาซัม (abomasum) ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อย่อยเยื่อใยพืชที่แข็งและยากต่อการย่อย โดยเฉพาะเซลลูโลสซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผนังเซลล์พืช

มนุษย์มีระบบทางเดินอาหารแบบง่ายกว่ามาก ประกอบด้วยกระเพาะอาหารเพียงหนึ่งเดียวและลำไส้ที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ถึงแม้ว่าลำไส้ใหญ่ของเราจะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยเยื่อใยบ้าง แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่ามากและไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับระบบการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง

การศึกษาโดย Milton (1999) ได้เปรียบเทียบระบบทางเดินอาหารของมนุษย์กับสัตว์กินพืชอื่นๆ และพบว่าลำไส้ของมนุษย์มีความยาวประมาณ 8-10 เท่าของความยาวร่างกาย ในขณะที่สัตว์กินพืชอย่างแท้จริงมีความยาวของลำไส้ประมาณ 20-25 เท่าของความยาวร่างกาย ความแตกต่างนี้สะท้อนถึงความสามารถที่จำกัดของมนุษย์ในการย่อยอาหารที่มีเยื่อใยสูง

จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือความแตกต่างของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร

สัตว์เคี้ยวเอื้องมีความหลากหลายและปริมาณของจุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยเซลลูโลสมากกว่ามนุษย์มาก ในกระเพาะรูเมนของวัวและควายมีแบคทีเรีย โพรโตซัว และเชื้อราหลายพันล้านตัว ซึ่งสร้างเอนไซม์เซลลูเลสที่จำเป็นสำหรับการย่อยสลายเซลลูโลสเป็นน้ำตาลที่สามารถดูดซึมได้

การวิจัยโดย Hess และคณะ (2011) ได้วิเคราะห์จีโนมของจุลินทรีย์ในกระเพาะรูเมนและพบว่ามียีนมากกว่า 27,000 ยีนที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลส

มนุษย์มีจุลินทรีย์ในลำไส้ที่สามารถย่อยเยื่อใยได้บ้าง แต่มีจำนวนและความหลากหลายน้อยกว่ามาก และไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลสในปริมาณที่เพียงพอ ความแตกต่างนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถย่อยเซลลูโลสในหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าคนเราทานหญ้าจะเป็นยังไง?

การที่มนุษย์พยายามบริโภคหญ้าเหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้องจะนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพหลายประการ

อาการทางกายภาพทันที

มนุษย์ที่พยายามกินหญ้าจะประสบกับความยากลำบากในการเคี้ยวและกลืน เนื่องจากเยื่อใยที่แข็งและหยาบของหญ้า การเคี้ยวหญ้าเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการปวดกรามและล้า

นอกจากนี้ หญ้ายังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในปากและคอ เนื่องจากผิวที่หยาบและสารระคายเคืองที่อาจมีอยู่ในพืชบางชนิด เช่น ขนเล็กๆ บนใบหญ้าบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้

ปัญหาการย่อยอาหาร

เมื่อหญ้าเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ จะเกิดปัญหาเพิ่มเติม เนื่องจากเราไม่มีเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยเซลลูโลสอย่างมีประสิทธิภาพ หญ้าส่วนใหญ่จะผ่านระบบทางเดินอาหารโดยไม่ถูกย่อย ทำให้ได้รับสารอาหารน้อยมากหรือไม่ได้เลย

การวิจัยโดย Cummings และ Macfarlane (1991) แสดงให้เห็นว่าเยื่อใยที่ไม่ละลายน้ำในปริมาณมาก เช่น ที่พบในหญ้า สามารถทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ปวดท้อง และท้องเสียได้

การศึกษาที่ทำในปี 2018 โดย Makki และคณะ ยังระบุว่าการบริโภคเยื่อใยในปริมาณที่มากเกินไปสำหรับระบบทางเดินอาหารที่ไม่ได้ปรับตัว สามารถรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินบางชนิดได้

ผลกระทบระยะยาว

การพยายามใช้หญ้าเป็นแหล่งอาหารหลักสำหรับมนุษย์จะนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง เนื่องจากหญ้าผ่านระบบทางเดินอาหารของเราโดยไม่ถูกย่อย เราจึงไม่สามารถดึงแคลอรี่ โปรตีน หรือสารอาหารสำคัญอื่นๆ ออกมาได้

มนุษย์ที่พยายามอยู่รอดด้วยการกินหญ้าจะสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็ว พัฒนาภาวะขาดสารอาหารหลายชนิด และในที่สุดอาจเสียชีวิตหากไม่มีแหล่งอาหารอื่น

ในกรณีที่รุนแรง การบริโภคหญ้าบางชนิดที่มีสารพิษหรือสารประกอบที่เป็นอันตรายอาจนำไปสู่การเป็นพิษได้ ตัวอย่างเช่น หญ้าบางชนิดอาจสะสมไนเตรตหรือสารออกซาเลตที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้

ทำไมมนุษย์ถึงทานหญ้าเหมือน วัว, ควาย ไม่ได้?

วิวัฒนาการที่แตกต่างกัน

วิวัฒนาการเป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายความแตกต่างในความสามารถในการย่อยหญ้าระหว่างมนุษย์และสัตว์เคี้ยวเอื้อง

สัตว์เคี้ยวเอื้องได้วิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายล้านปีเพื่อเชี่ยวชาญในการย่อยพืชที่มีเยื่อใยสูง โดยเฉพาะหญ้า การวิจัยโดย Clauss และ Rössner (2014) ระบุว่าวัวสมัยใหม่มีบรรพบุรุษที่เริ่มกินหญ้าเป็นอาหารหลักเมื่อประมาณ 20 ล้านปีที่แล้ว ในช่วงนี้ ลักษณะทางกายภาพหลายอย่าง เช่น ฟันกราม ระบบทางเดินอาหาร และความสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหาร ได้รับการคัดเลือกทางธรรมชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารประเภทนี้

มนุษย์มีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันมาก การศึกษาโดย Wrangham (2009) เสนอว่าการค้นพบไฟและการปรุงอาหารมีบทบาทสำคัญในวิวัฒนาการของมนุษย์ การปรุงอาหารทำให้อาหารนุ่มขึ้น ย่อยง่ายขึ้น และมีพลังงานมากขึ้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาสมองขนาดใหญ่และลดความจำเป็นในการมีระบบทางเดินอาหารที่ซับซ้อนเหมือนสัตว์กินพืช

การศึกษาทางโภชนพันธุศาสตร์ (Nutrigenomics) แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีการปรับตัวทางพันธุกรรมต่ออาหารที่มีเนื้อสัตว์และพืชที่มีแป้งสูง แต่ไม่มีการปรับตัวที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการย่อยเซลลูโลสในปริมาณมาก


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ น้ำยาบ้วนปากใช้ได้บ่อยขนาดไหนดี ไม่ดี?

✪ 5 ประโยชน์ผงกล้วยดิบ ที่ช่วยได้มากกว่าลดกรดไหลย้อน


ความแตกต่างทางสรีรวิทยาของการย่อยเซลลูโลส

เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของผนังเซลล์พืชและเป็นส่วนสำคัญของหญ้า โครงสร้างทางเคมีของเซลลูโลสทำให้ยากต่อการย่อยสลาย เนื่องจากพันธะเบตา-1,4-ไกลโคซิดิก (β-1,4-glycosidic bonds) ที่เชื่อมต่อโมเลกุลกลูโคส

สัตว์เคี้ยวเอื้องได้พัฒนาความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันกับจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลสที่จำเป็นสำหรับการทำลายพันธะเหล่านี้ กระบวนการเคี้ยวเอื้องยังช่วยให้อาหารได้รับการบดและย่อยซ้ำหลายครั้ง เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยเยื่อใย

มนุษย์ไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลส และมีจุลินทรีย์ในลำไส้ที่สามารถย่อยเซลลูโลสได้น้อยกว่ามาก ดังนั้น เซลลูโลสส่วนใหญ่จึงผ่านระบบทางเดินอาหารของเราในรูปของเยื่อใยที่ไม่ย่อย ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ แต่ไม่ได้เป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญ

การวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Gut Microbes โดย Desai และคณะ (2016) แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์จะสามารถหมักเยื่อใยบางชนิดได้ แต่ประสิทธิภาพในการย่อยเซลลูโลสยังคงต่ำมากเมื่อเทียบกับสัตว์เคี้ยวเอื้อง

พลังงานและประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากอาหาร

อีกมุมมองหนึ่งคือประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน วัวและควายได้พัฒนากลยุทธ์ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในการดึงสารอาหารจากอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ เช่น หญ้า

การเคี้ยวเอื้องเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน แต่มีประสิทธิภาพสำหรับสัตว์เหล่านี้ พวกมันใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเคี้ยวและย่อยอาหารเพื่อให้ได้พลังงานที่จำเป็น

สำหรับมนุษย์ การพยายามอยู่รอดด้วยอาหารที่มีเยื่อใยสูงและพลังงานต่ำอย่างหญ้าจะไม่มีประสิทธิภาพทางพลังงาน สมองมนุษย์ใช้พลังงานประมาณ 20% ของการเผาผลาญพลังงานทั้งหมดของร่างกาย เมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งใช้พลังงานเพียง 2-8% สำหรับสมอง ความต้องการพลังงานที่สูงนี้หมายความว่าเราต้องการอาหารที่มีพลังงานสูงและย่อยง่าย ซึ่งหญ้าไม่สามารถให้ได้

ถ้าเราเอาหญ้ามาปรุงสุกทานได้ไหม?

การปรุงอาหารเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเข้าถึงสารอาหารในอาหารหลายชนิดได้มากขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราพยายามปรุงหญ้าให้สุก?

ผลของความร้อนต่อโครงสร้างเซลลูโลส

การปรุงอาหารด้วยความร้อนสามารถทำลายโครงสร้างเซลล์พืชและทำให้สารอาหารบางชนิดเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม เซลลูโลสทนต่อความร้อนได้อย่างมาก การศึกษาโดย Bjorck และคณะ (1994) พบว่าแม้แต่การปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูงและเป็นเวลานานก็ทำให้โครงสร้างเซลลูโลสเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

ในกรณีของหญ้า การปรุงอาหารอาจทำให้เนื้อเยื่อนุ่มลงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำลายพันธะเซลลูโลสที่ทำให้เรารับประทานได้ การทดลองในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าแม้แต่การต้มหญ้าเป็นเวลานานก็ไม่ทำให้เซลลูโลสสลายตัวเป็นน้ำตาลที่ย่อยได้อย่างมีนัยสำคัญ

การทดลองทางเคมี การปรุงอาหารที่ซับซ้อน

กระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การปฏิบัติด้วยกรดหรือด่าง สามารถทำลายโครงสร้างเซลลูโลสได้มากกว่า งานวิจัยในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพได้พัฒนาวิธีการปฏิบัติก่อนการย่อยสลายที่สามารถทำลายโครงสร้างเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลสเพื่อผลิตน้ำตาลที่หมักได้

อย่างไรก็ตาม กระบวนการเหล่านี้มักจะใช้สารเคมีที่รุนแรงและไม่เหมาะสำหรับการเตรียมอาหาร นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็ไม่ใช่อาหารที่ปลอดภัยหรือรับประทานได้ง่าย

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Agricultural and Food Chemistry โดย Sun และคณะ (2002) ระบุว่าแม้แต่การปฏิบัติทางเคมีที่รุนแรงก็ไม่สามารถทำให้เซลลูโลสจากหญ้าย่อยได้ง่ายสำหรับมนุษย์ในลักษณะที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

บทเรียนจากอาหารแบบดั้งเดิม

หลายวัฒนธรรมทั่วโลกได้ทดลองกับวัตถุดิบที่ย่อยยากมาเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น มันสำปะหลังดิบมีสารไซยาไนด์ที่เป็นพิษ แต่กระบวนการที่ซับซ้อนของการแช่น้ำ การขูด และการหมักสามารถทำให้มันปลอดภัยสำหรับการบริโภคได้

อย่างไรก็ตาม แม้แต่วัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในการทดลองกับอาหารจากพืชก็ไม่ได้พัฒนาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแปลงหญ้าทั่วไปให้เป็นอาหารมนุษย์ที่มีประโยชน์ ข้อเท็จจริงนี้บ่งชี้ถึงความท้าทายที่แท้จริงในการทำให้หญ้ารับประทานได้

ความจริงที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงที่เกิดความอดอยากและขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของผู้คนที่พยายามบริโภคเยื่อไม้หรือหญ้าที่ปรุงสุกแล้ว แต่ก็ยังคงประสบกับปัญหาทางโภชนาการอย่างรุนแรง เนื่องจากข้อจำกัดพื้นฐานของระบบทางเดินอาหารของมนุษย์

มีพืชตระกูลหญ้าหรือวัชพืช ชนิดไหนบ้างที่คนเราทานได้?

แม้ว่ามนุษย์จะไม่สามารถกินหญ้าทั่วไปได้ แต่มีพืชบางชนิดในวงศ์หญ้า (Poaceae) และพืชใบเขียวบางชนิดที่เราสามารถบริโภคได้ ส่วนใหญ่เนื่องจากมีส่วนที่เฉพาะที่มีเยื่อใยน้อยกว่าหรือมีโครงสร้างที่แตกต่างจากหญ้าทั่วไป

ธัญพืชในตระกูลหญ้า

ธัญพืชที่เรากินเป็นประจำ เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และข้าวบาร์เลย์ ล้วนเป็นสมาชิกของวงศ์หญ้า Poaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับหญ้าทั่วไป อย่างไรก็ตาม มนุษย์บริโภคเมล็ดหรือเมล็ดของพืชเหล่านี้ ไม่ใช่ส่วนใบหรือลำต้น

เมล็ดประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยได้ง่ายกว่าเซลลูโลสมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงสามารถรับสารอาหารจากอาหารจำพวกแป้งได้ แม้จะมาจากพืชตระกูลหญ้า

การศึกษาทางโบราณคดีและพันธุศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการเพาะปลูกธัญพืชเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติเกษตรกรรม การเลือกพันธุ์มีส่วนช่วยให้มนุษย์พัฒนาพืชตระกูลหญ้าที่มีเมล็ดขนาดใหญ่และมีแป้งมากขึ้น เหมาะสำหรับการบริโภคของมนุษย์

หน่อไม้และหน่ออื่นๆ

พืชตระกูลหญ้าบางชนิดสามารถกินได้ในรูปแบบของหน่อ ซึ่งเป็นส่วนของพืชที่ยังอ่อนและมีเยื่อใยน้อยกว่า

ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือหน่อไม้ ซึ่งเป็นหน่ออ่อนของไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสมาชิกของวงศ์หญ้า หน่อไม้เป็นอาหารหลักในอาหารเอเชีย และมักจะเก็บเกี่ยวเมื่อยังอ่อนก่อนที่จะพัฒนาเยื่อใยที่แข็งแกร่ง แม้ว่าหน่อไม้จะยังคงมีเยื่อใยค่อนข้างสูง แต่ก็มีโครงสร้างที่อ่อนนุ่มกว่าและมักจะปรุงสุกก่อนรับประทาน ซึ่งช่วยให้มนุษย์ย่อยได้ดีขึ้น

พืชตระกูลหญ้าอื่นๆ ที่เรากินในช่วงที่ยังอ่อน ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ซึ่งเก็บเกี่ยวก่อนที่เมล็ดจะแข็ง และต้นอ่อนของข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ซึ่งบางครั้งใช้ในน้ำผักและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

พืชป่าที่กินได้จากตระกูลหญ้าและอื่นๆ

นอกจากพืชที่ปลูกเป็นการค้าแล้ว ยังมีพืชป่าบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับหญ้าที่มนุษย์สามารถกินได้ในบางสภาพ:

  1. ธัญพืชป่า (Wild grains): เมล็ดของหญ้าป่าหลายชนิดเคยเป็นอาหารสำคัญสำหรับชนพื้นเมือง เช่น ข้าวป่า (Wild rice) ในอเมริกาเหนือ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับข้าวเอเชีย แต่เป็นหญ้าน้ำที่ให้เมล็ดที่กินได้
  2. ตอนปลายของหญ้า (Reed): ในบางวัฒนธรรม ตอนปลายอ่อนของต้น reed (Phragmites) สามารถกินได้หลังจากปอกเปลือกและปรุงสุก แม้ว่าจะไม่ใช่อาหารหลัก
  3. ต้นตะไคร้ (Lemongrass): เป็นสมาชิกของวงศ์หญ้าที่ใช้เป็นเครื่องเทศและสมุนไพรในอาหารเอเชีย ส่วนฐานของลำต้นที่มีกลิ่นหอมใช้ในการปรุงอาหาร แม้ว่าจะไม่กินทั้งใบเนื่องจากมีเยื่อใยสูงและแข็ง
  4. พืชใบเขียวป่า: พืชใบเขียวหลายชนิดที่ไม่ได้อยู่ในวงศ์หญ้ามีใบที่มนุษย์สามารถกินได้ เช่น แดนดิไลออน ผักโขม และเนตเทิล อย่างไรก็ตาม พืชเหล่านี้มีโครงสร้างใบที่แตกต่างจากหญ้า โดยมักจะมีเยื่อใยน้อยกว่าและมีโครงสร้างเซลล์ที่แตกต่างกัน

ข้อควรระวังเกี่ยวกับพืชกินได้

สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือไม่ใช่ทุกพืชที่ดูเหมือนหญ้าหรือเป็นวัชพืชจะกินได้ พืชบางชนิดอาจมีสารพิษหรือสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ การศึกษาด้านพิษวิทยาพืชโดย Stegelmeier และคณะ (1999) ระบุหญ้าและวัชพืชหลายชนิดที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง

นักพฤกษศาสตร์ที่เชี่ยวชาญหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการหาอาหารป่าควรทำการระบุพืชป่าก่อนที่จะพยายามบริโภค และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีประสบการณ์ก่อนที่จะบริโภคพืชป่าใดๆ

ความเข้าใจทางวิวัฒนาการเกี่ยวกับอาหารของมนุษย์

การพิจารณาว่าทำไมมนุษย์ไม่สามารถกินหญ้าได้นำไปสู่การมองภาพที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับอาหารของมนุษย์และวิวัฒนาการของเรา

ทางเลือกของมนุษย์ในวิวัฒนาการ

การวิจัยทางมานุษยวิทยาแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการให้เป็นผู้กินทั้งพืชและสัตว์ (omnivores) ที่ปรับตัวได้ ด้วยความสามารถในการรับประทานอาหารที่หลากหลาย ความสามารถในการปรับตัวนี้ช่วยให้บรรพบุรุษของเราอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

การศึกษาจาก Proceedings of the National Academy of Sciences โดย Ungar และ Sponheimer (2011) แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความยืดหยุ่นทางอาหาร ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารที่หลากหลายและความสามารถในการปรุงอาหาร แทนที่จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการย่อยอาหารประเภทเดียว เช่น หญ้า เหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้อง

นักวิจัยเชื่อว่าการปรับตัวเพื่อกินอาหารที่มีพลังงานสูงและย่อยง่าย (เช่น เนื้อสัตว์และพืชที่มีแป้ง) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองขนาดใหญ่ของมนุษย์ซึ่งใช้พลังงานมาก ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างที่สุดของสปีชีส์ของเรา

เทคโนโลยีอาหารและวัฒนธรรมของมนุษย์

ความไม่สามารถทางชีววิทยาของเราในการกินหญ้ายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีและวัฒนธรรมในวิวัฒนาการของมนุษย์ แทนที่จะปรับตัวทางร่างกายให้กินหญ้าหรืออาหารที่ย่อยยากอื่นๆ เราได้พัฒนาเครื่องมือและเทคนิคเพื่อเปลี่ยนอาหารให้เป็นรูปแบบที่เราสามารถกินได้

การค้นพบไฟและการพัฒนาเทคนิคการปรุงอาหารช่วยให้บรรพบุรุษของเราเข้าถึงสารอาหารในอาหารที่หลากหลายมากขึ้น ความก้าวหน้าในการทำฟาร์ม การเก็บรักษา และการแปรรูปอาหารยังคงช่วยขยายช่วงของสิ่งที่มนุษย์สามารถกินได้

อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการของเทคโนโลยีอาหารของเราก็ยังไม่สามารถเอาชนะข้อจำกัดพื้นฐานเกี่ยวกับความสามารถในการย่อยเซลลูโลสของเราได้ ข้อเท็จจริงนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงขอบเขตที่ร่างกายของเรายังคงจำกัดโดยประวัติศาสตร์ทางวิวัฒนาการของเรา แม้ว่าเราจะเป็นสปีชีส์ที่ปรับตัวได้อย่างน่าทึ่งก็ตาม

บทสรุป ประเด็นทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถกินหญ้าได้

การเจาะลึกคำถามที่ดูเหมือนจะง่ายว่าทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถกินหญ้าได้นำไปสู่การสำรวจที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีววิทยา วิวัฒนาการ และโภชนาการของมนุษย์

มนุษย์ไม่สามารถใช้หญ้าเป็นแหล่งอาหารเนื่องจากปัจจัยหลายประการ:

  1. โครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างกัน: ระบบทางเดินอาหารของเราไม่ได้ออกแบบมาเพื่อย่อยอาหารที่มีเยื่อใยสูงอย่างมีประสิทธิภาพ เรามีกระเพาะอาหารเดียวที่ง่ายกว่า (ไม่ใช่ระบบสี่กระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้อง) และลำไส้ที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับความยาวร่างกาย
  2. ข้อจำกัดทางชีวเคมี: เราไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลสที่จำเป็นสำหรับการย่อยเซลลูโลสซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผนังเซลล์พืชในหญ้า
  3. จุลินทรีย์ที่แตกต่างกัน: แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารของเรามีความหลากหลายและจำนวนของสายพันธุ์ที่สามารถย่อยเซลลูโลสน้อยกว่าสิ่งที่พบในสัตว์เคี้ยวเอื้อง
  4. ประวัติทางวิวัฒนาการ: วิวัฒนาการของมนุษย์ไม่ได้กดดันให้เราพัฒนาความสามารถในการย่อยหญ้า แต่แทนที่จะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับอาหารที่หลากหลายและการใช้เทคโนโลยี เช่น ไฟและเครื่องมือ เพื่อทำให้อาหารย่อยง่ายขึ้น

แม้ว่าการพัฒนาทางวิวัฒนาการจะทำให้มนุษย์ไม่สามารถกินหญ้าได้ แต่มันก็นำเราไปสู่เส้นทางที่แตกต่างกัน การพัฒนาสมองขนาดใหญ่ของเราและความสามารถทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อนได้รับการสนับสนุนจากอาหารที่มีพลังงานสูง การเพาะปลูกและวิธีการแปรรูปอาหารที่เราได้พัฒนาขึ้น รวมถึงการปลูกธัญพืชจากวงศ์หญ้า เช่น ข้าวสาลีและข้าว เป็นรากฐานของอารยธรรมมนุษย์

ในขณะที่เราอาจไม่สามารถกินหญ้าได้เหมือนวัวหรือควาย แต่ประวัติการปรับตัวของเราก็ให้ชุดความสามารถที่แตกต่างและอาจจะมีค่ามากกว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อจำกัดและความสามารถทางชีววิทยาของเราช่วยให้เราเห็นคุณค่าของระบบนิเวศที่หลากหลายซึ่งสัตว์ที่แตกต่างกันเติบโตในระบบนิเวศที่แตกต่างกัน แต่ละชนิดมีกลยุทธ์ทางวิวัฒนาการที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ทำไมวัวและควายสามารถอยู่ได้ด้วยการกินหญ้า แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้?

วัวและควายเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีระบบทางเดินอาหารพิเศษพร้อมกระเพาะอาหาร 4 ส่วน ออกแบบมาเพื่อย่อยเยื่อใยพืชที่แข็ง พวกมันมีจุลินทรีย์หลายพันล้านตัวที่ผลิตเอนไซม์เซลลูเลสซึ่งย่อยเซลลูโลสในหญ้า มนุษย์มีระบบทางเดินอาหารที่ง่ายกว่ามาก ไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลส และมีจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยเยื่อใยน้อยกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของเราจึงไม่สามารถแยกสารอาหารจากหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. เซลลูโลสในหญ้าคืออะไร และทำไมมนุษย์ถึงย่อยไม่ได้?

เซลลูโลสเป็นโพลิแซ็กคาไรด์ที่ประกอบด้วยหน่วยย่อยของกลูโคสที่เชื่อมต่อกันด้วยพันธะเบตา-1,4-ไกลโคซิดิก พันธะเหล่านี้แข็งแรงมากและต้องการเอนไซม์เฉพาะ (เซลลูเลส) ในการทำลาย มนุษย์ไม่สามารถผลิตเอนไซม์เซลลูเลสได้เอง และแบคทีเรียในลำไส้ของเราก็ไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณที่เพียงพอ เซลลูโลสจึงผ่านระบบทางเดินอาหารของเราโดยไม่ถูกย่อย ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารจากหญ้า

3. มีมนุษย์คนไหนเคยอยู่รอดด้วยการกินหญ้าหรือไม่?

ไม่มีหลักฐานทางมานุษยวิทยาหรือทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ว่ามนุษย์สามารถอยู่รอดได้ด้วยการกินหญ้าเป็นอาหารหลัก ในช่วงความอดอยากอย่างรุนแรง มีบันทึกว่าผู้คนพยายามกินหญ้าและวัสดุจากพืชอื่นๆ ที่ไม่ย่อย แต่ก็ยังคงประสบกับภาวะขาดสารอาหารรุนแรง การอยู่รอดในระยะยาวต้องการอาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ ซึ่งหญ้าไม่สามารถให้แก่มนุษย์ได้

4. เรากินพืชตระกูลหญ้าอะไรบ้าง?

เรากินพืชตระกูลหญ้าหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เป็นเมล็ดของพืชเหล่านั้น ไม่ใช่ส่วนใบหรือลำต้น ตัวอย่างเช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ ล้วนเป็นเมล็ดของพืชในวงศ์หญ้า (Poaceae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับหญ้าทั่วไป เมล็ดประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มนุษย์สามารถย่อยได้ง่าย ไม่เหมือนกับเซลลูโลสที่พบในใบและลำต้น

5. ถ้าเราบดหญ้าให้ละเอียดมากๆ เราจะสามารถกินได้หรือไม่?

การบดหญ้าให้ละเอียดอาจช่วยทำลายโครงสร้างเซลล์บางส่วน แต่ไม่ได้เปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมีพื้นฐาน เซลลูโลสยังคงเป็นเซลลูโลส ไม่ว่าจะบดละเอียดแค่ไหน และระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถย่อยมันได้ นอกจากนี้ การบดละเอียดอาจทำให้เข้าถึงสารบางอย่างที่อาจเป็นพิษหรือไม่พึงประสงค์ในหญ้าบางชนิดได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การบดละเอียดเพียงอย่างเดียวจึงไม่ทำให้หญ้าเป็นอาหารที่กินได้สำหรับมนุษย์

6. มีสารอาหารอะไรในหญ้าบ้าง?

หญ้ามีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นๆ รวมถึงวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด อย่างไรก็ตาม สารอาหารเหล่านี้ถูกกักอยู่ในโครงสร้างเซลล์ที่มนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ เราอาจได้รับสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่น้อยมากหากพยายามกินหญ้า และคุณค่าทางโภชนาการที่ได้รับไม่คุ้มค่ากับความยากลำบากในการเคี้ยวและกลืน และความเสี่ยงต่อปัญหาการย่อยอาหาร มนุษย์ได้รับสารอาหารเดียวกันนี้ได้ดีกว่าจากผักใบเขียวที่กินได้ ผลไม้ และอาหารอื่นๆ ที่เราสามารถย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

7. สัตว์อื่นๆ นอกจากสัตว์เคี้ยวเอื้องสามารถกินหญ้าได้หรือไม่?

สัตว์หลายชนิดนอกเหนือจากสัตว์เคี้ยวเอื้องสามารถกินและย่อยหญ้าได้ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ม้า ลา และสัตว์ตระกูลม้าอื่นๆ เป็นสัตว์กินพืชที่ไม่ใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง แต่สามารถย่อยหญ้าได้ผ่านกระบวนการหมักในลำไส้ใหญ่ กระต่ายและสัตว์ฟันแทะขนาดใหญ่บางชนิดสามารถกินหญ้าได้และได้สารอาหารบางส่วนจากมัน แม้ว่าพวกมันจะต้องกินอุจจาระของตัวเองบางส่วน (coprophagy) เพื่อให้ได้สารอาหารเพียงพอ นกบางชนิด เช่น ห่าน สามารถกินหญ้าได้เช่นกัน แต่มักจะกินเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่หลากหลายมากกว่า

8. น้ำคั้นจากหญ้า (Wheatgrass) ที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพแตกต่างจากการกินหญ้าทั่วไปอย่างไร?

น้ำคั้นจากหญ้าสาลีอ่อน (Wheatgrass juice) แตกต่างจากการกินหญ้าทั่วไปในหลายด้าน:

  1. อายุของพืช: Wheatgrass เก็บเกี่ยวเมื่อยังอ่อนมาก (7-10 วันหลังจากงอก) ในช่วงนี้ เยื่อใยยังไม่พัฒนาเต็มที่และมีปริมาณเซลลูโลสน้อยกว่าหญ้าที่โตเต็มที่
  2. กระบวนการแปรรูป: น้ำคั้นจากหญ้าสาลีอ่อนได้จากการบีบน้ำออกจากหญ้า ซึ่งช่วยแยกของเหลวที่มีสารอาหารออกจากเยื่อใยที่ย่อยไม่ได้ กากเยื่อใยถูกทิ้งไป และเราดื่มเฉพาะน้ำที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารพฤกษเคมีที่ละลายน้ำได้
  3. การเข้าถึงสารอาหาร: กระบวนการบีบน้ำช่วยทำลายผนังเซลล์และปล่อยสารอาหารที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งทำให้เข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องย่อยเยื่อใย

อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าแม้จะมีการอ้างสรรพคุณทางสุขภาพมากมายเกี่ยวกับน้ำคั้นจากหญ้าสาลีอ่อน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประโยชน์หลายอย่างยังมีจำกัด การศึกษาโดย Bar-Sela และคณะ (2007) พบว่าน้ำคั้นจากหญ้าสาลีอ่อนอาจมีประโยชน์บางประการ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

9. มีการทดลองให้มนุษย์กินหญ้าเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่?

แม้ว่าจะไม่มีการทดลองทางคลินิกที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดที่ให้อาสาสมัครกินหญ้าในปริมาณมาก เนื่องจากข้อกังวลทางจริยธรรมและความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่มีการศึกษาทางชีวเคมีและสรีรวิทยาหลายรายการที่ศึกษาความสามารถของมนุษย์ในการย่อยเซลลูโลสและเยื่อใยในอาหาร

การวิจัยของ Slavin (2013) เกี่ยวกับการบริโภคเยื่อใยในมนุษย์ได้ยืนยันว่าระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ไม่สามารถย่อยเซลลูโลสได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สามารถดึงพลังงานจากมันได้มากนัก ในการศึกษาโภชนาการและการวิจัยทางการแพทย์ ความรู้นี้ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั่วไป

นอกจากนี้ ยังมีรายงานทางประวัติศาสตร์และทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับผู้คนที่พยายามบริโภคหญ้าในช่วงการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความจำกัดในการย่อยอาหารของมนุษย์

10. มนุษย์จะสามารถพัฒนาความสามารถในการย่อยหญ้าในอนาคตหรือไม่?

จากมุมมองของวิวัฒนาการ การพัฒนาความสามารถในการย่อยเซลลูโลสอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพันธุกรรมที่สำคัญ ซึ่งจะต้องใช้เวลาหลายล้านปีของแรงกดดันในการคัดเลือกทางธรรมชาติ

นักวิทยาศาสตร์บางคนได้สำรวจเทคโนโลยีเช่นวิศวกรรมจุลินทรีย์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของมนุษย์ที่สามารถย่อยเซลลูโลสได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นไปได้หรือปลอดภัยในการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง

ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการแปรรูปอาหารยังคงพัฒนาวิธีการแยกสารอาหารจากพืชหลากหลายชนิด แต่แม้จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนหญ้าให้เป็นอาหารหลักของมนุษย์ก็ยังคงเป็นความท้าทาย และอาจไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการหรือเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับแหล่งอาหารอื่นๆ


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH

✪ หญ้าหวาน ทานเยอะเสี่ยงอะไรบ้าง?

✪ ไส้ติ่ง มีไว้ทำไม ความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับอวัยวะที่ไร้ประโยชน์นี้ของคุณอาจจะเปลี่ยนไป

✪ ผลไม้บ่มสุก ดีจริงเหมือนผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติหรือไม่?

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: ลูกสาวอบต, momon
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เกาะซาเบิล (Sable Island)สาวเขมรอวด "เป็นคนงานที่มีคุณภาพที่สุดในโลก" พอแล้วกับไทย ขอกลับไปทดแทนคุณแผ่นดินเขมร"อ.เฉลิมชัย" ฟาดแรง! "เกิดบนแผ่นดินไทยแต่ไม่รักชาติ"..มันเป็นพวกจัญไร ไร้ค่าอั๋น ภูวนาท คุนผลิน พิธีกรชื่อดัง สงสารนายก ไม่ทัน ฮุนเซนนายกมาเลเซียเป็นห่วงไทยและเขมร หลังไฟล์คลิปเสียงลับเป็นไวรัลทั่วโลกรู้จักที่มาของ'ซิจญีล'ชื่อขีปนาวุธสุดโหดของอิหร่าน!เจ้าของไร่หลั่งน้ำตา หลังชาวบ้านแห่ขโมยมันฝรั่งตำนานสามล้อถูกหวย ตำนานสอนใจที่ไม่ใช่แค่นิทาน“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ประกาศกลับมาลุยการเมืองเต็มตัว ในนามพรรครักประเทศไทย ลั่นพร้อมเป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชนวิเคราะห์คลิปเสียง วิกฤตการทูตสองราง และทางรอดของประเทศไทยหมอปลายทักแม่น! ดวงนายกฯ เจอศึกหนัก-ปัญหาใหญ่ถาโถม เสี่ยงเสียเงินก้อนโตเดือด! “บีม ศรัณยู” ลั่นกลางโซเชียล ไม่ทนแล้ว พร้อมลงถนน ไล่รัฐบาลชินวัตร
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"อ.เฉลิมชัย" ฟาดแรง! "เกิดบนแผ่นดินไทยแต่ไม่รักชาติ"..มันเป็นพวกจัญไร ไร้ค่าบอสณวัฒน์ ลั่น“ถ้าไม่ยุบสภาวันนี้ จะพานางงามในสังกัดทั้งหมดไปประท้วง”แฟนๆ One Piece คาดเดา เจ้าชายโลกิ อาจจะมาเป็นลูกเรือคนที่ 10 ของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ประกาศกลับมาลุยการเมืองเต็มตัว ในนามพรรครักประเทศไทย ลั่นพร้อมเป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชน😯 ลองเข้ามาดูภาพถ่ายของเรื่องบังเอิญในชีวิตจริงที่เจ๋งกว่าภาพที่แต่งด้วยโฟโต้ช็อป 😮
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
🧴 เตือนภัย! ใช้ขวดน้ำพลาสติกซ้ำ เสี่ยงสารตกค้างมากกว่าที่คิด 🧴รู้จักที่มาของ'ซิจญีล'ชื่อขีปนาวุธสุดโหดของอิหร่าน!ประวัติศาสตร์กัมพูชา "จากอาณาจักรขอมผู้ยิ่งใหญ่สู่การก้าวขึ้นสู่อำนาจของฮุนเซน"ทำไมเดือนมิถุนายนจึงเป็น Pride Month? เจาะลึกประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความหลากหลายทางเพศ
ตั้งกระทู้ใหม่