การข้ามชายแดนสองประเทศคนเดียว สื่อสารภาษาที่ยังไม่คุ้นเคย
การเดินทางท่องโลกกว้างเส้นทางใหม่ ไม่มีใครรู้ได้ทางข้างหน้า
ต้องก้าวเดินต่อไปด้วยศรัทธา พร้อมเชื่อว่ายังไงต้องถึงฝั่ง
การเดินทางครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหน เพราะมันคือครั้งแรกที่เราบินไปเพื่อทำงานแล้วจะต้องนั่งรถกลับมาเพื่อทำธุระในประเทศไทย ซึ่งในตอนแรกคิดว่าจะไม่กลับมาเพราะว่าตนเองนั้นเพิ่งจะเริ่มในการทำงาน แต่ด้วยหลายเหตุผลของคนอื่นจึงต้ดสินใจที่จะเดินทางกลับมา ด้วยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตของคนเรากว่าจะถึงความสำเร็จ
แน่นอนว่าการเดินทางในครั้งนี้มีความกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะว่เราไม่รู้จักทางและ ไม่สามารถที่จะศึกษาเส้นทางได้เหมือนการเดินทางในประเทศ ต้องเดินทางในตอนกลางคืนจะถึงฝั่งที่หมาย คือจุดข้ามประเทศในตอนเช้ามืด ตีเวลาอยู่ที่ประมาณแปดชั่วโมง เพราะในตอนนั้นนั่งรถแท็กซี่ ซึ่งตื่นเต้นตั้งแต่การติดต่อ เพราะว่าต้องคุยในภาษาที่เราเพิ่งจะเรียนรู้ได้ไม่ถึงเดือน พอเข้าใจอาจจะยังไม่มาก รถตกลงจะมารับเราในเวลาประมาณตีหนึ่งซึ่งตอนนั้นที่ฟังเข้าใจว่าเป็นอีกวัน การนับเวลาในประเทศเขาต่างจากเรา
ไม่เป็นไรคนขับรถโทรมาปลุกเราก่อนที่เขาจะมารับ บอกว่าอีกสามสิบนาทีจะมารับหน้าบ้านนะ ยังดีที่ตอนนั้นเรานั้นมีแม่บ้านคอยเปิดประตูให้ เขาคุยอะไรกันไม่อาจจะรู้ได้ เรายิ้มอย่างเดียวเตรียมนอน ตอนนั้นคือซื้อที่นั่งสองที่เพื่อที่จะได้นอนหลับได้สบาย ตามคำแนะนำของโฮส
คนรถเปิดประตูให้ เราถึงชายแดนเช้ามืด แต่คนรถดี เพราะว่าเขาส่งคนลงหมดแล้ว เขาปล่อยให้เรานอนบนรถจนสว่างจึงลงมาเปิดประตูให้เพราะว่าทุกคนลงจากรถหมดแล้ว มีเราคนเดียวที่เป็นคนไทย
ตื่นเช้าลงจากรถแล้วเดินมาในสภาพเช่นนี้ เรายังไม่เคยมาที่นี่ที่ไหน แล้วเราต้องเดินไปทางไหนดี ลองดูที่นี่เขาเรียกว่าปอยเปตชายแดนในฝั่งของกัมพูชา สิ่งที่กำไว้แน่นกลัวมันหายที่สุดตอนนี้คือพาสปอตหนังสือเล่มเดียวที่จะพาเราข้ามไป สังเกตดูเลยตรงไหนคนไปเยอะๆ เราเดินตามไป แต่ก่อนที่จะข้ามไปเรามาแลกเงินเปลี่ยนสกุลก่อนเพราะว่าจะต้องใช้ในการจ่ายค่ารถ เพราะว่าก่อนจะมาได้มีการบอกว่าให้แลกในชายแดนจะได้ราคาดีกว่า
หลังจากนั้นเดินตามไปเลยคนตรงไหนเยอะเดินไป พอไปถึงเข้าแถวรอเพื่อที่จะประทับตราออกจากประเทศกัมพูชา ตอนเช้าอย่างนี้คนเยอะเพราะว่า พากันข้ามไปทำงานในประเทศไทย ส่วนเราคนไทยคนเดียว จนคนตรวจถามเราว่าจะไปไหน พูดไทยได้ไม่เยอะ ส่วนเรายิ้มตื่นนอนใหม่ ยังไม่อยากคุยกับใครยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันยิ้มให้พอ
คนเยอะมาก ด่านนั้นเปิดหกโมงครึ่งคนยังแน่น เราไม่รีบยืนรอได้ มีคนมาขอบัตรของเราไปทำให้ บอกว่าไม่ได้คิดราคาเพิ่ม แต่เราบอกว่าไม่เป็นไรยืนรอได้ จริงๆ แล้วถ้าหากว่าเราให้เขาทำให้เราต้องจ่ายประมาณห้าดอลล่า ซึ่งแพงมากยืนรอไม่ถึงห้านาทีได้
พอเสร็จจากการประทับตราเดินทางต่อได้เลย ลากไปกระเป๋าที่แบกมา ไม่ต้องสนใจวินมอไซค์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังมาค่อยจะช่วยยกกระเป๋าอย่าไปสนใจอย่าไปมองเดินก้มหน้าก้มตาต่อไป
ในระยะทางกว่า เจ็ดร้อยเมตรเกือบหนึ่งกิโลเราจะได้พบปะกับคนที่คอยมาถามเราเยอะมาก บอกเลยว่าอย่าไปคุยดูป้ายไป ก่อนมาเราดูไว้ว่าต้องเดินเท้าไปไกลหน่อยแต่ถ้าต้องจ่ายคือยี่สิบบาทปืดเดียวถึง เดินออกกำลังกายไป
ถึงแล้วทางเข้าประเทศ ตามเขามา อย่ามาถามฉันไม่รู้มาครั้งแรก แต่ตอนนี้เริ่มเห็นภาษาไทยแล้ว บอกว่าหากว่าเป็นคนไทยให้เดินขึ้นด้านบน ค่อยโล่งใจหน่อยยิ้มเลยเพราะว่าเป็นคนไทย ไม่เยอะขึ้นไปด้านบนรอไม่นานก็ถึงที่ประทับตรา แต่หากว่าเดินลงไปด้านล่างเยอะมาก เราส่วนน้อยใช้เวลาไม่นานเดินออกตามเขาไป
ระหว่างทางจะเจอคาชิโนหลายที่ ตรงนี้จะเริ่มเจอคนไทยแล้วเพราะคนไทยจะเข้ามารอที่จะเตรียมวัดดวง เพราะว่าคาชิโนยังไม่เปิดเจอคุณยายคนหนึ่ง ที่มาแทบจะทุกอาทิตย์จนพาสปอตนั้นใกล้จะเต็มแล้ว บอกว่ามาเล่นแก้เบื่อลูกมาส่งที่ชายแดนฝั่งไทยตอนเช้า พอด่านเปิดก็ข้ามเข้ามา บอกเราว่าอาหารอร่อยนะลงไปทานได้เลย เลยบอกว่ากลับมาจะลองมาทานด้วยนะ
น่าจะเป็นครั้งแรกที่เห็นตัวหนังสือไทยแล้วยิ้ม เพราะว่าเราเดินมาไกลมากตอนนี้ยังไม่ได้ทานอะไรแต่ว่าไม่กล้าซื้อเพราะจะไปซื้อที่เซเว่นที่คิดถึง ไม่ได้เข้ามาจะครบเดือนแล้ว ขนมปังสักชิ้น บูโรน่าถุงหนึ่งอร่อยอยู่ได้ทั้งวัน
สภาพตอนที่ลงจากรถแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ รอให้ด่านเปิด กระเป๋าตอนนั้นนำมาเพียงใบเดียวเพราะคิดว่าหากเรานำไปเยอะอาจจะทำให้ลำบากในการเดินทาง เป็นเรื่องจริงดีนะที่อากาศไม่ร้อนยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว ลมพัดแรงมากหน้าปะทะแดดในตอนหกโมงกว่าๆ ตอนนี้เราไม่รู้จักใครและใครก็ไม่รู้จักเรา นั่งพักเอาแรงก่อนเดินทางต่อ
หลังจากที่เราข้ามมาแล้ว มาถึงรถตู้ที่จะพาเราไปต่อ เดินหารถว่ามีคันไหนบ้างจะไปโรงเกลือหรือไปโคราช เพื่อเราจะได้ต่อรถไปมหาสารคาม ซึ่งต้องเสี่ยงดวง เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะทันรถคันไหน รถคันนี้จะเดินทางไปนครนายก อีกคันจะไปกบิลบุรี แต่เราต้องการที่จะไปบุรีนรัมย์แล้วนั่งรถต่อไปอีก รถไม่ง้อผู้โดยสารของแท้ ถามเราจะไปไม่ไป สุดท้ายตกลงไป ไปต่อรถอีกสองต่อค่อยถึงที่หมาย
ในการเดินทางบางครั้งไม่มีใครตัดสินใจให้เรา และไม่สามารถที่จะคิดอะไรนาน สิ่งไหนที่รวดเร็วแล้วไม่ต้องรอควรตัดสินใจ ออกเดินทางไปตามเส้นทาง เราไปต่อรถที่กบิลเพราะจะมีรถไปสารคามแต่พอต่อจะต้องเป็นรถเขาเรียกว่า ป.1 ตอนนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกเราก็ต้องขึ้น ใช้เวลาทั้งวันกว่าที่เราจะเดินทางถึงที่หมายเรียกว่าเดินทางทั้งวัน
การมากับการกลับไม่เหมือนกัน รถที่จะพาเรามานั้นไม่มีในตอนที่เรากลับ เพราะว่าในหนึ่งวันรถจะวิ่งเพียงสองรอบ ถ้าไม่ทันก็ต้องหาทางใหม่ในการเดินทาง ซึ่งเราจะต้องถามคนที่ขายตั๋วว่าเราจะไปสถานที่แห่งนี้นะมีรถไหม ถ้าหากไม่มีแล้วมีรถคันไหนที่เราพอจะไปแล้วไปต่อรถในทางข้างหน้า สู้ชีวิตมากกับการเดินทาง ที่สำคัญอย่าท้อและอย่ากลัว เมื่อชีวิตต้องเดินหน้าต่อไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้เพราะว่าเราเกิดมาเพื่อที่จะแก้ปัญหาจนประสบความสำเร็จ ชนะตนเองไปอีกครั้ง
















