"โจ๊กเกอร์" ฆาตกรที่จะพาคุณเสียวซ่านและสั่นประสาท
ถ้าเอ่ยถึง "โจ๊กเกอร์" คงเป็นตัวตลกที่นำเสียงหัวเราะ ตลกขบขำมาให้กับคุณๆและเด็กๆ แต่คงไม่ใช่กับ "โจ๊กเกอร์" คนนี้ที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะปนความสยองขวัญแน่นอน
เขาคือใครกันน่ะ ? มีที่มาที่ไปยังไง ?
เขามีชื่อว่า "จอห์น เวย์น แกซี" (John Wayne Gacy) เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1942 ที่ชิคาโก เป็นลูกคนที่สองและเป็นลูกชายคนเดียวของ John Stanley Gacy พ่อเป็นช่างซ่อมรถยนต์และทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม่ชื่อ Marion Elaine Robison เป็นแม่บ้าน นับถือนิกายคาทอลิก อพยพมาจากโปแลนด์ไปยังสหรัฐอเมริกา
เขาเป็นคนที่ถ้าดูภายนอกแทบจะไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยด้วยซ้ำไป เพราะเพื่อนบ้านต่างก็ชื่นชมว่าเขาโอบอ้อมอารี พูดจาดี และเป็นคนกินจุ เป็นคนขยันสู้งานหนัก แม้เขาจะเป็นคนขี้โม้หรือชอบแต่งเรื่องขึ้นมาก็ตาม ทุกคนชื่นชมงานปาร์ตี้ที่เขาจัดเป็นธีมและขำกับชุดตัวตลกที่เขาชื่นชอบและใส่ ถึงแม้จะมีกลิ่นเหม็นอบอวลในบ้านเขา แต่คนที่มางานเลี้ยงก็ไม่มีใครเอ๊ะใจ และเขายังได้รับรางวัลดีเด่นเป็นบุคคลที่อุทิศตนเพื่อสังคม และเขาเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมายาวนาน
และเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 1978 เขาได้พบกับสตรีหมายเลขหนึ่งคือ "โรซาลีนน์ คาร์เตอร์" (Rosalynn Carter) ภริยาของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ เพื่อรับรางวัลบุคคคดีเด่นในสาขาต่างๆด้วย และยังได้เข้าร่วมขบวนพาเหรดที่ใหญ่ที่สุดของชิคาโก ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองการก่อเกิดประชาธิปไตยของชาวโปลเมื่อปี 1971 ที่จัดขึ้นทุกปี ภายในงานมีขบวนพาเหรดและการแสดงดนตรี
แต่ภริยา ปธน. สหรัฐฯ กลับไม่รู้ตัวเลยว่า..เธอกำลังยิ้มและได้จับมือถ่ายรูปคู่อยู่กับ "ฆาตกรโรคจิต" ที่สังหารเด็กหนุ่มๆไปถึง 33 คนทีเดียว
และแล้วการเปิดโปงความลับของเขาก็เริ่มขึ้น
หลังจาก 6 เดือนถัดมาตำรวจก็ตามไล่ล่าเขา เจ้าหน้าที่บุกค้นบ้านพักที่ชานเมืองชิคาโก พบกับเศษเนื้อที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า จึงทำให้บ้านอิฐสีแดงนั้นกลายเป็น "บ้านสยองขวัญ" ในทันที เจ้าหน้าที่ใช้เวลาตลอดสัปดาห์ในการขุดคุ้ยชิ้นส่วนและกระดูกศพเด็กหนุ่มและผู้ชายได้ถึง 29 ราย เขานำศพไปฝังไว้ทั่วบริเวณบ้าน กลบด้วยดินหรือไม่ก็โบกปูนทับ ทั้งห้องใต้ดิน โรงรถ ในสวน หรือแม้แต่ใต้ห้องนั่งเล่น จนแทบจะไม่มีพื้นที่เหลือให้ขุด ส่วนอีก 4 คน เขาก็นำไปทิ้งในแม่น้ำที่ไม่ไกลจากบ้าน
ข่าวของเขาดังและสะเทือนขวัญของคนทั้งชาติ ทุกคนก็ต่างตกใจและแคลงใจว่าไม่น่าเชื่อว่า...คนที่ดูภายนอกเอื้อเฟื้อมีน้ำใจและดูตลก จนได้รับรางวัลดีเด่น ชอบใส่ชุดตัวตลก "โปโก" จะกลายมาเป็นฆาตกรโรคจิตที่มีจิตใจโหดเหี่ยมอำมหิตซุกซ่อนอยู่ไปได้ เขาถูกตัดสินให้ประหารชีวิตเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 1980 เมื่อคดีเข้าสู่ศาล ขณะนั้นเขาอายุ 26 ปี และยอมรับสารภาพ ศาลจึงตัดสินโทษจำคุก 10 ปี
ด้านส่วนชีวิตคู่
แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของที่มีร้านเคนตักกี ฟรายด์ ชิกเกนอยู่หลายสาขา ต่อมาเขามีโอกาสเปิดร้านอาหารเป็นของตนเอง และเริ่มออกงานพบปะผู้คนตามคลับต่างๆ
ซึ่งในความจริงแล้วเคยมีสัญญาณบางอย่างบ่งชี้ตั้งแต่แรกๆ ว่าเขามักมีท่าทีไม่ปกติ มีความกระวนกระวายกับบางเรื่องตลอดเวลา ต้นปี 1968 เคยมีตำรวจมาหาเขาที่บ้าน หลังจากมีคนแจ้งว่าเขาขืนใจเด็กชาย ตำรวจขอค้นบ้าน และพบฟิล์มหนังโป๊จำนวนห้าม้วน ครั้งนั้นภรรยาของเขาตกใจมาก เธอรู้จักสามีว่าเป็นพ่อลูกสองที่ขี้เกรงใจ จนภรรยารับไม่ได้ต้องขอหย่าในทันที
ตอนถูกคุมขังในคุก เขาประพฤติตัวดีและเป็นแบบอย่าง ได้รับเลือกให้เป็นพ่อครัวในคุก ไม่เคยชกต่อยกับใครแม้จะมีนักโทษคนอื่นๆทำร้ายเขาก็ตาม ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากต้องขังไปเพียง 18 เดือน
พอออกมาจากคุกก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอิลลินอยส์ กลับสู่บ้านเกิดที่ชิคาโก ที่นั่นเขาทำงานสร้างชื่อเสียงจากการทำธุรกิจก่อสร้าง จากนั้นเขาก็มีภรรยาคนที่ 2 และพยายามทำตัวเป็นพลเมืองดี โดยเฉพาะกับการปรากฏตัวในฐานะ "ตัวตลกโปโก" ตามโรงพยาบาล หรืองานรื่นเริงของเมือง ไม่ช้าตัวตลกร่างอ้วนก็กลายเป็นขวัญใจของบรรดาเด็กๆ
แต่เวลาทะเลาะกับภรรยาที่บ้าน เขามักทุบทำลายข้าวของแยกห้องนอนกับภรรยา ไม่ยอมให้เธอเข้าออกทุกห้องของบ้าน ชอบซื้อหนังสือโป๊ที่มีภาพเปลือยของผู้ชายไว้ดู ไม่ช้าชีวิตคู่กับภรรยาคนที่ 2 ก็ล่มอีกรอบ และแล้วสันดาน "ฆาตกร" ของเขาก็เริ่มออกล่าเหยื่ออีกครั้ง
ส่วนวิธีการหลอกล่อเหยื่อน่ะเหรอ ?
เขาเรียกชื่อตัวเองใหม่ว่า "โปโก" หรือ "แจ็ค" โดยเขาจะหลอกล่อเหยื่อ เช่น เสนองานให้เด็กหนุ่มๆ ยื่นข้อเสนอให้มาพักค้างที่บ้านของเขา หาแอลกอฮอล์ไว้ต้อนรับ หากัญชาให้สูบ และเกลี้ยกล่อมเหยื่อให้มีเซ็กส์ ถ้าเหยื่อไม่ยอมไม่เป็นผลก็จะเล่นบทตัวตลก โดยการใช้กลวิธีสะเดาะกุญแจมือ แล้วให้เด็กหนุ่มทำตามจนไม่สามารถสะเดาะกุญแจมือออกมาได้ก็จะติดกับดักของเขา และข่มขืนเหยื่อ แสดงกลสุดท้ายให้ดู ด้วยเชือกที่ผูกปมไว้สามปม เขาคล้องที่คอเหยื่อ แล้วใช้ไม้สอดเข้าไปในปม ค่อยๆ หมุนเกลียวขึงให้แน่น จนกระทั่งเหยื่อของเขาสิ้นลม
จากการฆาตกรรมของเขาครั้งแรกในปี 1972 เขาก็ล่าเหยื่อถี่ขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็ฆ่าถึง 2 คนในคืนเดียวกัน โดยการขับรถตระเวนหาเหยื่อวัยรุ่นตามป้ายรถประจำทางตอนเวลากลางคืน อาสาจะพาไปส่ง และก็ใช้กำลังบังคับข่มขู่หรือให้ทำออรัลเซ็กส์ หรือบางครั้งก็แสดงตัวด้วยเครื่องหมายตำรวจปลอมเพื่อข่มขู่เหยื่อ
แม้ว่าเด็กหนุ่มหลายคนหายสาบสูญเพราะเคยทำงานให้เขา ตำรวจในชิคาโกก็ไม่เอ๊ะใจสงสัย แม้จะมาสอบถามเขาเกี่ยวกับคนงานที่หายไป โดยไม่เฉลียวใจพลิกดูประวัติของเขาว่าเคยมีคดีอะไรมาก่อน
แม้จะมีเหยื่อ ชื่อ "เจฟฟรีย์ ริงแนลล์" (Jeffrey Ringnall) ที่รอดพ้นจากน้ำมือเขาที่โปะยาสลบพลาดหนีมาได้ มาแจ้งเจ้าหน้าที่ ก็กลับไม่ได้รับการสืบหาคนร้ายแต่อย่างใด เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานช้า เด็กหนุ่มจึงสืบหาซะเอง จนไปพบรถยนต์เก่าคันสีดำที่เป็นยานพาหนะลักพาตัวเขาเข้า เขาแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยสืบต่อจนพบว่ามันเป็นรถของเขา แต่ทว่าตำรวจกลับไม่เชื่อเรื่องที่เด็กหนุ่มเล่าว่ามันเป็นความจริง
และแล้วก็มีวีรบุรุษนักสืบมาช่วยค้นหาฆาตกร
นั่นก็คือนักสืบจาก "ดีส เพลนส์" เมืองเล็กๆ ไม่ห่างจากชิคาโก เชื่อเรื่องนี้ เพราะมีเด็กหนุ่มวัย 15 ปีชื่อ โรเบิร์ต ไพสต์ (Robert Piest) พนักงานร้านขายยาแห่งหนึ่ง หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1978 ก่อนหน้านั้นเด็กหนุ่มบอกกับแม่ของเขาว่ามีนัดกับแกซี
จึงมีการสืบสวน และตรวจสอบประวัติอาชญากรรมก็พบว่า เจ้าของธุรกิจก่อสร้างเคยมีประวัติเรื่องนี้มาก่อน เขาจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในทันที
สุดท้ายวาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงจนได้
เมื่อเจ้าหน้าที่เฝ้าจับตาเขา และไปค้นบ้านพักของเขา ความมั่นใจของเขาที่เชื่อว่าจะรอดก็หมดไป เขายอมรับสารภาพว่าได้ลงมือฆ่าเหยื่อไปราวไ 30 คน ตามจุดต่างๆของบริเวณบ้าน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบยืนยันเหยื่อได้เพียง 24 ศพจากเหยื่อทั้งหมด 33 ศพเท่านั้น
ทนายฝ่ายจำเลยพยายามแสดงหลักฐานแก้ต่างว่า..เขามีสภาพจิตใจไม่สมประกอบ อ้างว่าพ่อของแกซีมีความจงเกลียดจงชังโฮโมเซ็กชวล และมักใช้กำลังทุบตีลูกชายของตนบ่อยครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ศาลก็ยังตัดสินโทษประหารชีวิตแกซีสถานเดียว
แต่กว่าจะถึงกำหนดประหารคำตัดสินของศาลก็ผ่านไปถึง 14 ปี จนเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 1994 เขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีฉีดสารพิษ แต่กว่าเขาจะตายก็ช้า เหตุเพราะท่อต่อเข้าเส้นเลือดอุดตันการประหารจึงใช้เวลานานถึง 18 นาที
จึงเป็นการปิดฉาก "ฆาตกรโรคจิต" ในคราบ "โจ๊กเกอร์" ตัวตลกที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาอย่างถาวร
ขอบคุณภาพ-เนื้อหา : กูลเกิล, เดอะโมเม้นต์ทั้ม