"Sada Abe" เพราะรักมากจึงเฉือน "องคชาต" เก็บเอาไว้
มันเป็น "ความรัก" ที่ออกจะโหดและนองเลือด สำหรับในยุคสังคมญี่ปุ่น ณ เวลานั้น (ค.ศ. 1930) เพราะถ้าในสายตาของใครหลายๆคนคงมองเธอว่าเป็น "หญิงชั่ว" ที่คงมีปัญหาทางจิตจากการเสพติดเซ็กส์ และไม่มีความละอาย
หรือมันเป็นสัญลักษณ์ของ "อิสรภาพ" ทางร่างกายที่เธอกล้ากันแน่ งั้นเรามาย้อนดูประวัติของเธอคนนี้กัน
ประวัติของซาดา อาเบะ
"ซาดา อาเบะ" (Sada Abe) เกิดเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 1905 ที่คันดะโตเกียวประเทศญี่ปุ่น เป็นลูกคนที่ 7 ของ "ชิเกะโยชิ" (Shigeyoshi) และ "คัตสึ อาเบะ" (Katsu Abe) ครอบครัวเธอนั้นแม้จัดว่ามีฐานะพอควร เพราะทำกิจการเป็นผู้ผลิต "เสื่อทาทามิ" ในคันดะ เธอเป็นน้องคนสุดท้อง โดยแม่ของเธอจะใส่ใจและตามใจเธอมากที่สุด และปล่อยให้เธอทำตามใจที่เธอต้องการ
เธอถูกข่มขืนตั้งแต่อายุ 14 ปี
จากการไปเล่นบ้านเพื่อน และในไม่ช้าเธอก็อยู่กับพวกกลุ่มวัยรุ่น และหนึ่งในนั้นที่เธอรู้จักก็ได้ข่มขืนเธออย่างรุนแรง จนทำให้เธอตกเลือดถึง 2 วัน ทางแม่ของเธอก็โมโหมากและคิดจะเอาเรื่องผู้ชายคนนั้น แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปและครอบครัวฝ่ายผู้ชายก็หนีหายไปด้วย
ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้ว
เธอคิดว่าตัวเองได้ถูกทำลายพรมจรรณ์ไปแล้ว ก็คงจะไม่มีชายใดมาเอาไปเป็นภรรยาแน่ๆ ใจเธอคิดแต่แบบนี้กับเรื่องราวที่เจ็บปวดที่เธอได้เจอมา จึงทำให้เธอเป็นสาวกร้านโลก รักสนุก เที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง และมักออกไปเที่ยวเฮฮา กับปล่อยเนื้อปล่อยตัวข้างนอกโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป จนคนในบ้านเริ่มเอือมระอา
ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนหญิงล้วน
พ่อกับแม่เลยคิดว่าควรส่งเธอไปเรียนโรงเรียนกินนอนประจำ เพื่อเรียนรู้มารยาททางสังคมชั้นสูง เพื่อให้เธอได้เรียนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็น "เจ้าสาว" แต่ด้วยความแสบซ่าส์ของเธอ เธอก็ไปขโมยข้าวของไม่ว่าจะของเด็กสาวคนอื่นๆ หรือของครูที่สอนในโรงเรียน เพื่อเอาไปขายและแอบออกไปเที่ยวกลางคืนทุกคืน จนทางโรงเรียนจับได้และก็ไล่เธอออก จนตำรวจนำมาส่งบ้านเลยทำให้พ่อแม่ถึงกับกุมขมับกับพฤติกรรมของเธอ พอได้มาอยู่บ้านงานนี้ก็เลยกินๆ นอนๆ ไม่ทำอะไรเลย
ครอบครัวล้มละลาย
จากฝีมือพี่ชายเธอที่โดน "ผีพนัน" เข้าสิง จนขโมยทรัพย์สินในบ้านไปขายเพื่อเล่นพนันจนหมด จนถูกทางบ่อนพาพวกมายึดขนไปเกลี้ยง จึงทำให้พ่อของเธอสิ้นเนื้อประดาตัว และเพื่อหนีการตามล่าจากมาเฟียในบ่อน พ่อก็เลยต้องพาทุกๆคนย้ายหนีไปอยู่จังหวัดซากาโดแทน
ถูกพ่อไล่ให้เป็นเป็น...
เพราะหลังจากมาอยู่ซาโกโดไม่นานเธอก็เริ่มมั่วผู้ชายในละแวกนั้น จนชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ไปไหนๆใครก็พูดว่าเธอเป็น "หญิงแพศยา" จนทำให้พ่อเธอโมโหมาก และก็ไล่ให้เธอออกจากบ้านและด่าเธอว่า...
"ถ้าชอบผู้ชายมากนัก แกก็ไปเป็น...ซ่ะจะได้จบๆไป"
ถูกส่งไปเรียนเป็น "เกอิชา"
พ่อก็เลยจัดแจงพาเธอไปเรียนเป็น "เกอิชา" (Geisha) แบบเต็มตัว จริงๆพ่อก็แค่อยากให้เธอได้เรียนรู้ศิลปะชั้นสูงเฉยๆ ในใจลึกๆก็ไม่ได้อยากให้เธอไปทำงานเป็นเกอิชาหรอก ก็เลยเรียกเธอกลับบ้านแต่เธอไม่ยอมกลับ เพราะเธอดันชอบอาชีพนี้ซะแล้ว
จากเกอิชาก็ไปเป็นเมียน้อย
พอพ่อแม่เสียชีวิตไปเธอเริ่มหันมาเป็นเกอิชาเต็มตัวในวัย 22 ปี เธอเดินทางจากโยโกฮาม่าไปเฮียวโกะและก็ไปโอซาก้า เริ่มมีชื่อเสียงเป็นเกอิชาชั้นสูง แต่ก็ไม่ยาวนานพอจนมีปัญหากับพวกมาเฟีย เธอก็เลยตกอับมาเป็นเกอิชาชั้นล่าง แถมติด "โรคซิฟิลิส" จากการหลับนอนกับผู้ชายทุกประเภท บางทีก็ขโมยเงินแขกหนีและติดหนี้จากการไปยืมเงิน ก็ทำให้ชีวิตเธอต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ
และถูกทางการตามจับเพราะเธอไม่มีใบอนุญาต เพราะทางการเข้มงวดกวาดล้างซ่องที่ไม่มีใบอนุญาต เธอก็เลยต้องหนีออกมาเป็นเด็กเสริฟตามร้านน้ำชาบ้าง ขายตัวบ้าง หรือไปเป็นเมียน้อยบ้าง ชีวิตเลยวนเวียนอยู่แบบนี้ไปหลายปี
พบรักแท้
ในปี ค.ศ. 1935 เธอได้มาโตเกียวและใช้นามแฝงว่า "ทานากะ คาโย" และมาเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านอาหารขายปลาไหลโยชิโซ จนได้พบกับเจ้าของร้านนามว่า "คิจิโซ อิชิดะ" ที่อายุ 42 ปี เขาเป็นคนที่มีภรรยาอยู่แล้ว เป็นคนโรแมนติกอบอุ่น และแถมเป็นคนที่มีตัณหาจัด เป็นคนสอนให้เธอรู้จักใช้ชีวิต จนสุดท้ายทั้งสองก็แอบมีความสัมพันธ์กัน และทำให้เธอตกหลุมรักเขาอย่างสุดหัวใจ
เซ็กส์ที่เร้าร้อนจนนำไปสู่การฆาตกรรม
ต่อมาทั้งสองก็แอบหนีไปโรงแรมแห่งหนึ่งและมีเซ็กส์กันทั้งวัน ทำให้เธอเริ่มมีความรัก, หึงหวงเขาตามมา หรือเวลาที่เขากลับไปพบภรรยา เธอก็มักมีอาการรู้สึกเหมือนอกหัก จนเธอแอบซื้อมีดเอาไว้และครั้งหนึ่งก็เอามีดมาไว้ที่อวัยวะเพศเขา และขู่เขาว่าจะตัดมันทิ้ง หากเขากลับไปหาภรรยาอีกครั้ง แต่มันกลับทำให้ฝ่ายชายหัวเราะ
และตอนที่มีเซ็กส์กันเธอก็เอาผ้ามารัดคอเขา แต่นั่นมันกลับทำให้เขาชอบและยิ่งมีความสุข จน 2 วันต่อมาเธอก็ใช้วิธีนี้อีกเพื่อสนองความต้องการให้คนรักอีก แต่ครั้งนี้เธอไม่หยุดจนเธอรัดคอเขาจนเสียชีวิตไป
ตอนแรกเธอก็ตกใจแต่พอเธอรู้ว่าเขาได้ตายแล้วจริงๆ..เธอรู้สึกสบายใจโล่งใจ ราวกับว่าภาระหนักได้ถูกยกออกจากบ่าของเธอแล้ว เธอนอนข้างศพของเขาอยู่นานและพูดว่า...
"ตอนที่เขาตายไปแล้ว ดูน่ารักจริงๆ" จากนั้นเธอก็เลียหน้าตาและตัวของเขาจนตัวเองถึงจุดสุดยอด
ภาพเครดิตจากเรื่อง In the Realm of the Senses (1976)
พอตื่นมาเธอลูบไล้ไปจนถึงอวัยวะเพศเขา เธอรู้สึกถึงความน่ารักของมันและจับๆ เล่นๆ อยู่พักนึง จนเธอรู้สึกทนไม่ไหวและไม่รู้จะทำยังไง เธอจึงตัดสินใจใช้มีด "ตัดองคชาต" ของเขาออกมาและก็ห่อด้วยกระดาษ และเอามีดสลักชื่อเธอกับเขาไว้ที่ต้นขาและแขน และทำความสะอาดบริเวณนั้น จากนั้นก็เอาผ้าปูที่เปื้อนเลือดมาคลุมร่างเขาเอาไว้ และเธอก็ถอดเสื้อผ้าเขาและเอากางเกงชั้นในของเขามาใส่
หลังจากจัดการกับศพแล้วเธอก็บอกกับพนักงานโรงแรมว่า..
"สามีฉันกำลังหลับอยู่ กรุณาอย่าไปรบกวน ฉันเพียงแต่จะออกไปซื้อของนิดหน่อยแล้วจะกลับเข้ามา" จากนั้นเธอก็หลบหนีหายไปเลย
เป็นข่าวใหญ่โตตามหน้าหนังสือพิมพ์
พอนานเกินไปแล้ว พนักงานก็รู้สึกแปลกใจก็เลยเข้าไปดูในห้อง สุดท้ายก็ต้องตกใจกับสภาพศพ และก็เลยรีบแจ้งตำรวจการตายของเขานั้นสยดสยองมาก ที่ศพถูก "ตัดอวัยวะเพศ" จนขาด จึงทำให้เป็นข่าวใหญ่โตครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ และได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก
รักมากจนต้องเอาอวัยวะเพศเขาติดตัวไปตลอด
ซึ่งระหว่างนั้นเธอก็ช็อปปิ้งในโตเกียวอย่างสบายๆ จนเธอถูกตามจับตัวได้ในวันที่ 20 พฤษภาคม ที่โรงแรมแห่งหนึ่งโดยใช้ชื่อปลอม และเขียนบันทึกและจดหมายลาตาย ซึ่งเธอวางแผนที่จะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดหน้าผา ในขณะเดียวกันตำรวจก็ออกตามจับเธอจนรู้ว่าเธอไปพักที่โรงแรมไหน เธอจึงถูกจับกุมและยื่นหลักฐานคือ..อวัยวะเพศของชายคนรักให้ตำรวจดู
ทำไม ? ต้องตัดอวัยวะเพศของเขาเก็บไว้
เธอก็บอกว่า....
"ฉันรักเขามากเกินไป ฉันต้องการเขาทั้งหมดเพื่อตัวเอง แต่เราไม่ใช่สามี-ภรรยาอย่างเป็นทางการ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ผู้หญิงคนอื่นก็จะโอบกอดเขาได้ ฉันรู้ว่าถ้าฉันฆ่าเขา ก็คงไม่มีผู้หญิงคนไหนแตะต้องเขาได้อีกเขาก็จะเป็นของฉันเท่านั้น และการที่เอามันติดตัวมาด้วยมันก็เหมือนฉันรู้สึกว่ามีเขาอยู่ข้างๆฉันตลอดเวลา"
เอาเสื้อผ้าและกางเกงชั้นในของเขามาใส่
"เพราะมันมีกลิ่นของเขาติดอยู่ ฉันไม่ใช่คนบ้า แต่สิ่งที่เราทำด้วยกันก็ไม่ได้วิปริต เพราะทุกคนมีรสนิยมทางเพศที่ต่างกัน และมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด ฉันไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขา แต่เขาตายโดยบังเอิญขณะที่เรามีเซ็กส์กัน"
ถูกศาลสั่งจำคุก
ซึ่งตอนเธอสารภาพเธอไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย ฝูงชนมารวมตัวกันและขอให้ประหารชีวิตเธอ แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินลงโทษจำคุก 6 ปี แต่ติดอยู่ 5 ปี ก็ได้รับการอภัยโทษในปี ค.ศ. 1941 พอออกจากคุกก็เปลี่ยนชื่อใหม่และได้แต่งงาน ในตอนแรกเธอพยายามไม่เปิดเผยตัวตน
แต่เนื่องจากคดีของเธอสังคมยังไม่มีวันลืม เธอจึงได้ให้สัมภาษณ์และมีหนังสืออัตชีวประวัติ และก็มีการนำเอาเรื่องอื้อฉาวของเธอมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง "A Woman Called Sada Abe" หรือจะ "In the Realm of the Senses (1976)" โดยสร้างขึ้นจากเรื่องราวจริงของเธอ
หลังปี ค.ศ. 1974 ก็ไม่มีข่าวคราวของเธออีกเลย บางคนก็บอกว่าเห็นเธอไปเป็นแม่ชี และบางคนก็บอกว่าเธอเข้ารับการรักษาในบ้านพักคนชรา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่แน่ชัดก็คือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เธอได้มอบช่อดอกไม้หน้าหลุมศพของชายคนรักในทุกๆปีในวันที่เขาเสียชีวิต จนกระทั้งปี ค.ศ. 1987 ก็ไม่เห็นมีดอกไม้ที่หน้าหลุมศพอีกแล้ว
ขอบคุณภาพจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์,
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ : In the Realm of the Senses (1976)