“Krum the Terrible” กับกะโหลกศีรษะผู้นำ "ไบแซนไทน์"
จะสยองแค่ไหนถ้าแก้วดื่มเหล้า, ไวน์ ของคุณทำมาจาก "กะโหลกศีรษะ" ของมนุษย์ ซึ่งในยุคจักรวรรดิโรมันในปลายสมัยโบราณและยุคกลาง นั้นมีหนึ่งกษัตริย์ที่หัวของตัวเองต้องมาเป็นแก้วเหล้าให้กับอีกกษัตริย์ บนโต๊ะอาหารนั่นเอง ถ้าใครชอบอ่านความรู้ทางประวัติศาสตร์ล่ะก้อ..งั้นก็เริ่มต้นเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
จุดเริ่มต้น
จริงๆในอดีตหลายชนชาติก็มีการนำเอากะโหลกศีรษะของศัตรูมาทำเป็นถ้วยหรือภาชนะใส่ของนะ ซึ่งหนึ่งในชนชาติที่นิยมทำก็คือ "ชาวบัลการ์" (Bulgars) เป็นชนเผ่าเร่ร่อนสืบเชื้อสายมาจากชาวเตอร์กิก อาศัยอยู่ใกล้กับทะเลแคสเปียน ก่อนจะย้ายมาบริเวณแม่น้ำดานูบและแถบชายฝั่งตะวันออกของทะเลดำ จนได้ก่อตั้งอาณาจักรบัลแกเรียแห่งแรกในศตวรรษที่ 7
ซึ่งในปี ค.ศ. 811 (พ.ศ. 1354) ได้มีจักรวรรดิอยู่ 2 จักรวรรดิที่มักจะต่อสู้กันมาโดยตลอด นั่นก็คือกองทัพของไบแซนไทน์กับกองทัพของบัลการ์" โดยผู้นำของไบแซนไทน์คือ "จักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1" (Nikephoros I)
ส่วนผู้นำของบัลการ์คือ "ครัม" (Krum The Fearsome) เป็นข่านแห่งบัลการ์ หรือมีฉายาว่า "ครัมผู้น่ากลัว" (Krum the Terrible, Krum the Dreadful และ Krum the Other-Words-That-Mean-Bad)
ประวัติของครัม
เขาเป็นข่านแห่งบัลการ์ในปี ค.ศ. 802 ผู้คุมม้าของบัลการ์แห่งศตรวรรษที่ 9 เป็นคนที่มีความสามารถในทางการรบ มีพ่อเป็นชาวบัลการ์และแม่เป็นชาวสลาฟ เขาขึ้นสู่อำนาจในยุโรปตะวันออกที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางที่สุดของยุคมืด เป็นพวกบ้าดีเดือดรักในการทำสงคราม
บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า เก่งกาจไม่แพ้ใครในการต่อสู้เดี่ยวๆ และเป็นคนไร้อารมณ์ขัน จะเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารม้า ออกไปปล้นสะดมจากทุกที่และจากคนที่เขาพบเจอ กองทัพของเขาส่วนใหญ่เป็นชาวบัลการ์, ชาวสลาฟ, ชาวธราเซียน และชาวมาซิโดเนียกับชาวเฮลเลไนซ์ ทั่วไป
ประวัตินิเคโฟรอสที่ 1
มาดูฝั่งไบแซนไทน์กันมั้งผู้นำคือ "จักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1" (Nikephoros I) ระหว่างปี ค.ศ. 802-811 เพราะหลังจากรับใช้ "จักรพรรดินีไอรีน" โดยทำหน้าที่คล้ายดูแลกระทรวงการเงินในการจัดเก็บภาษีรายได้ และเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ศาลสำหรับกรณีการเงิน
แต่ภายหลังเขาก็ได้ทรยศนาง แล้วขับไล่นางออกจากอำนาจ และเขาก็ยึดบัลลังก์ซะเอง ซึ่งปูมหลังของเขานั้นไม่ค่อยได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนมากนัก รู้แค่ว่าเขามีบทบาทสำคัญในแย่งชิงอำนาจมาจากจักรพรรดินีไอรีน โดยมีผู้สนับสนุนสมรู้ร่วมคิด และได้แต่งตั้งเขาให้เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 802
การรุกรานของครัม
ครัมนำกองกำลังของเขาออกรบ และรวบรวมหัวกะโหลกของผู้นำที่ถูกเขาสังหารมาเพื่อเป็นการสะสม หลังจากทำลายชนเผ่าสองสามเผ่าโดยเพลิงไฟ และแยกอวัยวะออกจากร่างศัตรู เขาได้ตั้งตนและสร้างอาณาจักรที่ทอดยาวจากบูดาเปรสต์ไปจนถึงยูเครน
จากนั้นก็สั่งให้คนของเขาขี่ลงใต้ไปยังดินแดนไบแซนไทน์ เพื่อทำลายทหารรับจ้างของไบแซนไทน์ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำสตรายมอน และปิดล้อมเมืองหลวงดั้งเดิมอย่างเทรซ (ซึ่งปัจจุบันคือโซเฟีย) ในปี ค.ศ. 809
ในฐานะนักรบอย่างเขา เขาไม่มีอุปกรณ์ในการยึดเมืองมากนัก แต่เขาสามารถโอบล้อมเมืองเพื่อทำให้ชาวเมืองอดอาหารได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีทางตีกำแพงเมืองและนำความตายเข้าไปสู่ภายในตัวเมืองได้อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่เขาก็ยื่นขอเสนอกับทางเมืองเทรซว่า...ถ้ายอมจำนนเมืองนี้ให้เขา เขาจะให้ความปลอดภัยและปล่อยให้ชาวเมืองออกไปอย่างมีชีวิต
สังหารชาวไบแซนไทน์
แต่เหมือนเป็นกลลวงพอชาวไบแซนไทน์ยอมรับข้อตกลง ทันที่ที่พวกเขาออกจากกำแพงเมือง ครัมก็สังหารหมู่ทหารไบแซนไทน์ทั้งหมด 6,000 คน และเข้าไปเผาเมืองจนราบเป็นหน้ากอง เป็นความรุนแรงและบ้าบิ่นมาก เขาปล้นสะดมและลงโทษโดยการหักข้อเท้าทั้งสองข้างของศัตรู และปฎิเสธโดยไม่ยอมให้อาหารกับชาวไบแซนไทน์
ความสัมพันธ์ในอดีต
ถ้าย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ก่อนที่สงครามจะลุกเป็นไฟจากครัม ชาวกรีกและชาวบัลการ์นั้นไม่แน่นอนกับ "มิตรภาพ" และ "ความเกลียดชัง" กัน โดยพื้นฐานของชาวบัลการ์นั้นเหมือนชนเผ่าที่ว่ามีน้ำใจ ที่ชาวไบแซนไทน์สามารถจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้
โดยมักถูกเรียกให้เข้าร่วมการต่อสู้จากการรุกรานของพวกตุรกี เพราะชาวกรีกมีทองคำ ส่วนชาวบัลการ์มีเหล็กกล้า ซึ่งก็โอเคที่จะเป็นเรื่องที่ดีในการทำการค้ากัน
การสู้รบระหว่าง 2 อาณาจักร
แต่จักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 ไม่ชอบความคิดของชนเผ่าบัลการ์ ที่มีความสุขกับการฆ่าเพื่อรวบรวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวภายใต้คำสั่งของครัม ที่ไม่ได้มีมิตรภาพความรักอะไรมากไปกว่าการแค่ได้อาบเลือดของศัตรูที่ถูกเขาทำลาย
จักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 จึงได้ตัดสินใจว่าเขาจำเป็นต้องเลิกเป็นมิตรกับฝ่ายครัม และต้องทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงรวบรวมกองกำลังไบแซนไทน์และพวกทหารรับจ้างต่างชาติจำนวนมาก เพื่อยกทัพเข้าสู่ดินแดนของครัม
ซึ่งครัมไม่คาดคิดว่ากองกำลังของจักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 แห่งไบแซนไทน์ จะบุกมาอย่างเต็มรูปแบบและทำการเผาเมือง ฆ่าประชาชนและเด็กเล็กจำนวนมาก จนครัมถูกขับไล่โดยเขาตระหนักดีว่าไม่มีที่ไหนเลยที่จะหนี กับการที่จะจัดการกับกองกำลังพลของตนเองได้ทัน เพื่อจะจัดการกองทัพไบแซนไทน์ได้
ครัมปลุกระดมชาวบัลการ์
ไบแซนไทน์ก็ไม่ได้ใจดีอะไรกับชาวบัลการ์ ก็ได้ทำการเผาเมือง และลากประชาชนชาวบัลการ์ไปตามถนนและสังหารทิ้ง วังส่วนตัวของครัมกับคลังสมบัติก็ถูกปล้น พอลงไปยังห้องใต้ดินของครัม พวกเขาก็พบกับขวดไวน์ที่หายากและมีราคาแพงที่สุดในโลกอีก
แต่ครัมไม่ยอมปล่อยให้ชาวไบแซนไทน์จะมาหนีลอยนวลกับสิ่งที่กระทำกับเมืองของเขาได้ เขาแกล้งยอมแพ้อย่างฉลาดเมื่อกองกำลังไบแซนไทน์มาครอบงำ
แต่แทนที่เขาจะหนีไปซะ เขากลับเข้าไปในดินแดนของเขา และออกคำสั่งให้ชายหญิงและรวบรวมสัตว์ที่แข็งแรง เพื่อปลุกระดมให้ทุกคนร่วมใจกับเขาในการสู้ เพื่อสอนให้พวกไบแซนไทน์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามายุ่งกับ "ครัมผู้น่ากลัว"
ครัมแอบซุ่มโจมตี
ครัมสร้างกองกำลังขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชาวบ้าน, ชาวนา และค่อยๆย่องแอบเคลื่อนไปรอบๆแนวเสาอย่างช้าๆอย่างรวดเร็ว และวางกับดักไว้บนช่องเขา ที่เชื่อมระหว่างดินแดนบัลการ์และดินแดนไบแซนไทน์
จนจักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 กำลังเดินทัพผ่านเสามาทางช่องที่ครัมวางกับดักไว้ โดยเขากำลังพึงพอใจกับชัยชนะที่ได้ลิ้มรสชาติของไวน์ ที่ปล้นมาจากครัม แต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงตะโกนจากภูเขาด้านบน
หน่วยสอดแนมของเขารีบรุดไปดู ก็พบว่าทางเข้าและทางออกถูกขวางไว้หมดแล้ว จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของการต่อสู้อย่างดุเดือด กองทัพครัมได้ควบม้าลงมาจากเนินเขาและตอกเสาที่ขึงไว้ทุกด้านด้วยเหล็ก และฟันกองทัพไบแซนไทน์อย่างบ้าคลั่งจนการเป็นการสังหารหมู่ที่โชกเลือดอย่างรวดเร็ว
จุดจบของจักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1
จักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 ถูกสังหารในสนามรบ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ปกครองไบแซนไทน์เพียงไม่กี่คนที่ต้องพินาศในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาสิ้นพระชนม์ และได้ถูกลากไปยังเต็นท์ของครัม ครัมจึงได้ตัดศีรษะของเขาทันทีและวางไว้บนปลายหอก
เขาเก็บศีรษะไว้เป็นเหมือนถ้วยรางวัลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ควักสมองออกมา ทำการต้มแล้วบุกะโหลกของจักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 ด้วยเงินและเพชรพลอย แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นถ้วยดื่มเหล้าไวน์แทน
และเมื่อใดที่นักการทูตจากไบแซนไทน์มาเจรจากับเขา ครัมจะบังคับให้พวกเขาดื่มไวน์จากกะโหลกของจักรพรรดินิเคโฟรอสที่ 1 แทน
ครัมได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 814 ด้วยอาการเลือดออกในสมอง ทำให้ผู้สืบทอดของเขาลงเอยด้วยการสร้างสันติภาพใหม่กับไบแซนไทน์ และจักรวรรดิบัลการ์ ก็ครองที่หนึ่งอยู่ต่อไปอีก 200 ปี จนในที่สุดก็ล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1014 ส่วนชาวบัลการ์ปัจจุบันก็คือ "ชาวบัลแกเรีย" นั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก : google, wikipedia