โรงภาพยนตร์แห่งแรกในประเทศไทย
โรงภาพยนตร์แห่งแรกในประเทศไทย
โรงภาพยนตร์เฉลิมไทย ถือเป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกของเมืองไทย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2445
โดยระยะแรกจะมีการฉายหนังทั่วๆ ไป ลักษณะม้วนเดียวจบเรื่อง ซึ่งเมื่อจบเรื่องจะมีไก่แจ้ขันขึ้นมาจากในจอ
นั่นถือเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท ปาเต๊ะแฟร์ ตราไก้แจ้ ผู้นำมาฉาย
ศาลาเฉลิมไทย เป็นอาคารที่ตั้งอยู่มุมถนนราชดำเนินกลางกับถนนมหาไชย
ก่อสร้างในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
มีความประสงค์ให้เป็นโรงละครแห่งชาติในเวลานั้น และมีรูปแบบของอาคารกลมกลืน
กับอาคารอื่นที่สร้างขึ้นริมถนนราชดำเนินกลางเดิมเป็นอาคารว่างเปล่าแล้วเป็นโกดังเก็บผ้าของทางราชการ
ต่อมาบริษัทศิลป์ไทย (ซึ่งมีนายพิสิฐ ตันสัจจา เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นด้วย)
ได้ขอเช่าพื้นที่ ริเริ่มปรับปรุงต่อเติมเป็นสถานบันเทิง ออกแบบและควบคุมโดย
อาจารย์ศิววงศ์ กุญชร ณ อยุธยา สถาปนิกชั้นนำของเมืองไทย ใช้งบประมาณถึง 1 ล้านบาท
เปิดดำเนินการเป็นสถานที่แสดงละครเวทีอาชีพระหว่าง พ.ศ. 2492 ถึง พ.ศ. 2496
จึงเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ทางศาลาเฉลิมไทยได้
จัดแสดงละครเวทีเรื่อง พันท้ายนรสิงห์ เป็นการอำลาอาลัยการปิดตัวถาวร
หลังจากนั้นจึงได้ขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ เครื่องฉาย รถขายไอศกรีม ลำโพง ตัวอักษรชื่อโรง
พร้อมกับการรื้อถอนทั้งหมด เพื่อสร้างเป็นลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์
ซึ่งทำให้เห็นโลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร ได้เต็มที่
ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นโรงมหรสพ ซึ่งผสมผสานความสง่างามแบบโรงละครในยุโรป
กับความหรูหราของศิลปะลวดลายไทยอันวิจิตร ทันสมัยยิ่งใหญ่ด้วยเวทีเลื่อนขึ้นลงได้ระบบไฮดรอลิค
เพียงแห่งเดียวของเมืองไทย สามารถจุผู้ชม 1,500 ที่นั่ง (ศาลาเฉลิมนคร 800 ที่นั่ง, ศาลาเฉลิมกรุง 600 ที่นั่ง)
ตั้งแต่ยุคละครเวที หลายเรื่องของคณะอัศวินการละครเป็นตำนานที่มีชื่อเสียง เช่น พันท้ายนรสิงห์ ,บ้านทรายทอง ฯลฯ
เมื่อเข้าสู่ยุคปรับเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2496 นอกจากตัวโรง
ยังได้จัดพื้นที่ซึ่งเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมร้านข้าวโพดคั่ว อย่างโรงหนังต่างประเทศ
และร้านไอศกรีมป๊อบ “ตราเป็ด” ที่ดังมากของยุค เป็นสัญลักษณ์มองเห็นแต่ไกล
ซึ่งต่อมาโรงภาพยนตร์มีชื่อว่า "โรงหนังหลวง" หรือ "พระราชโรงหนัง" ในภาษาไทย
เปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2453 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในกรุงเทพฯ
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์แห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการนำคนไทยเข้าสู่โลกแห่งภาพยนตร์ Royal Cinema
ฉายภาพยนตร์ทั้งต่างประเทศและภาพยนตร์ในท้องถิ่น
นับเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่ยั่งยืนของประเทศไทยกับภาพยนตร์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการจัดตั้งโรงภาพยนตร์และโรงละครเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งทั่วประเทศ
ซึ่งมีส่วนช่วยต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยและผลกระทบทางวัฒนธรรม
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เจริญรุ่งเรือง และโรงภาพยนตร์ก็มีภาพยนตร์ในประเทศและต่างประเทศมากมาย