5 ปัญหาที่คนทำธุรกิจยุคใหม่ต้องเจอ
ก่อนธุรกิจจะอยู่ตัวต้องเจอปัญหาสารพัด คนที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อนจะอยู่รอด และเติบโตมีหลายเรื่อง หลายปัญหา ที่คนทำธุรกิจต้องเจอในระหว่างทางรู้ไว้ก่อนจะได้เตรียมตัว เตรียมใจ เจอกับปัญหาเมื่อไหร่ เราก็จะสามารถรับมือและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกทางและมีสติ
- คู่แข่งแบบ One Night Stand
ปกติเวลาเราทำธุรกิจอะไรก็ตาม เราจะมีโครงสร้างต้นทุนที่ชัดเจน ต้องมีการลงทุน มีการเช่าพื้นที่ มีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าการตลาด แต่ปัจจุบันเราสามารถเริ่มต้นธุรกิจกันได้ง่ายมาก เพราะบางธุรกิจไม่ต้องมีค่าเช่าพื้นที่ เราอาจใช้ที่พักเป็นสถานที่ในการทำธุรกิจรูปแบบเดลิเวอรี
นั่นหมายความว่า เราจะประหยัดต้นทุนในเรื่องของค่าเช่าลงไปได้
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราซื้อของมา 50 บาท แล้วคิดเป็นต้นทุนที่ประมาณ 30-35% เราก็จะต้องขายในราคา 150 บาท เพราะเพื่อไปจ่ายต้นทุนอื่น ๆ ด้วย แต่บางคนซื้อของมา 60 บาท แพงกว่าเราเพราะ
ซื้อในปริมาณที่น้อย ใช้คอนโดของตัวเอง ใช้แรงตัวเอง ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียตัวเองในการขาย และทำเป็นอาชีพเสริมไปพร้อมๆ กับงานประจำ เลยคิดว่าต้นทุนมีแค่นั้น ฉะนั้น เขาตั้งราคาขายแค่ 100 บาทได้กำไร 40 บาท ต่อชิ้น ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
ซึ่งลูกค้าไม่ได้สนใจ ว่าต้นทุนของสินค้าในแต่ละเจ้ามีราคาที่เท่าไหร่ แต่สนใจราคาที่ต้องจ่าย บวกกับคุณภาพของสินค้า ว่าต้องควักเงินออกจากกระเป๋ามากหรือน้อย เพราะคงไม่มีใครอยากซื้อของเหมือนกันในราคาที่แพงกว่า แต่ระยะหนึ่งพอเริ่มขายสินค้าตัวนี้ไม่ได้ก็จะเปลี่ยนไปขายอย่างอื่น ในขณะที่เรายังมีต้นทุนหลัก มีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าร้าน ค่าพนักงานอยู่ เราจะเจอคนที่จะมาตัดราคาแบบนี้เสมอ ไม่ใช่คนทำธุรกิจด้วยกันอย่างเดียว อาจจะเป็นลูกค้านี่แหละ ที่ตั้งราคาถูกกว่าแล้วมาทำธุรกิจแข่งกับเราเอง
- ต้นทุนการตลาดที่เพิ่มขึ้น
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องให้ลูกค้าเห็นเราอยู่ตลอดเวลา บางครั้งการจ่ายเงินค่าการตลาดที่มากขึ้นก็เป็นเรื่องจำเป็นหรือการที่เราไปฝากชีวิตไว้กับโซเชียลมีเดีย ที่เจ้าของแพลตฟอร์มลดการมองเห็น (Reach) ลงไปเรื่อย ๆ ถ้าอยากให้ลูกค้าเห็นเราเหมือนเดิม ก็ต้องเพิ่มค่าการตลาดในช่องทางเดิมมากขึ้น หรือไปทำการตลาดในช่องทางอื่นเพิ่ม
จากแต่ก่อนมีแค่การทำการตลาดหน้าร้านและช่องทางผ่าน Facebook เท่านั้น ปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ๆ หลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น InstagramYouTube TikTok Clubhouse รวมไปถึง Threads ที่เป็นน้องใหม่ล่าสุด ไหนยังต้องมีรูปแบบการตลาดแบบ Affiliate Marketing คือการทำการตลาดแบบมีตัวแทนช่วยขายสินค้าหรือบริการ
เหล่านี้ทำให้ผู้ทำธุรกิจจะต้องกระโจนเข้าหา เพราะที่ไหนที่มีลูกค้าเราอยู่ นั่นก็คือที่ที่เราต้องเข้าไปมากที่สุด ซึ่งทุกอย่างก็มาพร้อมกับต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน และในบางธุรกิจต้นทุการตลาด อาจกลายเป็นต้นทุนหลักของตัวธุรกิจเลยด้วยซ้ำ
- อายุธุรกิจที่สั้นลงเรื่อย ๆ
ความเปลี่ยนไปของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก จนบางทีของที่เราเคยขายดีเมื่อ 6 เดือนที่แล้วปัจจุบันอาจจะขายไม่ได้เลย โอกาสที่เราจะทำธุรกิจแล้วขายสินค้าแบบเดิม ๆ ไปเรื่อยเป็นเวลาหลาย ๆ ปีก็อาจจะมีน้อยลง เราเลยจะเห็นหลายธุรกิจในช่วง 3-5 ปีมานี้
โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิดที่ตัดสินใจปิดตัวลง เนื่องจากปรับตัวเข้าสู่โลกยุคใหม่ไม่ได้ เพราะยังชินกับการขายสินค้าและบริการแบบเดิม ๆ
จึงมีการวางแผนธุรกิจกันปีต่อปี ไม่มีใครวาง 3 ปี 5 ปี แบบยาว ๆเพราะเทรนด์สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าเราไม่ปรับตัวโอกาสที่ธุรกิจเราจะปิดตัวลงจะเร็วมาก
- ธุรกิจคนกลางจะอยู่ยากมากขึ้น
ชื้อมาขายไปก็ไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม แต่ก่อนเวลาจะขายอะไรก็จะผ่านคนกลาง ผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มีตัวแทน นายหน้าต่าง ๆ เพราะใครที่คุมช่องทางการขายไว้ได้มาก ก็จะมีอำนาจการต่อรองมาก
ทำให้โลกยุคก่อนเป็นโลกของคนกลาง ใครที่เก่งผลิตก็ผลิตไป ใครที่มีเครือข่ายก็มีหน้าที่เป็นคนกลางไปกระจายต่อใครที่มีหน้าร้านก็ไปรับมาขาย รายได้และกำไรก็แบ่งกันเป็นทอด ๆ
แต่จากการพัฒนาของเทคโนโลยี โซเชียลมีเดีย และการขนส่งที่รวดเร็วมากขึ้นในยุคนี้ โรงงานสามารถออกมาขายของเอง ผู้ผลิตสามารถเปิดร้านในแพลตฟอร์ม E-commerce หรือเปิดเพจแล้วยิงแอดขายลูกค้าเองโดยตรง จึงไม่จําเป็นต้องผ่านคนกลางอีกต่อไป ลูกค้าก็รู้สึกว่าการซื้อตรงจากผู้ผลิตมีความน่าเชื่อถือกว่า รวดเร็วกว่า ได้ราคาถูกกว่า จึงทำให้ความสำคัญของตัวกลางเริ่มถูกลดบทบาทลงไปเรื่อยๆทำให้คนที่เป็นตัวกลาง หรือพ่อค้าคนกลาง ต้องมีการเพิ่มมูลค่าหรือบริการบางอย่างเข้าไปในสิ่งที่ผู้ผลิตไม่สามารถให้ได้ เพราะถ้าคนกลางไม่มีคุณค่าอะไรพิเศษที่มอบให้กับลูกค้า ลูกค้าก็ไม่จำเป็นจะต้องซื้อของผ่านคนกลางอีกต่อไป
- ใครที่ไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์จะอยู่ยากมากขึ้น ต่อให้เราจะเป็นร้านที่ดีที่อร่อยแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จักตะโกนออกไปให้ลูกค้าได้ยิน เพราะคิดว่าของเราดีไม่จำเป็นต้องตะโกน แต่ร้านข้างๆที่เขาอาจไม่ได้ดีเท่าเรา เขาพยายามตะโกนตลอดเวลา พยายามปรับรูปแบบการสื่อสารให้คนหันมาฟังมากขึ้น ช่วงแรกอาจมีลูกค้าไม่มากที่ตัดสินใจมาลอง แต่ก็มีโอกาสที่เขาจะได้ลูกค้าของเราไปเป็นลูกค้าประจำด้วยเช่นกันการมีตัวตนในโลกออนไลน์ คือ ให้ลูกค้าเห็นเราตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าเห็นภาพเรา จำภาพเรา และไม่ลืมเรา ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Facebook, IG, TikTok เราต้องรู้จักกลุ่มลูกค้าของเรา ต้องรู้จักช่องทางในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แล้วทำให้ลูกค้ามองเห็นเราตลอดเวลา
เราอยู่ในโลกของการสร้างตัวตน และการมีตัวตนในโลกออนไลน์ เราอยู่ในยุคของโชเชียลมีเดีย ใครที่ไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์แล้วมาทำธุรกิจ หรือทำธุรกิจที่ไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเติบโตได้เลย

















