นิทานอาเซียน ประเทศสิงคโปร์ เรื่อง บาดังผู้ทรงพลัง
ครั้งหนึ่ง ในอาณาจักรยะโฮร์ มีทาสชายคนหนึ่งชื่อ บาดัง ทุกวัน บาดังต้องออกไปทำงานหนักที่ในป่า เพื่อปรับพื้นดินให้แก่นาย โดยตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ๆ ขุดรากถอนโคนออก ยามว่าง ก็วางไซดักปลาในแม่น้ำใกล้ๆ
วันหนึ่ง บาดังผิดหวัง เพราะไม่มีปลาในไซเลย แต่พอเขาก้มลงดูใกล้ๆ ก็เห็นเกล็ดปลาและก้างปลาอยู่ก้นไซ ต้องมีปลาเข้าแน่ๆ แต่จะต้องมีใครมากินมันหมด วันแล้ววันเล่า ที่บาดังเฝ้าวางไซดักปลา แล้วเหตุอย่างเดียวกันก็เกิดขึ้นทุกที คือในไซไม่มีปลา มีแต่เกล็ดและก้างทิ้งไว้ บาดังจึงเอ่ยขึ้น
“เห็นทีจะต้องค้นหาให้รู้ว่า ใครขโมยปลาของเราไป” ดังนั้น วันหนึ่งเมื่อเขาวางไซแล้ว ก็ไปซ่อนตัวอยู่ในกอกกต้นสูงๆ ริมแม่น้ำ คอยทีอยู่ น้ำเย็นเยือกยิ่งขึ้น แต่บาดัง ก็ยังทนยืนไม่ยอมเคลื่อนที่ไปไหน เขาคอยอยู่เป็นเวลานาน เฝ้ามองดูปลาซึ่งติดไซ พยายามแหวกว่ายน้ำหนี
แล้วในที่สุด บาดัง ก็แลเห็นใครคนหนึ่ง แอบย่องมาที่ไซของเขา มันเป็นอสุรกาย นัยน์ตาแดงก่ำ ผมดกหนา ยุ่งเหยิง เครายาวลงมาถึงเอว พออสูรตนนั้นจะลงมือกินปลา บาดังก็กระโจนพรวดถึงตัวมัน
“แกนั่นเอง ขโมยปลาของข้าไป”
บางดังร้องตวาด ฉวยเคราไอ้เจ้าตัวนั่นไว้ มันพยายามจะออกวิ่งหนี แต่บาดัง ก็รั้งเครามันเอาไว้แน่น มันร้องวิงวอน
“อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าเลย ถ้านายปล่อยให้ข้ารอดขีวิต ข้าจะให้สิ่งที่นายปรารถนา ทรัพย์สิน อำนาจ กำลังกาย ล่องหนหายตัว หรือจะเอาอะไรก็ได้ ขออย่างเดียว โปรดอย่าทำร้ายข้าเลย”
บาดังคิดอย่างรวดเร็ว ถ้าเขาขอทรัพย์สิน นายของเขาต้องเอาไปหมด สิ่งที่เขาอยากได้คือ กำลังกาย ถ้าเขามีกำลังกายแข็งแรง จะได้ใช้มันถอนต้นไม้ฮึ่ดเดียว ให้หลุดออกทั้งรากทั้งโคน แล้วเขาจะได้ถากถางพื้นที่ได้เสร็จ ในเวลาไม่นาน บาดังจึงบอกแก่มันว่า
“ข้าอยากได้กำลังกายให้แข็งแรง พอที่จะถอนต้นไม้ใหญ่ที่สุด ได้ด้วยมือข้างเดียว”
“ข้ายอมให้ตามความปรารถนาของนาย” อสูรกล่าว “ทีนี้ปล่อยข้าไปเถิด”
แต่บาดัง ยังไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ จนกว่าจะได้ทดลองกำลังของเขาดูแล้ว บาดัง ลากเอาเจ้าอสูร ไปด้วยมือข้างหนึ่ง เดินเข้าไปในป่า เอามือฉวยต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในป่า ซึ่งปกติแล้ว เขาต้องใช้เวลาหลายวัน กว่าจะโคนมันลง แล้วขุดรากถอนโคนมันได้เสร็จ แต่มาบัดนี้ ต้นไม้มหึมานั้น หลุดพรวดพราดออกมาทั้งรากทั้งโคน ง่ายเหมือนถอนต้นหญ้า เขาแข็งแรงจริงแล้ว! เขาจึง ปล่อยอสูรนั้นไป
บาดัง คงทำงานต่อไปในป่าอีก แต่เดี๋ยวนี้ เพราะกำลังมหาศาลของเขานั่นเอง เขาสามารถทำงานที่เคยใช้เวลาแรมวันแรมเดือน เสร็จภายในสองสามนาที ต้นไม้ใหญ่ๆ ถูกดึงถอนยกขึ้นลิ่วๆ ไม่นาน ป่าทึบ ก็กลายเป็นพื้นที่ราบโล่ง พร้อมจะลงมือไถคราดได้ เมื่อนายถามเขาว่า ทำอย่างไร งานของเขาจึงสำเร็จได้อย่างอัศจรรย์ใจอย่างนั้น บาดัง ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟัง
“เมื่อเจ้าอสูรมันบอกแก่ข้าพเจ้าว่า มันจะให้สิ่งใดก็ได้แล้วแต่ข้าพเจ้าอยากจะได้ ข้าพเจ้าเลยเลือกเอากำลังกาย เพื่อจะได้รับใช้นาย ให้ดีกว่าที่แล้วๆ มา” บาดังกล่าวในตอนท้าย นายฟังคำของบาดัง แล้วก็ตื้นตันใจ จึงให้อิสรภาพแก่บาดัง ตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของบาดัง เลื่องลือไปทั่วแคว้น ไม่ช้านัก รายาแห่งแคว้นสิงคปุระ ก็เชิญบาดังไปเป็นแม่ทัพ บาดังรับคำเชิญ และได้ทำวีรกรรมทางพลังกาย ให้แก่รายาหลายครั้ง
ต่อมาราชาแห่งอาณาจักรกลิงคะ ได้ทราบเรื่องของบาดังผู้ทรงพลังเข้า ก็ส่งคนที่แข็งแรงที่สุดในแคว้นของพระองค์ มาท้าบาดัง การแข่งขัน กระทำกันที่พระลาน ในวังของรายาสิงคปุระ ผู้คนมาชุมนุมกันมากมายก่ายกอง องค์ราชาเอง ก็เสด็จมาดูด้วย ได้ตกลงกันไว้ว่า คนของรายาฝ่ายใดแพ้ ก็ต้องยกเรือใหญ่เจ็ดลำ พร้อมด้วยทรัพย์สินมีค่าเต็มลำ ให้แก่ฝ่ายที่ชนะ
ตรงหน้าวัง มีก้อนหินใหญ่มหึมาตั้งอยู่ ผู้ทรงพลังฝ่ายกลิงคะร้องท้าบาดัง ให้คอยดูว่า ใครจะเป็นคนยกหินก้อนนั้นได้ คนฝ่ายกลิงคะ ใช้สองแขน ยกก้อนหินขึ้นอย่างสุดกำลัง หินค่อยๆ เคลื่อนขึ้นจากพื้นทีละนิ้วๆ จนสูงขึ้นมาแค่เข่าของคนยก แต่ก็ยกสูงขึ้นกว่านั้นอีกไม่ไหว ต้องปล่อยหินตกตึงลงบนดิน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
“เอ้า ทีนี้ตาท่านบ้างละ” คนฝ่ายกลิงคะร้องบอกบาดัง
บาดัง ยืนยืดอกอยู่ข้างก้อนหิน แล้วก้มตัวลงยกก้อนหินอย่างง่ายดาย รวดเดียวก็สูงขึ้นเหนือศรีษะเหมือนยกหินก้อนเล็กๆ บาดัง เอามือยกหินแกว่งไปรอบๆ หลายครั้ง แล้วก็โยนขึ้น ลอยละลิ่วสูงกว่าศีรษะคนดูเสียอีก คนดูโห่ร้อง เชียร์กันสนั่นหวั่นไหว แล้วบาดังก็เป็นฝ่ายชนะ ได้เรือเจ็ดลำ พร้อมด้วยข้าวของเงินทองเต็มลำ แชมเปี้ยนฝ่ายแพ้ คอตก ออกแล่นเรือกลับบ้านตน
เรื่องราวการกระทำอันลือเลื่อง ด้วยพลังแกร่งกล้าของบาดัง ขจรขจายไปถึงอาณาจักรเปลัค รายาแห่งแคว้นเปลัค เป็นอนุชา ของรายาแห่งแคว้นสิงคปุระ ตกลงพระทัย จะส่งผู้ทรงพลังของพระองค์ ชื่อว่า เบนเดรัง มาท้าแชมเปี้ยนผู้ทรงพลังของพระเชษฐา พร้อมด้วยอัครเสนาบดี ถือสารมาถวายพระเชษฐาด้วย
เมื่อคณะผู้ทรงพลัง มาถึงเกาะสิงคปุระ ตัวอัครเสนาบดี เบนเดรัง และคณะทั้งหมด ก็จัดขบวนแห่งดงามด้วยสีสัน แห่แหนสารของรายาแห่งเปลัคมายังวัง เพื่อถวายแก่รายาแห่งสิงคปุระ ชั้นหัวหน้า ก็นั่งหลังช้าง ชั้นบริวาร ก็เดินเท้าไปข้างๆ ช้างพาหนะ
อัครเสนาบดี โค้งกายลงต่ำ เพื่อเป็นการเคารพ และส่งสารถวายรายาแห่งสิงคปุระ แล้วทูลว่า ” พระอนุชา ทรงฝากความเคารพ และระลึกถึงมาด้วย ทั้งทรงขอให้จัดการแข่งขัน ระหว่างผู้ทรงพลังของเปลัคและของสิงคปุระ หากบาดัง คนของพระองค์ชนะ เจ้านายของหม่อมฉัน จะยอมถวายคลังมหาสมบัติแด่พระองค์ “
รายาแห่งแคว้นสิงคปุระ ทอดพระเนตรดูเบนเดรัง ซึ่งตัวใหญ่กว่าบาดัง ทั้งท่าทาง ก็ดูจะแข็งแรงกว่าไม่น้อย “เราขอคิดดูก่อน ” รับสั่งว่าอย่างนั้น “แล้วตกลงว่าอย่างไรจะบอกท่านพรุ่งนี้ “
ครู่ต่อมา ก็รับสั่งให้หาบาดังมา แล้วตรัสถามบาดังว่า คิดว่าจะเอาชนะ ในการท้าแข่งครั้งนี้หรือไม่ บาดังทูลว่า ”พูดยาก” แล้วก็ทูลแนะขึ้นว่า ”ควรรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงคืนนี้ เพื่อหม่อมฉันจะได้ทดลองกำลังของเบนเดรังดู ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่าหม่อมฉัน พระองค์ก็ทรงปฎิเสธไม่แข่งด้วย และก็จะไม่มีฝ่ายใดเสียเกียรติ“
รายาเห็นว่า ข้อเสนอของบาดังน่าฟัง คืนวันนั้น จึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้แก่แขกเมือง ทุกคนนั่งขัดสมาธิบนพื้น ขณะที่กำลังกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น บาดังก็เข้าไปนั่งใกล้เบนเดรัง
เบนเดรัง เอาขาทับซ้อนลงบนขาของบาดัง แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงไปสุดแรงเกิด แต่บาดังก็ยกขาของเขา งัดขาของเบนเดรังได้อย่างง่ายดาย แล้วเอาขาของตน ทับขาของเบนเดรัง ลงไปอย่างรวดเร็ว เบนเดรังพยายามยกขาขึ้นอย่างสุดแรงก็ไม่สำเร็จ การประลองกำลังลับๆ ของแชมเปี้ยนทั้งสองนี้ ไม่มีใครทันสังเกต
เมื่อแขกเมือง กลับไปยังเรือของตนแล้ว รายาก็ตรัสถามบาดังว่า เขาคิดจะเอาอย่างไร บาดังทูลตอบ ”ขอให้หม่อมฉันสู้กับเบนเดรังเถิด หม่อมฉันแน่ใจว่า ต้องชนะเบนเดรังเด็ดขาด“
ในเวลาเดียวกันนี้เอง เมื่อกลับไปถึงเรือ เบนเดรังก็พูดกับอัครเสนาบดีว่า ”ข้าแต่ท่านอัครเสนาบดี บาดังแข็งแรงมากเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้ ก็โปรดล้มเลิกการแข่งขันเสียเถิด ข้าพเจ้าเกรงว่า บาดังจะต้องชนะข้าพเจ้าแน่นอน“
เช้าวันรุ่งขึ้น รายา เสด็จออกขุนนางในท้องพระโรง อัครเสนาบดีของแคว้นเปลัค รอเฝ้าอยู่แล้ว รายา กำลังจะกล่าวประกาศให้มีการแข่งขัน ก็พอดีอัครเสนาบดีทูลขึ้นว่า
”ข้าแต่รายา หม่อมฉันไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่า ไม่เหมาะเสียแล้ว ที่จะมีการประลองฝืมือกัน ระหว่างเบนเดรังกับบาดัง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนจะมีชัยชนะก็ตาม ดูจะกลายเป็นว่า พระองค์กับพระอนุชา ทรงท้าแข่งกันเอง แล้วไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องเสียพระเกียรติ “
รายาทรงยิ้ม เพราะทรงทราบว่า ที่จริงนั้น อัครเสนาบดียอมรับแล้วว่า บาดังเป็นฝ่ายทรงพลังยิ่งกว่า จึงตรัสว่า ”ดีแล้ว เมื่อท่านประสงค์อย่างนั้น ก็ตามนั้นเถิด“
คณะแขกผู้มาเยือนสิงคปุระ ก็กลับคืนแคว้นเปลัค รายาแห่งแคว้นเปลัค ก็มิได้ตรัสประการใด ถึงเรื่องที่การแข่งขันไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เพราะอัครเสนาบดี ได้มอบสาร อันแสดงไมตรีอันดียิ่งจากพระเชษฐา คือรายาแห่งสิงคปุระมาถวาย
จากนั้นมา ก็ไม่มีใครกล้าท้าบาดังอีกเลย ประชาชนทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าในแดนใกล้หรือแดนไกลต่างยอมรับว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้น ไม่มีใครอื่น นอกจากบาดัง ชายที่เคยเป็นทาสจากเกาะเล็กๆ นามว่า สิงคปุระ