หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

นวัตกรรมและเทคโนโลยีการพยากรณ์แผ่นดินไหวในปัจจุบัน

เนื้อหาโดย บทความ ชุมชน

แผ่นดินไหวเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทั้งรุนแรงและคาดเดาได้ยาก ในแต่ละปีมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทั่วโลกมากกว่า 500,000 ครั้ง โดยประมาณ 100,000 ครั้งสามารถตรวจจับได้โดยมนุษย์ และมากกว่า 100 ครั้งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ (USGS, 2023) มนุษย์จึงมุ่งมั่นที่จะค้นหาวิธีในการพยากรณ์เหตุการณ์แผ่นดินไหวมาตลอดประวัติศาสตร์ แต่การพยากรณ์ที่แม่นยำยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในวงการวิทยาศาสตร์โลก

บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดในการพยากรณ์แผ่นดินไหว ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมไปจนถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน รวมถึงข้อจำกัดและความท้าทายที่นักวิทยาศาสตร์กำลังเผชิญ เราจะพิจารณาความก้าวหน้าในการพยากรณ์แผ่นดินไหว มาตรการป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มในอนาคตที่อาจช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติที่ทรงพลังนี้

แผ่นดินไหว ปัจจุบันสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ไหม?

ความท้าทายในการพยากรณ์แผ่นดินไหว

การพยากรณ์แผ่นดินไหวอย่างแม่นยำยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการธรณีวิทยา แม้จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำเหมือนการพยากรณ์สภาพอากาศหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆ

ดร. ลูซี่ จอนส์ นักธรณีฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (Caltech) อธิบายว่า "การพยากรณ์แผ่นดินไหวเปรียบเสมือนความพยายามทำนายว่าเมื่อใดที่ไม้ขีดไฟจะหักเมื่อเรางอมันอย่างช้าๆ เราทราบว่ามันจะหัก แต่จุดที่แน่นอนและเวลาที่แน่นอนยังคงเป็นปริศนา" (Jones, 2020)

ความท้าทายหลักในการพยากรณ์แผ่นดินไหวมีหลายประการ:

  1. ความซับซ้อนของกลไกแผ่นดินไหว: การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการที่ซับซ้อนและมีปฏิสัมพันธ์กัน ตั้งแต่แรงเสียดทานระหว่างแผ่นเปลือกโลก ไปจนถึงคุณสมบัติของหินและของเหลวใต้พื้นผิว
  2. ข้อจำกัดด้านข้อมูล: แม้จะมีเครือข่ายเซ็นเซอร์ทั่วโลก แต่เรายังไม่สามารถสังเกตการณ์รอยเลื่อนส่วนใหญ่ได้โดยตรง โดยเฉพาะรอยเลื่อนที่อยู่ลึกใต้พื้นผิวโลก
  3. ความไม่สามารถทำซ้ำในการทดลอง: นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างแผ่นดินไหวในห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบทฤษฎีได้อย่างสมบูรณ์

ดร. โรเบิร์ต ฮอลด์สเวิร์ธ นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ กล่าวว่า "การพยากรณ์แผ่นดินไหวในปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องของการบอกว่า 'จะเกิดแผ่นดินไหวในวันพรุ่งนี้' แต่เป็นการประเมินความน่าจะเป็นในช่วงเวลาที่กำหนด" (Holdsworth, 2022)

ระบบเตือนภัยล่วงหน้าแทนการพยากรณ์

ในขณะที่การพยากรณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้าหลายวันหรือหลายสัปดาห์ยังคงอยู่นอกเหนือความสามารถของเรา ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบจากแผ่นดินไหว

ระบบเหล่านี้อาศัยการตรวจจับคลื่นแรงดัน (P-waves) ซึ่งเดินทางเร็วกว่าคลื่นเฉือน (S-waves) ที่ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า ระบบจะส่งการแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบคลื่น P-waves ให้ทันก่อนที่คลื่น S-waves จะมาถึง ซึ่งอาจให้เวลาเตือนภัยล่วงหน้าได้ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึงหนึ่งนาทีขึ้นอยู่กับระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง

ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าที่โดดเด่น ได้แก่:

"แม้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีอาจฟังดูไม่มาก แต่มันเพียงพอที่จะปิดระบบแก๊ส หยุดรถไฟ ปิดเครื่องมือทางการแพทย์ที่สำคัญ หรือให้ผู้คนเข้าที่ปลอดภัย" ดร. ริชาร์ด อัลเลน ผู้อำนวยการโครงการ ShakeAlert กล่าว (Allen, 2023)

ปัจจุบันแผ่นดินไหว มีเทคโนโลยีพยากรณ์ล่วงหน้าอะไรบ้าง?

ในขณะที่การพยากรณ์แผ่นดินไหวอย่างแม่นยำยังคงเป็นเป้าหมายที่ยากจะบรรลุ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรได้พัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการที่หลากหลายเพื่อปรับปรุงความเข้าใจและการประเมินความเสี่ยงของแผ่นดินไหว ต่อไปนี้คือเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้ในการติดตามและคาดการณ์เหตุการณ์แผ่นดินไหว:

1. เทคโนโลยีดาวเทียมและการรับรู้ระยะไกล

InSAR (Interferometric Synthetic Aperture Radar) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ดาวเทียมในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลกที่แม้จะเล็กมากด้วยความแม่นยำสูง

ดร. ซาราห มินสเตอร์ นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อธิบายว่า "InSAR สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นผิวโลกได้เพียงไม่กี่มิลลิเมตร ช่วยให้เราเห็นการสะสมความเครียดตามแนวรอยเลื่อนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า" (Minster, 2023)

ในปี 2023 ภารกิจ NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง NASA และองค์การวิจัยอวกาศอินเดีย ได้เปิดตัวดาวเทียมที่จะสแกนพื้นผิวโลกทั้งหมดทุก 12 วัน เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (NASA, 2023)

GNSS (Global Navigation Satellite Systems) รวมถึง GPS (Global Positioning System) ให้ข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำซึ่งช่วยในการติดตามการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกอย่างต่อเนื่อง เครือข่าย GNSS ทั่วโลกสามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกได้เพียงไม่กี่มิลลิเมตรต่อปี (Bock & Melgar, 2022)

2. ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) กำลังเปลี่ยนโฉมการวิเคราะห์ข้อมูลธรณีวิทยา:

3. เครือข่ายเซ็นเซอร์ความหนาแน่นสูง

เครือข่ายเซ็นเซอร์ความหนาแน่นสูงที่ติดตั้งบนพื้นดินช่วยเพิ่มความละเอียดในการตรวจจับกิจกรรมทางธรณีวิทยา:

4. โมเดลจำลองคอมพิวเตอร์ขั้นสูง

การจำลองแบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูงช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจพฤติกรรมของรอยเลื่อนและกลไกแผ่นดินไหวได้ดีขึ้น:

5. การตรวจจับสัญญาณเตือนทางกายภาพและเคมี

การเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของเปลือกโลกก่อนเกิดแผ่นดินไหวกำลังได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง:

ดร. โทมัส ฮอลเดอร์ จาก USGS กล่าวว่า "แม้เราจะยังไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ แต่เรากำลังสร้างภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นของกระบวนการทางธรณีวิทยาที่นำไปสู่แผ่นดินไหว เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงได้ดีขึ้นและอาจนำไปสู่การพยากรณ์ที่มีความแม่นยำมากขึ้นในอนาคต" (Holder, 2024)

การพยากรณ์แผ่นดินไหวจากสัตว์ เชื่อถือได้แค่ไหน?

พฤติกรรมสัตว์กับการทำนายแผ่นดินไหว: ความเชื่อและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

มีตำนานและรายงานมากมายเกี่ยวกับสัตว์ที่แสดงพฤติกรรมผิดปกติก่อนเกิดแผ่นดินไหว รายงานเหล่านี้มาจากทั่วโลกและมีมาตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่งูที่ออกจากรูในฤดูหนาวก่อนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนเมื่อปี 1975 ไปจนถึงปลาแคทฟิชในญี่ปุ่นที่แสดงอาการกระวนกระวายก่อนเกิดแผ่นดินไหว

ดร. รัคเชล แกรนท์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด อธิบายว่า "มีรายงานมากมายเกี่ยวกับสัตว์ที่ตอบสนองต่อแผ่นดินไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นแบบเชิงเล่าและไม่ได้จดบันทึกอย่างเป็นระบบ ทำให้ยากที่จะประเมินทางวิทยาศาสตร์" 

อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นได้พยายามตรวจสอบปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบมากขึ้น:

  1. การศึกษาในเซี่ยงไฮ้: นักวิจัยในจีนได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กและพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มีนัยสำคัญก่อนแผ่นดินไหวบางครั้ง (Li et al., 2018)
  2. โครงการ Unusual Animal Behavior and Earthquake Prediction ของเยอรมนี: โครงการที่นำโดย ดร. มาร์ติน ไวเกลด์ ได้รวบรวมรายงานพฤติกรรมสัตว์ที่ผิดปกติและพบความสัมพันธ์บางอย่างกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในภายหลัง (Wikelski et al., 2020)

กลไกที่เป็นไปได้ของการรับรู้ของสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอกลไกหลายอย่างที่อาจอธิบายว่าทำไมสัตว์จึงอาจสามารถรับรู้สัญญาณของแผ่นดินไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นได้:

  1. การรับรู้คลื่นไหวสะเทือนที่ดีกว่า: สัตว์หลายชนิด เช่น ช้าง สามารถรับรู้คลื่นความถี่ต่ำที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน คลื่นเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกของกระบวนการแผ่นดินไหว
  2. ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กไฟฟ้า: การศึกษาแสดงให้เห็นว่าสัตว์บางชนิด เช่น นก สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากความเครียดในเปลือกโลกก่อนเกิดแผ่นดินไหว (Freund, 2019)
  3. การรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางเคมี: สัตว์มีความสามารถในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในน้ำหรืออากาศ เช่น การปล่อยแก๊สเรดอนหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เพิ่มขึ้นก่อนเกิดแผ่นดินไหว (Kirschvink, 2020)
  4. ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงความดันบรรยากาศ: สัตว์บางชนิดมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงความดันบรรยากาศเล็กน้อยซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหว (Yeung, 2021)

บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ ปลาไทยที่มีไขมันดีไม่แพ้ปลาแซลมอน โปรตีนสูง สร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง


ข้อจำกัดของการพยากรณ์แผ่นดินไหวจากพฤติกรรมสัตว์

แม้ว่าจะมีรายงานและการศึกษาที่น่าสนใจ แต่การใช้พฤติกรรมสัตว์เพื่อการพยากรณ์แผ่นดินไหวยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ:

  1. ความไม่สม่ำเสมอ: สัตว์ไม่ได้ตอบสนองต่อแผ่นดินไหวทุกครั้ง และบางครั้งพฤติกรรมที่ผิดปกติอาจไม่ตามด้วยแผ่นดินไหว ทำให้เกิดการเตือนที่ผิดพลาด
  2. การขาดมาตรฐานในการเก็บข้อมูล: ส่วนใหญ่ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์มาจากรายงานที่ไม่เป็นทางการหลังเกิดเหตุการณ์ ซึ่งอาจมีอคติจากการรับรู้ย้อนหลัง
  3. ความซับซ้อนในการแปลความหมาย: แม้ในกรณีที่สัตว์แสดงพฤติกรรมผิดปกติ การแปลความหมายว่าเมื่อไรและที่ไหนที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นยังคงเป็นความท้าทาย

ศาสตราจารย์จอห์น วิตเทอร์ นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าวว่า "แม้จะมีรายงานที่น่าสนใจมากมาย แต่เรายังไม่สามารถพัฒนาระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวที่เชื่อถือได้บนพื้นฐานของพฤติกรรมสัตว์เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การศึกษาในเรื่องนี้อาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสัญญาณเตือนล่วงหน้าทางกายภาพและเคมีที่อาจนำไปสู่วิธีการตรวจจับที่ดีขึ้น" (Witter, 2022)

มุมมองปัจจุบันในวงการวิทยาศาสตร์

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการพยากรณ์แผ่นดินไหวจากพฤติกรรมสัตว์ แต่ทัศนคติกำลังเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่เปิดกว้างมากขึ้น:

ดร. ลิซ่า เกรนต์ จากมหาวิทยาลัยโตเกียวสรุปว่า "แม้พฤติกรรมสัตว์อาจไม่ใช่เครื่องมือพยากรณ์ที่แม่นยำ แต่สัตว์สามารถเป็นเซ็นเซอร์ชีวภาพที่มีคุณค่าซึ่งอาจตรวจจับสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่เครื่องมือแบบดั้งเดิมอาจพลาด การบูรณาการข้อมูลพฤติกรรมสัตว์กับเทคโนโลยีการตรวจจับอื่นๆ อาจนำไปสู่ความเข้าใจและการเตือนภัยที่ดีขึ้น" (Grant, 2023)

อาคารที่ออกแบบมาต้านแผ่นดินไหวที่กำลังก่อสร้าง มีโอกาสถล่มมากน้อยแค่ไหน?

ความปลอดภัยของอาคารต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่

อาคารที่ออกแบบมาต้านแผ่นดินไหวในปัจจุบันมีความปลอดภัยกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยความก้าวหน้าในวิศวกรรมโครงสร้างและเทคโนโลยีการก่อสร้าง อาคารเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะพังทลายน้อยมากแม้ในระหว่างแผ่นดินไหวรุนแรง

ศาสตราจารย์ฮิโรชิ คาวามูระ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวจากมหาวิทยาลัยโตเกียว อธิบายว่า "อาคารที่ออกแบบตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่ได้รับการออกแบบไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันการพังทลาย แต่เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัยและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ อาคารอาจได้รับความเสียหาย แต่โอกาสที่จะพังทลายทั้งหมดมีน้อยมาก" (Kawamura, 2022)

ตามสถิติ อาคารที่ออกแบบตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวล่าสุด เช่น International Building Code (IBC) หรือมาตรฐานญี่ปุ่น มีอัตราการรอดพ้นจากการพังทลายมากกว่า 99% แม้ในแผ่นดินไหวรุนแรง (ICC, 2023) อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือมาตรฐานเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่าอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายเลย

หลักการออกแบบต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่

อาคารต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่ใช้หลักการหลายอย่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัย:

  1. ความเหนียว (Ductility): โครงสร้างถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นและดูดซับพลังงานแทนที่จะแตกหักอย่างฉับพลัน ทำให้มีเวลามากขึ้นสำหรับการอพยพและลดโอกาสการพังทลายทันที
  2. ความสม่ำเสมอ (Regularity): อาคารที่มีรูปทรงสม่ำเสมอและสมมาตรจะกระจายแรงแผ่นดินไหวได้ดีกว่า ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของความเครียด
  3. ความแข็งแรงเพียงพอ (Adequate Strength): โครงสร้างได้รับการออกแบบให้ต้านทานแรงด้านข้างที่เกิดจากแผ่นดินไหว โดยมีค่าความปลอดภัย (safety factor) ที่เหมาะสม
  4. การแยกฐานรากจากแผ่นดิน (Base Isolation): เทคนิคที่แยกอาคารจากพื้นดินด้วยอุปกรณ์พิเศษที่ดูดซับพลังงานแผ่นดินไหว
  5. ระบบลดการสั่นสะเทือน (Damping Systems): การติดตั้งอุปกรณ์ลดการสั่นสะเทือนเพื่อดูดซับพลังงานจากแผ่นดินไหว

ดร. รอนัลดา พอร์ตา ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้างจาก ETH Zurich กล่าวว่า "การออกแบบต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่ไม่ได้เน้นที่การทำให้อาคารแข็งแรงที่สุดเท่านั้น แต่เน้นที่การทำให้อาคารตอบสนองต่อแผ่นดินไหวอย่างชาญฉลาด เหมือนกับต้นไม้ที่โค้งงอตามลมแทนที่จะต้านทานและหัก" (Porta, 2023)

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของอาคารระหว่างการก่อสร้าง

อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาจมีความเสี่ยงมากกว่าอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว เนื่องจากปัจจัยหลายประการ:

  1. โครงสร้างที่ไม่สมบูรณ์: อาคารที่กำลังก่อสร้างอาจยังไม่มีองค์ประกอบต้านแผ่นดินไหวที่สำคัญทั้งหมดติดตั้งเสร็จสมบูรณ์
  2. การเชื่อมต่อชั่วคราว: อาจมีการใช้การเชื่อมต่อชั่วคราวที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อต้านทานแรงแผ่นดินไหว
  3. ความไม่สมดุลของโครงสร้าง: ระหว่างการก่อสร้าง อาคารอาจไม่สมดุลหรือไม่สมมาตร ทำให้มีจุดอ่อนต่อแรงแผ่นดินไหว

ดร. เคนจิ มิยาซากิ วิศวกรโครงสร้างจาก Japan Building Research Institute อธิบายว่า "อาคารระหว่างการก่อสร้างมีความเสี่ยงมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่โครงสร้างหลักยังไม่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่มาตรการความปลอดภัยพิเศษมักถูกนำมาใช้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง" (Miyazaki, 2023)

การศึกษาพบว่าอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวสูงมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายมากขึ้นประมาณ 40-60% เมื่อเทียบกับอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว (Nakano et al., 2020)

มาตรการลดความเสี่ยงสำหรับอาคารระหว่างการก่อสร้าง

เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับอาคารที่กำลังก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว มาตรการต่อไปนี้มักถูกนำมาใช้:

  1. การวางแผนงานก่อสร้างที่คำนึงถึงความเสี่ยงแผ่นดินไหว: การจัดลำดับงานเพื่อให้โครงสร้างมีเสถียรภาพมากที่สุดในทุกขั้นตอน
  2. การค้ำยันชั่วคราว: การติดตั้งโครงสร้างเสริมความแข็งแรงชั่วคราวระหว่างการก่อสร้าง
  3. การตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด: การตรวจสอบวัสดุและงานก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนด
  4. ระบบเตือนภัยล่วงหน้า: การติดตั้งระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อให้คนงานมีเวลาอพยพ
  5. การประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์: การวิเคราะห์ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในแต่ละขั้นตอนของการก่อสร้าง

ดร. โจเซฟ คาร์ลุชชี วิศวกรโครงสร้างและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในการก่อสร้าง กล่าวว่า "ด้วยการวางแผนที่เหมาะสม การก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวสามารถดำเนินการได้อย่างปลอดภัย การเข้าใจความเสี่ยงและการใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญ" (Carlucci, 2024)

กรณีศึกษาและบทเรียน

กรณีศึกษาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอาคารต้านแผ่นดินไหว:

สรุป โอกาสการพังทลายของอาคารต้านแผ่นดินไหวที่กำลังก่อสร้าง

อาคารที่ออกแบบตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวสมัยใหม่และสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วมีความเสี่ยงที่จะพังทลายต่ำมาก แต่อาคารที่กำลังก่อสร้างมีความเสี่ยงสูงกว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้:

ศาสตราจารย์โทมัส เซย์แลน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสรุปว่า "โดยทั่วไป อาคารที่ออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวล่าสุดมีความปลอดภัยอย่างยิ่ง แม้ในระหว่างการก่อสร้าง ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการวางแผนและการป้องกันที่เหมาะสม ความเสี่ยงนี้ก็สามารถจัดการได้ เราไม่ควรกังวลเกินไปเกี่ยวกับการพังทลายของอาคารที่ออกแบบอย่างดี แต่ควรมุ่งเน้นที่การปรับปรุงความปลอดภัยของอาคารเก่าที่มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก" (Seylan, 2024)

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการพยากรณ์แผ่นดินไหว

1. แผ่นดินไหวสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้หรือไม่?

ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำในแง่ของเวลา สถานที่ และขนาดที่เฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์สามารถให้การประเมินความเสี่ยงระยะยาวและโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวในภูมิภาคต่างๆ ได้ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าสามารถให้การเตือนในระยะเวลาสั้นๆ (วินาทีถึงนาที) หลังจากที่แผ่นดินไหวเริ่มต้นแล้ว แต่ก่อนที่คลื่นสั่นสะเทือนที่รุนแรงจะมาถึงพื้นที่ห่างไกล

2. เทคโนโลยีใดที่ใช้ในการตรวจจับและเตือนภัยแผ่นดินไหวในปัจจุบัน?

เทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันรวมถึงเครือข่ายเซ็นเซอร์แผ่นดินไหว (seismometers), เทคโนโลยีดาวเทียม เช่น InSAR และ GPS, ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมีในเปลือกโลก และแบบจำลองคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ระบบเตือนภัยล่วงหน้า เช่น ShakeAlert (สหรัฐฯ) และ J-ALERT (ญี่ปุ่น) ตรวจจับคลื่นแผ่นดินไหวชนิดแรก (P-waves) และส่งการแจ้งเตือนก่อนที่คลื่นที่ทำลายล้างมากกว่า (S-waves) จะมาถึง

3. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทอย่างไรในการพยากรณ์แผ่นดินไหว?

AI และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหว แบบจำลอง Deep Learning สามารถค้นหารูปแบบที่ซับซ้อนในข้อมูลธรณีวิทยาและแผ่นดินไหวที่มนุษย์อาจมองข้าม AI ยังใช้ในระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อลดเวลาประมวลผลและปรับปรุงความแม่นยำในการประเมินความรุนแรงของแผ่นดินไหว โครงการ เช่น DeepShake และ AI4Quakes กำลังนำ AI มาใช้เพื่อปรับปรุงการตรวจจับและการเตือนภัยแผ่นดินไหว

4. ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านแผ่นดินไหวมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ?

ประเทศไทยโดยรวมถือว่ามีความเสี่ยงแผ่นดินไหวในระดับต่ำถึงปานกลาง เมื่อเทียบกับพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างญี่ปุ่นหรือแคลิฟอร์เนีย ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน มีความเสี่ยงสูงกว่าเนื่องจากอยู่ใกล้รอยเลื่อนที่ยังมีการเคลื่อนไหว สำหรับกรุงเทพฯ แม้จะตั้งอยู่ห่างจากรอยเลื่อนหลัก แต่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวระยะไกลและมีความเสี่ยงเพิ่มเติมเนื่องจากสภาพดินอ่อนที่อาจขยายการสั่นสะเทือน กรมทรัพยากรธรณีและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีการติดตั้งเครือข่ายสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวทั่วประเทศเพื่อเฝ้าระวัง (กรมทรัพยากรธรณี, 2023)

5. ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าทำงานอย่างไร?

ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าทำงานโดยอาศัยความแตกต่างของความเร็วคลื่นแผ่นดินไหว คลื่น P (คลื่นแรงดัน) เดินทางเร็วกว่าคลื่น S (คลื่นเฉือน) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า เมื่อเซ็นเซอร์ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวตรวจจับคลื่น P ระบบจะประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็วเพื่อประเมินขนาดและตำแหน่ง จากนั้นส่งการแจ้งเตือนไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปก่อนที่คลื่น S จะมาถึง เวลาเตือนภัยอาจมีตั้งแต่ไม่กี่วินาทีถึงหนึ่งนาที ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง แม้เวลาจะสั้น แต่เพียงพอสำหรับการดำเนินการฉุกเฉินอัตโนมัติ เช่น การหยุดรถไฟ ปิดท่อแก๊ส หรือให้ผู้คนหาที่กำบัง

6. พฤติกรรมสัตว์สามารถเป็นสัญญาณเตือนแผ่นดินไหวที่เชื่อถือได้หรือไม่?

แม้จะมีรายงานมากมายเกี่ยวกับสัตว์ที่แสดงพฤติกรรมผิดปกติก่อนเกิดแผ่นดินไหว แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่เพียงพอที่จะใช้พฤติกรรมสัตว์เป็นระบบเตือนภัยที่เชื่อถือได้ ปัญหาหลักคือความไม่สม่ำเสมอของพฤติกรรมและการขาดการศึกษาอย่างเป็นระบบ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัตว์อาจตรวจจับสัญญาณทางกายภาพหรือเคมีที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ เช่น คลื่นความถี่ต่ำ การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการปล่อยแก๊สจากเปลือกโลก การวิจัยยังดำเนินต่อไปเพื่อเข้าใจกลไกเหล่านี้และอาจนำไปสู่การพัฒนาเซ็นเซอร์ที่ดีขึ้นในอนาคต

7. อาคารต้านแผ่นดินไหวทำงานอย่างไร?

อาคารต้านแผ่นดินไหวใช้หลักการหลายอย่างเพื่อลดความเสียหายจากการสั่นสะเทือน:

  1. ความเหนียว (Ductility): โครงสร้างได้รับการออกแบบให้ยืดหยุ่นและดูดซับพลังงานแทนที่จะแตกหักทันที
  2. การแยกฐานราก (Base Isolation): ใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อแยกอาคารจากพื้นดิน ลดการส่งผ่านการสั่นสะเทือน
  3. ระบบลดการสั่นสะเทือน (Damping Systems): ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ดูดซับและกระจายพลังงานแผ่นดินไหว
  4. โครงสร้างแบบกระจายแรง (Moment-Resisting Frames): ช่วยให้อาคารต้านทานแรงด้านข้างได้ดีขึ้น
  5. วัสดุและการเชื่อมต่อที่เหมาะสม: ใช้วัสดุที่มีความเหนียวและการเชื่อมต่อที่ทนทานต่อการสั่นสะเทือน

มาตรฐานการก่อสร้างต้านแผ่นดินไหวมักเน้นที่การปกป้องชีวิตมากกว่าการป้องกันความเสียหายต่อตัวอาคารทั้งหมด

8. เทคโนโลยีอวกาศช่วยในการศึกษาแผ่นดินไหวอย่างไร?

เทคโนโลยีอวกาศมีบทบาทสำคัญในการศึกษาและติดตามกิจกรรมทางธรณีวิทยา:

  1. InSAR (Interferometric Synthetic Aperture Radar): เทคโนโลยีนี้ใช้ดาวเทียมเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลกที่เล็กถึงระดับมิลลิเมตร ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของรอยเลื่อนและการสะสมความเครียดในเปลือกโลก
  2. GNSS (Global Navigation Satellite Systems): ให้ข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำสูงซึ่งช่วยในการวัดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกอย่างต่อเนื่อง
  3. ดาวเทียมสำรวจโลก: ช่วยในการสร้างแผนที่รอยเลื่อนและการประเมินความเสียหายหลังเกิดแผ่นดินไหว
  4. ภารกิจ NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar): ภารกิจร่วมระหว่าง NASA และอินเดียที่จะติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลกด้วยความแม่นยำสูง

เทคโนโลยีเหล่านี้ให้มุมมองระดับโลกที่ไม่สามารถทำได้ด้วยการตรวจวัดภาคพื้นดินเพียงอย่างเดียว

9. แผ่นดินไหวมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม่?

แม้ว่าแผ่นดินไหวส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่มีความเชื่อมโยงบางประการที่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษา:

  1. การเปลี่ยนแปลงภาระบนเปลือกโลก: การละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่อาจเปลี่ยนแปลงภาระบนเปลือกโลก ส่งผลต่อความเครียดในรอยเลื่อนที่มีอยู่แล้ว การศึกษาในแอลาสก้าและกรีนแลนด์แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมแผ่นดินไหวเมื่อมวลน้ำแข็งลดลง (Larsen et al., 2020)
  2. การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล: การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอาจส่งผลต่อความเครียดในรอยเลื่อนชายฝั่ง
  3. โครงการกักเก็บน้ำและพลังงาน: โครงการใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เขื่อน การกักเก็บคาร์บอนใต้ดิน และโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ อาจเพิ่มความเสี่ยงของแผ่นดินไหวที่เกิดจากมนุษย์

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าผลกระทบเหล่านี้มักมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกระบวนการทางธรณีวิทยาตามธรรมชาติ

10. อนาคตของการพยากรณ์แผ่นดินไหวจะเป็นอย่างไร?

อนาคตของการพยากรณ์แผ่นดินไหวมีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าในหลายทิศทาง:

  1. เครือข่ายเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมมากขึ้น: การขยายเครือข่ายเซ็นเซอร์ทั่วโลกที่มีความละเอียดสูงขึ้น รวมถึงเซ็นเซอร์ใต้ทะเล
  2. การใช้ AI และ Big Data: การพัฒนาแบบจำลอง AI ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งสามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่และซับซ้อน
  3. การสำรวจระยะไกลขั้นสูง: เทคโนโลยีดาวเทียมที่มีความละเอียดสูงขึ้นเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
  4. การวิจัยสัญญาณเตือนล่วงหน้า: การศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับสัญญาณทางกายภาพและเคมีที่อาจเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหว
  5. การบูรณาการข้อมูล: การรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ดาวเทียม เซ็นเซอร์ภาคพื้นดิน การเฝ้าสังเกตพฤติกรรมสัตว์ และการตรวจวัดทางเคมี เพื่อให้ภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ดร. โทมัส จอร์แดน นักธรณีฟิสิกส์จาก USGS คาดการณ์ว่า "แม้ว่าการพยากรณ์แผ่นดินไหวอย่างแม่นยำอาจยังคงเป็นความท้าทายในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า แต่เราน่าจะเห็นการปรับปรุงที่สำคัญในระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการประเมินความเสี่ยงระยะยาว ซึ่งจะช่วยชีวิตมนุษย์ได้มากขึ้น" (Jordan, 2024)

บทสรุป นวัตกรรมและทิศทางในอนาคตของการพยากรณ์แผ่นดินไหว

การพยากรณ์แผ่นดินไหวยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์โลก แม้ว่าเราอาจไม่สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำเหมือนพยากรณ์อากาศ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางธรณีวิทยาได้ปรับปรุงความสามารถของเราในการประเมินความเสี่ยงและการตอบสนองต่อภัยพิบัตินี้อย่างมีนัยสำคัญ

ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ทันสมัย เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล เครือข่ายเซ็นเซอร์ความหนาแน่นสูง และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อแผ่นดินไหว แม้ว่าวิธีการดั้งเดิม เช่น การสังเกตพฤติกรรมสัตว์ อาจไม่ให้การพยากรณ์ที่เชื่อถือได้ แต่ก็กระตุ้นการวิจัยเกี่ยวกับสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่อาจเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหว

ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าในวิศวกรรมโครงสร้างและมาตรฐานการก่อสร้างทำให้อาคารและโครงสร้างพื้นฐานของเรามีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าที่เคย ลดความเสี่ยงของการสูญเสียชีวิตและความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัตินี้

ทิศทางในอนาคตของการพยากรณ์แผ่นดินไหวจะเกี่ยวข้องกับการบูรณาการข้อมูลจากแหล่งต่างๆ การปรับปรุงแบบจำลองคอมพิวเตอร์ และการขยายเครือข่ายการตรวจจับทั่วโลก แม้ว่าการพยากรณ์ที่แม่นยำอาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่การปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการประเมินความเสี่ยงจะช่วยให้ชุมชนทั่วโลกเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาตินี้ได้ดีขึ้น

ดังที่ดร. ลูซี่ จอนส์ นักธรณีฟิสิกส์ชื่อดังกล่าวไว้ "เราอาจไม่สามารถหยุดแผ่นดินไหวได้ แต่ด้วยความรู้ วิทยาศาสตร์ และการเตรียมพร้อมที่ดี เราสามารถสร้างชุมชนที่ทนทานซึ่งสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของการทำงานของเรา"


บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ นอกจากยาหลอกแล้ว เชื่อไมว่ามีการผ่าตัดหลอกด้วย

✪ เลือดเทียม นวัตกรรมการถ่ายเลือดสังเคราะห์ในมนุษย์

✪ ความหวังใหม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ชายออสเตรเลียคนแรกของโลกที่ใช้หัวใจเทียมทั้งหมด

หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ

เนื้อหาโดย: News Daily TH
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
บทความ ชุมชน's profile


โพสท์โดย: บทความ ชุมชน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
11 VOTES (3.7/5 จาก 3 คน)
VOTED: pakpranang, รู้ไว้ใช่ว่า by News Daily TH, momon
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
อันวาร์ อิบราฮิม ขีดเส้นตาย 4 ทุ่มต้องหยุดยิง4 นักษัตรดวงเศรษฐี ยิ่งอายุมากยิ่งเงินไหลมา—ช่วงพีคอยู่ที่วัยกลางคนAI วิเคราะห์เลขท้าย 2 ตัว งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..โดยใช้สถิติย้อนหลัง 20 ปีกัมพูชาประณามการโจมตีทางอากาศของไทย ต่อโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนธนาธรเชื่อว่าหากพิธาเป็นนายกฯ สถานการณ์ชายแดนจะไม่ถึงจุดนี้พ่อแม่ต้องใจแข็ง! 2 เรื่องที่ลูก ‘ขอแล้วห้ามให้’ ไม่อย่างนั้นน้ำตาอาจเช็ดหัวเข่าตอนบั้นปลายชีวิตกองทัพภาค 2 แจ้งว่า ศึกตาควายยังไม่สิ้นสุด เขมรยิงจรวด BM-21 ทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บ 10 รายความงดงามของธรรมชาติ จะสร้างพื้นที่เชิงบวกในใจของคนเรานั้นให้มากขึ้นรวบเซียนพระชาวจีน! ตม.3 บุกจับ 4 ผู้ต้องหาต่างชาติ ลักลอบเปิดธุรกิจขายพระเครื่องกลางห้างดังย่านงามวงศ์วานอยู่ให้ห่าง! 6 ประเภทคนใกล้ตัว "ขโมยดวง" คอยดูดพลังโชคลาภและความรุ่งเรืองออกไปจากคุณปชน. จัดกิจกรรมขอโทษและมั่นใจว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดี่ยวในการเลือกตั้งหน้า“นัทปง” ปิดคดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่บาดแผลในใจหลายคนยังไม่จาง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อันวาร์ อิบราฮิม ขีดเส้นตาย 4 ทุ่มต้องหยุดยิงกองทัพภาค 2 แจ้งว่า ศึกตาควายยังไม่สิ้นสุด เขมรยิงจรวด BM-21 ทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บ 10 รายประโยชน์จากกล้วย 4 วัยความงดงามของธรรมชาติ จะสร้างพื้นที่เชิงบวกในใจของคนเรานั้นให้มากขึ้น
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ทั่วไป
การใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุขเดินเล่นวันละ 10 นาที ดีกับร่างกายฮ่องเต้ซินโดรม เมื่อพ่อแม่ตามใจลูกมากเกินไป ลูกยิ่งโตยิ่งชอบเอาแต่ใจริมสถานี ลำปาง
ตั้งกระทู้ใหม่