อารามนักบุญแอนโทนี (Monastery of Saint Anthony) อารามของศาสนาคริสต์ นิกายคอปติกออร์ทอดอกซ์
อารามนักบุญแอนโทนี เป็นอารามของศาสนาคริสต์ นิกายคอปติกออร์ทอดอกซ์ ตั้งอยู่ในโอเอซิสแห่งหนึ่ง ในทะเลทรายตะวันออกของอียิปต์ ทางตอนเหนือของผู้ว่าราชการจังหวัดเรดซี ใกล้กับเขตแดนของผู้ว่าราชการจังหวัดสุเอซ
ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาเรดซี อารามนี้ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 334 กิโลเมตร (208 ไมล์) และสามารถเดินทางจากไคโรไปถึงได้ภายใน 5 ถึง 6 ชั่วโมง อารามนักบุญแอนโทนีถูกก่อตั้งโดยเหล่าสานุศิษย์ของนักบุญแอนโทนีผู้ยิ่งใหญ่ นักบวชคริสเตียนยุคแรก อารามแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในอารามที่มีชื่อเสียงที่สุดในอียิปต์ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการก่อตั้งสถาบันคอปติกหลายแห่ง อีกทั้งยังส่งเสริมวิถีแห่งนักพรตคริสเตียนโดยรวม มีพระสังฆราชหลายรูปที่มาจากอารามนี้ และมีผู้แสวงบุญหลายร้อยคนมาเยือนทุกวัน
ในปี ค.ศ. 2002 รัฐบาลอียิปต์ ได้เริ่มดำเนินโครงการบูรณะอาราม เป็นเวลา 8 ปี ด้วยงบประมาณ 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อารามในปัจจุบัน กลายเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น สวน โรงสี ขนมปัง และโบสถ์ 5 แห่ง อารามแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมของชาวอียิปต์ โดยเฉพาะชาวคริสต์ ที่มาเข้าพักเพื่อปฏิบัติธรรม หรือมาท่องเที่ยวแบบครอบครัว
ชีวิตของนักบุญแอนโทนี
นักบุญแอนโทนี เป็นนักบุญในศาสนาคริสต์ เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่ง ในอียิปต์ตอนล่าง ราวปี ค.ศ. 251 เขากำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับท่าน ส่วนใหญ่ได้มาจากหนังสือชีวประวัติที่ชื่อ *Vita Antonii* ซึ่งแต่งโดย นักบุญอาธานาเซียส แห่งอเล็กซานเดรีย โดยภาพลักษณ์ของแอนโทนีในหนังสือนั้นเป็นชายผู้ไม่รู้หนังสือแต่เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และสามารถเข้าถึงสัจธรรมแห่งพระเจ้าได้ จากชีวิตอันสันโดษในธรรมชาติบริสุทธิ์
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ เมื่อเขาได้ยินพระวจนะของนักบุญมาระโก ที่กล่าวให้เขาละทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดและแสวงหาพระเจ้า เมื่ออายุ 34 ปี เขาจึงมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่คนยากไร้ และออกเดินทางเข้าสู่ทะเลทรายตะวันออก เพื่อใช้ชีวิตแห่งความถ่อมตน ความสันโดษ และสมาธิทางจิตวิญญาณ แอนโทนี ใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัดในถ้ำเล็ก ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักพรตรูปแรก แต่ก็มีลูกศิษย์และผู้ติดตามจำนวนมาก ถือเป็นหนึ่งในบิดา แห่งนักพรตคริสเตียนยุคใหม่
ประวัติ
จุดเริ่มต้น ไม่กี่ปีหลังการมรณภาพ ของนักบุญแอนโทนี สานุศิษย์ของท่าน ก็เริ่มตั้งรกรากบริเวณที่ท่านเคยใช้ชีวิตอย่างสันโดษ โดยอารามนักบุญแอนโทนีถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 298 – 300 ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติอุส คลอรัส ในระยะแรกมีเพียงสิ่งปลูกสร้างที่จำเป็นเท่านั้น เน้นความสันโดษเป็นหลัก นักพรตจะอาศัยอยู่ในเซลล์ของตน เองรายรอบสถานที่ประกอบพิธีกรรมกลาง โดยจะมารวมกันทำพิธีสวดภาวนาและรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเรียบง่าย
เมื่อเวลาผ่านไป การเน้นความสันโดษลดลง และนักพรตเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย ความสะดวก และความเป็นมิตร วิถีของนักพรตในอารามแห่งนี้จึงค่อย ๆ เปลี่ยนจากความสันโดษสู่ชีวิตแบบชุมชนมากขึ้น
อารามในฐานะที่พักพิง (ค.ศ. 400–800)
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6–7 นักพรตจำนวนมาก จากอารามในเขตสเกติส ได้หลบหนีการโจมตีจากชาวเบดูอิน และชาวเบอร์เบอร์มายังอารามนักบุญแอนโทนี อารามในช่วงเวลานี้ มีทั้งนักพรตคอปติกจากสเกติส และนักพรตเมลไคต์จากตะวันออก ผลัดเปลี่ยนกันดูแล ในปี ค.ศ. 615 จอห์นผู้เมตตา พระสังฆราชเมลไคต์ ได้ส่งเงินจำนวนมากมายังอาราม และขอให้อนาสตาซิอุสแห่งเปอร์เซีย ซึ่งเป็นหัวหน้าอารามในขณะนั้น รับนักพรตเมลไคต์ ที่ถูกข่มเหงจากเปอร์เซียมาดูแล ซึ่งนักพรตเหล่านี้ ได้ปกครองอาราม จนถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8
ในปี ค.ศ. 790 นักพรตคอปติกจากอารามนักบุญมาการิอุส ในทะเลทรายสเกติส ได้ปลอมตัวเป็นชาวเบดูอิน เพื่อพยายามขโมยพระบรมสรีรางคาร ของนักบุญจอห์นผู้อ่อนเยาว์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในอารามนี้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ตามบันทึกของ Synaxarium ฉบับเอธิโอเปีย เล่าว่าพวกเขาหลอกนักพรตเมลไคต์สำเร็จและสามารถนำพระบรมสรีรางคารกลับไปยังสเกติสได้
สันติภาพและการเบียดเบียน (ค.ศ. 800–1300)
แม้อารามจะตั้งอยู่ในที่ห่างไกลและค่อนข้างปลอดภัย แต่ในบางช่วงเวลา ก็เผชิญกับการรุกรานอย่างรุนแรงจากชาวเบดูอิน ในทะเลทรายตะวันออก โดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่อารามถูกทำลายบางส่วน รวมถึงเหตุการณ์กบฏโดยชาวเคิร์ดและชาวเติร์ก ซึ่งเมื่อผู้นำของพวกเขาพ่ายแพ้ กองทัพที่หลงเหลือ ก็เข้าปล้นอารามนักบุญแอนโทนี และอารามใกล้เคียง อย่างอารามนักบุญเปาโลฤๅษี
อย่างไรก็ตาม อารามก็ได้รับการบูรณะในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และรุ่งเรืองอีกครั้ง มีการสร้างป้อมปราการรอบอารามเพื่อป้องกันศัตรู และในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 นักประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์นามว่า Abu al-Makarim ได้กล่าวถึงอารามว่าเป็นหนึ่งในอารามที่ยอดเยี่ยมที่สุด มีสวนผลไม้ บ่อน้ำ และสิ่งปลูกสร้างที่มั่นคงมากมาย
นักเดินทางชาวยุโรปยุคแรก (ค.ศ. 1300–1800)
ในช่วงปลายของสงครามครูเสด นักบวชและนักการทูตชาวยุโรป เริ่มเดินทางมายังอียิปต์ ระหว่างการแสวงบุญไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ Ludolph แห่ง Suchem นักบวชในสังฆมณฑล Paderborn ได้กล่าวถึงการเยี่ยมชม “ถ้ำและที่พำนักของนักบุญหลายท่าน” ที่อยู่ภายใต้การปกครองของนักบุญแอนโทนี พร้อมกล่าวถึงน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ว่า:
“ในทะเลทรายนี้ มีสถานที่หนึ่งใต้ผาหินสูงและแคบ ซึ่งนักบุญแอนโทนีเคยอาศัยอยู่ และจากหินนั้นมีธารน้ำไหลออกมาระยะสั้น ๆ ก่อนจะหายไปในทราย… สถานที่แห่งนี้มีผู้คนมาเยือนเพื่อสวดภาวนาและขอพร และด้วยพระคุณของพระเจ้า หลายโรคภัยก็สามารถหายได้ด้วยน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”
ในปี ค.ศ. 1395 ระหว่างสงครามครูเสดแห่งนิโคโปลิส Ogier VIII d'Anglure ได้เดินทางมายังอียิปต์พร้อมคณะผู้แสวงบุญชาวฝรั่งเศส และได้เปรียบเทียบอารามนักบุญแอนโทนีกับอารามนักบุญแคทเธอรีน โดยกล่าวว่าอารามของแอนโทนีนั้นสวยงามกว่า และชื่นชมความศักดิ์สิทธิ์และความเมตตาของนักพรตยาคอบ (Jacobite) ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ภายในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 อารามแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้แสวงบุญ โดยผู้มาเยือนมักจะจารึกชื่อ ตราประจำตระกูล และวันที่มาถึงไว้ตามผนังของอาราม
ช่วงปลายศตวรรษที่ 15
อารามเซนต์แอนโทนี ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากกลุ่มเบดูอิน กลุ่มเดียวกันกับที่อารามเคยจ้างไว้ และพระทั้งหมดในอารามถูกสังหารทั้งหมด ต่อมาไม่นาน พระซีเรียเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในอารามและมีบทบาทในการบูรณะอารามในช่วงต้นของศตวรรษที่ 16 หลังจากการบูรณะ พระเอธิโอเปียและพระอียิปต์ได้อาศัยอยู่ร่วมกันในอารามระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อารามค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงจนแทบพังทลาย และพระจำนวนน้อยที่ยังคงอยู่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากหมู่บ้านบูช์ที่อยู่ใกล้เคียง ตั้งแต่นั้นจนถึงศตวรรษที่ 19 มีบันทึกจากนักเดินทางที่แวะมาเยี่ยมเยือนอารามอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงการกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นที่ทราบกันว่าในศตวรรษที่ 17 มิชชันนารีฟรานซิสกันบางคนเคยใช้อารามแห่งนี้เป็นฐานในการเตรียมมิชชันนารี แม้ว่าในเวลานั้นอารามจะอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากจนไม่มีแม้แต่ประตู นักเดินทางจึงต้องใช้วิธีโรยตัวลงมาด้วยเชือกและตะกร้าพร้อมระบบรอก
ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา)
ก่อนศตวรรษที่ 20 การเดินทางไปยังอารามทำได้เพียงทางเดียว คือโดยขบวนคาราวานอูฐรายเดือนที่นำอาหารและสิ่งของจำเป็นจากหมู่บ้านบูช์ที่อยู่ใกล้เคียง เส้นทางผ่านทะเลทรายจากเมืองคุรอยมาต ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ระหว่างเบนิสุเอฟกับเฮลวาน ไปยังอาราม ใช้เวลาเดินทางประมาณสามถึงสี่วัน อารามได้รับผู้มาเยือนเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ที่มาเยือนมักเป็นบุคคลสำคัญ เช่น ฌอร์ฌ โกกอร์ดาน เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำอียิปต์ในปี 1901 และดยุคโยฮันน์ จอร์จแห่งแซกโซนี
หลังจากมีการเปิดถนนซูเอซ–ราส การิบในปี 1946 การเดินทางไปยังอารามก็สะดวกขึ้นมาก โดยใช้เวลาเดินทางจากไคโรเพียง 5–6 ชั่วโมง ในช่วงสิบปีแรกหลังจากถนนเปิดใช้งาน จำนวนผู้มาเยือนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 370 คนระหว่างปี 1953 ถึง 1958 นับตั้งแต่นั้น อารามแห่งนี้ ก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม สำหรับชาวอียิปต์ โดยชาวคริสต์ มักใช้เป็นสถานที่พักผ่อนทางจิตวิญญาณ และการท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่าพันคนเป็นปกติ
โครงสร้าง
ภายในอารามเซนต์แอนโทนี อารามในปัจจุบันเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีสวน โรงโม่ข้าว โรงอบขนมปัง และโบสถ์ 5 แห่ง กำแพงของอารามประดับด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงนักรบในสีสดใสและนักพรตในสีเรียบ ภาพวาดเหล่านี้เสื่อมสภาพตามกาลเวลาเนื่องจากเขม่าควัน ไขเทียน น้ำมัน และฝุ่นละออง คณะกรรมการโบราณวัตถุแห่งชาติอียิปต์ ร่วมกับศูนย์วิจัยอเมริกันในอียิปต์ ได้ร่วมกันดำเนินการบูรณะภาพจิตรกรรมเหล่านี้ ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดในอารามมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 7 และ 8 ขณะที่ภาพวาดใหม่สุดมีอายุในศตวรรษที่ 13
ถ้ำของนักบุญแอนโทนี
ถ้ำที่นักบุญแอนโทนีอาศัยอยู่ ในฐานะนักพรตนั้น อยู่ห่างจากอารามประมาณ 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) และตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลแดงประมาณ 680 เมตร (2,200 ฟุต) ถ้ำแห่งนี้เป็นโพรงธรรมชาติขนาดเล็ก ในโขดหินที่อยู่ทางใต้ของภูเขากาลาลา (Mount Galala) นักท่องเที่ยว สามารถเดินขึ้นบันได ซึ่งเป็นทางลาดเลี้ยวคดจากอารามไปยังถ้ำได้ ภายในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง บริเวณที่นักบุญแอนโทนีใช้ปลีกวิเวก เป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก อยู่ห่างจากปากถ้ำแคบประมาณ 7 เมตร
การบูรณะ
ในปี 2002 รัฐบาลอียิปต์เริ่มโครงการบูรณะอารามที่มีระยะเวลา 8 ปี ด้วยงบประมาณ 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ งานบูรณะครอบคลุมกำแพงรอบอาราม โบสถ์หลักทั้งสองแห่ง ที่พักของพระ และหอคอยป้องกัน รวมถึงมีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียสมัยใหม่ นักโบราณคดีจากศูนย์วิจัยอเมริกันในอียิปต์ ได้ดำเนินการบูรณะภาพจิตรกรรม ภายในโบสถ์นักบุญแอนโทนี
ระหว่างการบูรณะ นักโบราณคดี ได้ค้นพบซากโบราณของสถาน ที่ทำงานของพระ ในยุคศตวรรษที่ 4 ปัจจุบันซากเหล่านี้ ถูกคลุมด้วยพื้นกระจก เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถชมได้ อารามที่ได้รับการบูรณะแล้วนี้ เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ โดยการเปิดตัวโครงการนี้ เกิดขึ้นไม่นาน หลังจากเกิดเหตุโจมตีคริสเตียนอย่างรุนแรง ในอียิปต์ และรัฐบาล ได้นำเสนอโครงการนี้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์
พระสงฆ์
ผู้นำของคริสตจักรคอปติก ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช มหาสังฆราช หรือบาทหลวง ล้วนได้รับคัดเลือกจากพระสงฆ์ในทะเลทรายเสมอ ในทศวรรษ 1960 พระอับบา เชนูดา (Anba Shenudah) ได้ริเริ่มขบวนการโรงเรียนวันอาทิตย์ (Sunday School Movement) ซึ่งสนับสนุนให้ชายหนุ่มผู้มีการศึกษา ละทิ้งความสุขทางโลก และเข้าร่วมชีวิตนักพรตในทะเลทราย นับตั้งแต่เริ่มต้นขบวนการนี้ จำนวนพระในอียิปต์เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าภายใน 25 ปีแรก และพระหนุ่มเหล่านี้จำนวนมาก ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในศาสนจักร
ที่อารามนักบุญแอนโทนี จำนวนพระเพิ่มขึ้นจาก 24 รูปในปี 1960 เป็น 69 รูปในปี 1986 และในปี 2010 มีพระและนักบวชประมาณ 120 รูปอาศัยอยู่ในชุมชนนี้
ในอดีต พระสงฆ์ส่วนใหญ่มักมีอายุมากกว่า 50 ปี และตามขนบของนักพรตในทะเลทราย ความศรัทธามักเชื่อมโยงกับการปฏิเสธปัญญาหรือการศึกษา เช่น นักบุญมาการิอุสผู้ยิ่งใหญ่เคยเป็นคนเลี้ยงอูฐ นักบุญมาการิอุสแห่งอเล็กซานเดรียเคยเป็นพ่อค้าร้านเล็ก ๆ นักบุญอพอลโลเคยเลี้ยงแพะ และนักบุญพัฟนูเทียสกับนักบุญแพมโบก็ไม่รู้หนังสือ
แต่แนวโน้มนี้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่เกิดการฟื้นฟูชีวิตนักพรตในอียิปต์ช่วงทศวรรษ 1960 ปัจจุบัน พระสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มที่มีการศึกษาและมีพื้นฐานความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และสถาปัตยกรรม
พระสันตะปาปาที่มาจากอารามนักบุญแอนโทนี
สมเด็จพระสันตะปาปาเกเบรียลที่ 6 (ค.ศ. 1466–1474)
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 15 (ค.ศ. 1619–1629)
สมเด็จพระสันตะปาปามาร์กที่ 6 (ค.ศ. 1646–1656)
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 16 (ค.ศ. 1676–1718)
สมเด็จพระสันตะปาปาปีเตอร์ที่ 6 (ค.ศ. 1718–1726)
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 17 (ค.ศ. 1727–1745)
สมเด็จพระสันตะปาปามาร์กที่ 7 (ค.ศ. 1745–1769)
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นที่ 18 (ค.ศ. 1769–1796)
สมเด็จพระสันตะปาปามาร์กที่ 8 (ค.ศ. 1796–1809)
สมเด็จพระสันตะปาปาปีเตอร์ที่ 7 (ค.ศ. 1809–1852)
สมเด็จพระสันตะปาปาซีริลที่ 4 (ค.ศ. 1854–1861)
สมเด็จพระสันตะปาปาโจเซฟที่ 2 (ค.ศ. 1946–1956)
เจ้าอาวาส
ณ ปี ค.ศ. 1991 บิชอปและเจ้าอาวาส ของอารามนักบุญแอนโทนี คือพระสังฆราชโยสตอส (Bishop Yostos)
ความสำคัญต่อคริสตชนคอปติก
ขบวนการนักพรตในอียิปต์ ได้รับการฟื้นฟูอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในยุคสมณสมัยของพระสังฆราชคีริลลอสที่ 6 (ค.ศ. 1959–1971) ซึ่งส่งผลอย่างมาก ต่อการฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของคริสตจักรคอปติก การสร้างถนนในทะเลทราย ที่นำไปสู่อาราม ช่วยให้อารามหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวทางภูมิศาสตร์ และเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ปัจจุบันอารามกลายเป็นสถานที่แสวงบุญยอดนิยม ซึ่งสามารถเดินทางไปถึงได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงจากเมืองใหญ่โดยรถประจำทางหรือรถยนต์ มีผู้แสวงบุญทั้งชาวคริสต์อียิปต์และชาวต่างชาติเดินทางมาเยือนมากกว่าหนึ่งล้านคนต่อปี
ต่างจากในอดีต ที่อาราม มีหน้าที่เฉพาะด้านการปลีกวิเวกและบำเพ็ญเพียร ปัจจุบัน อารามยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของคริสตชนคอปติก ที่พวกเขาสามารถจัดกิจกรรมธรรมปฏิบัติของเยาวชน การอบรมทางศาสนา และการประชุมฝ่ายวิญญาณต่าง ๆ อารามแห่งนี้สามารถเดินทางเข้าถึงได้จากไคโร ซูเอซ หรือฮูร์กาดา










