วัดปศุปตินาถ (Pashupatinath Temple)วัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกาฐมาณฑุ
**วัดปศุปตินาถ** (เนปาล: पशुपतिनाथ मन्दिर) เป็นวัดฮินดูที่อุทิศถวายแด่เทพปศุปติ ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระศิวะ วัดตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบักมตี (Bagmati) ในกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล วัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 โดยองค์การยูเนสโก ระบุว่าวัดนี้เป็น "กลุ่มศาสนสถานฮินดูขนาดใหญ่" ที่เป็น "กลุ่มของวัด อาศรม รูปสลัก และจารึกต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นตลอดหลายศตวรรษตามแนวฝั่งแม่น้ำบักมตีอันศักดิ์สิทธิ์" และเป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มโบราณสถาน ที่รวมอยู่ในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในหุบเขากาฐมาณฑุ
วัดแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญ ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาฮินดู โดยมีพื้นที่กว่า 246 เฮกตาร์ (2,460,000 ตารางเมตร) และประกอบด้วยวัดย่อยจำนวน 518 แห่ง และมีอาคารหลักที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเจดีย์ (pagoda)
วัดปศุปตินาถ ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในศิวเขตรที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดตามคัมภีร์ *สกันทะปุราณะ* (Skanda Purana) และยังเป็นหนึ่งใน *Paadal Petra Sthalams* (หรือ *Tevara Sthalam* ในภาษาทมิฬ) ตามคัมภีร์เทวารัม (Tevaram) อีกด้วย ตามคัมภีร์ *ศิวปุราณะ* (Shiva Purana) ศิวลึงค์แห่งปศุปตินาถนั้นสามารถประทานพรให้สมปรารถนาได้ วัดนี้ยังถือเป็น "เศียรของพระศิวะ" ในขณะที่พระวรกายของพระองค์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดกาศีวิศวานาถ (Kashi Vishwanath) ประเทศอินเดีย
วัดปศุปตินาถ ยังมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ กับวัดศิวะสำคัญ ในอินเดียอีกหลายแห่ง ได้แก่ วัดเคดาร์นาถ (Kedarnath), รุทรานาถ (Rudranath), กลปศวร (Kalpeshwar), มัธยมาห์ศวร (Madhyamaheshwar) และตุงนาถ (Tungnath) ตามตำนานในมหาภารตะ นักบวชประจำวัดหลักนั้น ตามธรรมเนียมแล้ว จะต้องเป็นพราหมณ์ดราวิฑะจากรัฐกรณาฏกะ (Karnataka) ที่ได้รับการศึกษาโดยตรงจากสำนักศังคราจารย์ทักษิณามนายะ (Śrī Śaṅkarāćārya Dakṣiṇāmnāya Pīṭha) แห่งศริงเครี (Sringeri)
ประวัติ
วัดปศุปตินาถ ถือเป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกาฐมาณฑุ เชื่อกันว่า มีต้นกำเนิดก่อนยุคพระเวท (Pre-Vedic) ตามคำกล่าวในคัมภีร์ *เนปาลมหาตมยะ* (Nepal Mahatmya) และ *หิมวตขันฑะ* (Himvatkhanda) แห่ง *สกันทะปุราณะ* ได้กล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าที่ประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ได้รับความเคารพสักการะในนาม "ปศุปติ" อันยิ่งใหญ่
ตามคัมภีร์ *ศิวปุราณะ* ได้กล่าวว่า ศิวลึงค์ที่ประดิษฐานในวัดปศุปตินาถนั้น สามารถทำให้ผู้สักการะสมปรารถนาได้ และในบทที่ 9 ของ "โกฏิรุทรสังหิตา" (Koti-Rudra Samhita) ซึ่งเล่าถึงการเดินทางของปาณฑพในการตามหาพระศิวะ ก็ได้กล่าวถึงวัดแห่งนี้ไว้เช่นกัน เมื่อปาณฑพทำสมาธิบำเพ็ญตบะอย่างยาวนาน พระศิวะซึ่งได้แปลงกายเป็นวัวและซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดิน ได้ปรากฏพระองค์ออกมาดังนี้: ศีรษะของพระองค์อยู่ที่ปศุปตินาถ ส่วนโหนกหลังอยู่ที่เคดาร์นาถ พระพักตร์อยู่ที่รุทรานาถ พระกรอยู่ที่ตุงนาถ และพระนาภีอยู่ที่มัธยมาห์ศวร
ตามตำนานอีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า พระศิวะและพระปารวตีได้แปลงกายเป็นละมั่ง และใช้ชีวิตอยู่ในป่าแถบฝั่งตะวันออกของแม่น้ำบักมตี เหล่าเทพเจ้าจึงติดตามไปพบพระองค์ และจับพระองค์ไว้ที่เขา ทำให้พระองค์กลับคืนสู่ร่างเทพอีกครั้ง เขาที่หักนั้นถูกนำมาบูชาเป็นศิวลึงค์ แต่ต่อมาถูกฝังอยู่ใต้ดินและหายสาบสูญ จนกระทั่งวันหนึ่งคนเลี้ยงวัวคนหนึ่งพบว่าวัวของเขาเทน้ำนมลงบนพื้น จึงขุดลงไปและพบศิวลึงค์ของปศุปตินาถ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของวัดนี้ ย้อนไปถึงราวปี ค.ศ. 400 โดยมีบันทึกในหนังสือ *Gopalraj Aalok Vhat* ว่าวัดนี้สร้างโดยพระเจ้าปรจัณฑเทวะ (Prachanda Deva) แห่งราชวงศ์ลิจฉวี (Licchavi) อีกบันทึกหนึ่งระบุว่าวัดปศุปตินาถเดิมเป็นศิวลึงค์กลางแจ้ง ก่อนที่พระเจ้าสุปุษปเทวะจะสร้างวัดแบบห้าชั้นขึ้นที่นี่ ต่อมาวัดถูกบูรณะโดยพระเจ้าศิวเทวะ (1099–1126) และในสมัยของพระเจ้าอนันตมัลละได้มีการสร้างหลังคาครอบอีกชั้นหนึ่ง
ภายหลังยังมีวัดอื่น ๆ ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติมรอบวัดหลัก เช่น วัดพระรามในกลุ่มวัดไวษณพจากศตวรรษที่ 14 และวัดคุหเยศวรี (Guhyeshwari Temple) ซึ่งมีการกล่าวถึงในเอกสารโบราณจากศตวรรษที่ 11 วัดปศุปตินาถในรูปแบบปัจจุบันได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1692 หลังจากอาคารเก่าถูกปลวกและแผ่นดินไหวทำลาย
ในแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนเมษายน ปี 2015 แม้ว่าวัดหลักและห้องครรภคฤหะ (ศูนย์กลางศักดิ์สิทธิ์ที่สุด) จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่สิ่งปลูกสร้างภายนอกบางส่วนได้รับความเสียหาย
สถาปัตยกรรม
วัดหลัก สร้างขึ้นด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมแบบเนวารี (Newari) มีหลังคาสองชั้น ทำด้วยทองแดงและเคลือบทอง ตัวอาคารตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความสูงจากฐานถึงยอด 23.07 เมตร มีประตูใหญ่สี่ด้านซึ่งหุ้มด้วยแผ่นเงินทั้งหมด ยอดวัดหรือชิกระ (shikhara) เป็นยอดทองคำ ภายในมี *ครรภคฤหะ* สองส่วน คือ ครรภคฤหะภายใน (inner sanctum) ซึ่งประดิษฐานรูปเคารพ และครรภคฤหะภายนอก (outer sanctum) ซึ่งเป็นระเบียงรอบด้านที่เปิดโล่ง
เทวรูปหลัก
ศูนย์กลางของวัดคือศิวลึงค์ที่ทำจากหิน เรียกว่า *มุขลึงค์* (Mukhalinga) วางอยู่บนฐานโยนีที่ทำด้วยเงิน และมีงูเงินพันรอบศิวลึงค์ ลึงค์นี้มีความสูง 1 เมตร และมีพระพักตร์หันไป 4 ทิศ แสดงถึงปางต่าง ๆ ของพระศิวะ ได้แก่:
- สัตโยชะตะ (Sadyojata หรือ บารุน - Varun)
- วามเทวะ (Vamadeva หรือ อรรธนารีศวร - Ardhanareshwara)
- ตัตปุรุษะ (Tatpurusha)
- อโฆระ (Aghora)
- อีศานะ (Ishana – ปางจินตนาการ)
แต่ละพระพักตร์มีพระหัตถ์เล็ก ๆ ยื่นออกมา ถือประคำ (รัทรักษะ) ในมือขวา และหม้อน้ำ (กมนฺฑลุ) ในมือซ้าย ศิวลึงค์องค์นี้จะถูกคลุมด้วยผ้าทองคำตลอดเวลา ยกเว้นในช่วงประกอบพิธีกรรม *อาภิเษก* (abhisheka) เท่านั้น โดยในพิธีนี้ จะมีการรินน้ำนม หรือน้ำคงคาลงบนลึงค์ ผ่านนักบวชประจำวัด
ศาสนาและพิธีกรรม
ในบริเวณวัดมีอาศรมของพระอาทิศังกราจารย์ (Adi Shankaracharya) ซึ่งเป็นนักปราชญ์พระเวทจากแคว้นเกรละ ประเทศอินเดีย ในศตวรรษที่ 8
พิธีกรรมประจำวัน ของวัดปศุปตินาถ ดำเนินการโดยนักบวชสองกลุ่มคือ *ภัทตะ (Bhatta)* และ *ราชพันธารี (Rajbhandari)* โดยนักบวชภัทตะ เป็นผู้ทำพิธีกรรม และสามารถสัมผัสองค์ลิงคะ (linga) ได้ ส่วนราชพันธารี เป็นผู้ช่วยและดูแลวัด ซึ่งไม่มีสิทธิ์ทำพิธีหรือสัมผัสองค์เทพ
ภัทตะ (Bhatta)
ภัทตะเป็นนักพราหมณ์จากรัฐกรณาฏกะ (Karnataka) ซึ่งผ่านการศึกษาพระเวทอย่างสูง นักบวชของวัดปศุปตินาถไม่ได้รับตำแหน่งทางมรดกเหมือนวัดฮินดูอื่น ๆ แต่คัดเลือกจากนักปราชญ์ และผู้ที่ได้รับเลือกจะถูกส่งไปยังกรุงกาฐมาณฑุเพื่อประกอบพิธีและบูชาในแต่ละวัน
นักบวชภัทตะปัจจุบันของวัดปศุปตินาถ ได้แก่:
- คเณศ ภัทตะ (Ganesh Bhatta) นักบวชใหญ่คนที่ 15 (Mool Bhat) จากเมืองอูดูปี
- คีริศ ภัทตะ (Girisha Bhatta) จากเมืองเซอร์สิ
- นารายณ ภัทตะ (Narayana Bhatta) จากเมืองภัทคลาล
- บี.เอส. บินายะ อทิกา-ภัทตะ (B.S Binaya Adiga-Bhatta)
- ราฆเวนทรา ภัทตะ (Raghavendra Bhatta) เป็นภัทตะประจำวัดนาควาสุกิในวัดปศุปตินาถ
ราชพันธารี (Rajbhandari)
ราชพันธารีเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินวัด ผู้ช่วยนักบวช และดูแลการบำรุงรักษาวัด สืบทอดมาจากผู้ช่วยนักบวชในยุคต้นที่ตั้งถิ่นฐานในหุบเขากาฐมาณฑุและกลายเป็นชนชั้นสูงในระบบวรรณะเนวาร์ ปัจจุบันเป็นวรรณะฉัตรียะ/กษัตริย์ในสายโกโตรกัศยปะ (Kashyapa gotra)
หน้าที่หลักของราชพันธารี คือช่วยนักบวชภัทตะและดูแลวิหารชั้นใน (garbhagriha) แม้อาจไม่มีความรู้พระเวทแต่ก็สามารถเป็นผู้ช่วยนักบวชได้หากสืบเชื้อสายตามเกณฑ์ เช่น วรรณะ โกโตร ความบริสุทธิ์ของสายเลือด และการศึกษาขั้นพื้นฐาน พวกเขาทำงานเป็นทีมละ 3 คน และผลัดเปลี่ยนทุกวันเพ็ญ ปัจจุบันมีราชพันธารีทั้งหมด 108 คน
สถานที่แสวงบุญของชาวพุทธ
ชาวพุทธ นับถือพื้นที่วัดปศุปตินาถว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเกี่ยวข้องกับมหาสิทธะหลายท่าน เช่น มัจเฉนทรนาถ โฆรกนาถ ปัทมสมภวะ นาโรปะ และติโลปะ เชื่อกันว่า โฆรกนาถ ได้เปิดเผยศาสตร์แห่งโยคะหฐะ (Haṭha Yoga) ที่นี่ให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในพระพุทธศาสนาวัชรยาน พื้นที่เผาศพของวัดนี้ถือเป็นหนึ่งใน ‘ลุนทรุปเซก’ (Lhundrup Tsek – เนินแห่งการสลายอัตตาโดยธรรมชาติ) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 สถานที่เผาศพอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปัทมสมภวะใช้ปฏิบัติธรรมและบรรลุญาณขั้นสูง
ถ้ำ 2 แห่งที่ตั้งอยู่ทางเหนือของบริเวณเผาศพริมฝั่งแม่น้ำ ได้รับการเคารพบูชาในฐานะสถานที่บำเพ็ญเพียรของติโลปะและลูกศิษย์นาโรปะ โดยเชื่อว่านาโรปะได้รับคำสอนโดยตรงจากอาจารย์ของตน และเห็นนิมิตของพระวัชรโยคินี ณ ที่แห่งนี้
นาโรปะยังเป็นครูของมารปะ ผู้ก่อตั้งนิกายคายูของพระพุทธศาสนาในทิเบต ซึ่งนำคำสอนวัชรยานไปยังทิเบต มารปะต่อมาเป็นอาจารย์ของมิลาเรปะ หนึ่งในโยคีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทิเบต
ในเดือนมกราคม ปี 2009 หลังจากหัวหน้านักบวชของวัดปศุปตินาถ ถูกบีบบังคับให้ลาออก รัฐบาลเนปาลที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์สายเหมา (Maoist) ได้แต่งตั้งนักบวชชาวเนปาลเชื้อสายข่าษ-กอร์ขาลี (Khas-Gorkhali) ขึ้นเป็นผู้นำวัด โดยละเลยข้อกำหนดตามจารีตดั้งเดิมของวัดมาอย่างยาวนาน
การแต่งตั้งนี้ถูกคัดค้านโดยกลุ่มราชพันธารี (Rajbhandari – ผู้ดูแลวัด) โดยพวกเขาไม่ได้คัดค้านการแต่งตั้งนักบวชชาวเนปาลโดยตรง แต่คัดค้านกระบวนการแต่งตั้งที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอน
เมื่อการแต่งตั้งถูกนำไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลฎีกาเนปาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการแต่งตั้งนั้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเมินเฉยต่อคำตัดสินของศาลและยังคงยืนยันในคำตัดสินของตนเอง ซึ่งนำไปสู่กระแสความไม่พอใจในสังคม และการประท้วงเกี่ยวกับความไม่โปร่งใส ในการบริหารจัดการ
ต่อมา ได้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มเยาวชน ของพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สายเหมา) กับเจ้าหน้าที่วัดผู้ประท้วง ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 12 คน เมื่อสมาชิกพรรคสายเหมาประมาณ 100 คนเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ดูแลวัด อย่างไรก็ตาม ฝ่ายพรรคสายเหมาได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้
นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวจากพรรคฝ่ายค้าน ได้เข้าร่วมการประท้วง พร้อมทั้งประกาศสนับสนุนนักบวชภัทตะ (Bhatta) และกลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนภัทตะ
ภายหลังจากกระแสความไม่พอใจ และการประท้วงอย่างต่อเนื่องจากชาวฮินดู ทั้งในและนอกประเทศเนปาล รัฐบาลจึงถูกกดดันให้กลับลำ และแต่งตั้งนักบวชภัทตะ กลับเข้าดำรงตำแหน่งตามเดิม








