ทะเลสาบโอวนิอังกา (Lakes of Ounianga) กลุ่มทะเลสาบในทะเลทรายซาฮารา
ทะเลสาบโอวนิอังกา (ฝรั่งเศส: Lacs d'Ounianga, อาหรับ: بحيرات أونيانجا, ถอดเสียงโรมัน: Buḥayrāt ʾUniyāngā) เป็นกลุ่มทะเลสาบในทะเลทรายซาฮารา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศชาด บริเวณแอ่งน้ำในเทือกเขาเวสต์ทิเบสติ (West Tibesti) และเอนเนดีตะวันออก (Ennedi East) ทะเลสาบเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 2012
ตามคำอธิบายของยูเนสโก ทะเลสาบเหล่านี้ ตั้งอยู่ในเขตทะเลทรายที่ร้อนจัด และแห้งแล้งสุดขีด โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรต่อปี ทะเลสาบมีขนาด ความลึก องค์ประกอบทางเคมี และสีที่หลากหลาย
กลุ่มทะเลสาบ
ทะเลสาบทั้งหมดมีจำนวน 18 แห่ง แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้:
- กลุ่มโอวนิอังกาเคเบียร์ (Ounianga Kébir): ประกอบด้วยทะเลสาบโยอา (Lake Yoa), คาตัม (Lake Katam), โอมาหรืออูมา (Lake Oma/Ouma), เบเวอร์ (Lake Béver), มิดจิ (Lake Midji), และโฟโรดอม (Lake Forodom)
- ทะเลสาบมอโทร (Lake Motro): ตั้งอยู่ห่างจากโอวนิอังกาเคเบียร์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 30 กิโลเมตร
- กลุ่มโอวนิอังกาเซรีร์ (Ounianga Sérir): ตั้งอยู่ห่างจากโอวนิอังกาเคเบียร์ไปราว 45–60 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยทะเลสาบเมเลกุย (Lake Melekui), เดียร์เก (Lake Dirke), อาร์จู (Lake Ardjou), เทลี (Lake Téli), โอบรอม (Lake Obrom), เอลิเม (Lake Élimé), โฮโก (Lake Hogo), เดียรา (Lake Djiara), อาโฮอิตา (Lake Ahoita), ดาเลยาลา (Lake Daléyala) และบุคคู (Lake Boukkou)
พื้นที่ผิวรวมของทะเลสาบทั้งหมดประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร โดยทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดคือ ทะเลสาบโยอา (Lake Yoa) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 3.5 ตารางกิโลเมตร และมีความลึกถึง 20 เมตร
ชื่อของกลุ่มทะเลสาบ มาจากชื่อหมู่บ้านใกล้เคียง โดย Ounianga Kebìr หมายถึง “โอวนิอังกาใหญ่” และ Ounianga Sehrìr หมายถึง “โอวนิอังกาเล็ก”
ภูมิศาสตร์
แหล่งน้ำในทะเลสาบ มีที่มาจากชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน ที่สะสมตัว ตั้งแต่ยุคที่ภูมิภาคนี้เคยชุ่มชื้นในอดีต ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งจัด เมื่อน้ำผิวดินสัมผัสกับอากาศจะระเหยอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำกลายเป็นน้ำเค็ม ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับทะเลสาบในกลุ่มโอวนิอังกาเคเบียร์ โดยทะเลสาบโยอามีอัตราการระเหยของน้ำถึง 6 เมตรต่อปี และมีความลึกทั้งหมด 25 เมตร
ทะเลสาบในกลุ่มโอวนิอังกาเซรีร์ มีระบบไฮโดรลอจีก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในทะเลทรายของโลก โดยมีปัจจัยทางกายภาพ ที่ทำให้น้ำในทะเลสาบส่วนใหญ่เป็นน้ำจืด ยกเว้นเพียงทะเลสาบกลางคือ ทะเลสาบเทลี (Lake Teli)
ลมพัดทรายเข้ามาแบ่งแอ่งน้ำออกเป็น 10 ทะเลสาบ โดยทะเลสาบเทลียังตั้งอยู่ตรงกลาง ทะเลสาบจืดขนาดเล็กจะปกคลุมด้วยพืชกกหนาแน่นซึ่งช่วยชะลอการระเหย ขณะที่ทะเลสาบเทลีไม่มีพืชปกคลุม ทำให้น้ำระเหยได้มากกว่า ระดับน้ำในทะเลสาบเทลีจึงต่ำกว่า และทำให้น้ำจากทะเลสาบอื่นไหลผ่านเนินทรายที่ซึมผ่านได้เข้าสู่ทะเลสาบเทลีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทะเลสาบอื่น ๆ คงความเป็นน้ำจืดไว้ได้
ความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์มนุษย์
ประวัติภูมิอากาศของภูมิภาคนี้ มีความเกี่ยวข้องกับการอพยพของมนุษย์ ในช่วงสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง เมื่อราว 11,000 ปีก่อน โดยทะเลทราย ได้กลับคืนสู่ภูมิภาคนี้ หลังจากที่มรสุมในแอฟริกาลดลง เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน
การศึกษาจากแกนเจาะตะกอนใต้ทะเลสาบโยอา เผยให้เห็นว่ามีชั้นตะกอน 10,940 ชั้นในความลึก 16 เมตร ก่อนถึงพื้นทะเลทรายในยุคน้ำแข็ง โดยแต่ละชั้นแทนปีละ 1 ปี
กระบวนการทำให้เป็นทะเลทราย ซึ่งฝังกลบสวนผลไม้และพืชผลของพวกเขา ในช่วงยุคชุ่มชื้นของแอฟริกา มนุษย์ยุคแรกพบว่า ทะเลสาบน้ำจืดในพื้นที่นี้ มีความอุดมสมบูรณ์ เพียงพอที่จะปลูกพืชและอาจเลี้ยงวัวได้ด้วย หลักฐานจากภาพเขียนฝาผนังหินที่พบ ในหลายพื้นที่ของทะเลทรายซาฮารา ชี้ให้เห็นสิ่งนี้
อย่างไรก็ตาม สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแห้งแล้งอย่างช้า ๆ และต่อเนื่องจนกลายเป็นทะเลทรายจนถึงปัจจุบัน ลมทะเลทรายจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำทรายจากที่ราบสูงลงมาตามช่องเขา มาสะสมบริเวณพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร
เมื่อชาวบ้านในยุคนั้นเห็นว่า ทรายกำลังจะฝังกลบพืชผลและสวนผลไม้ของพวกเขา จึงได้พยายามสร้างสิ่งกีดขวาง ซึ่งมองเห็นได้จากภาพถ่ายทางอากาศ ในหลายพื้นที่ของทั้งกลุ่มโอวนิอังกาเคเบียร์และเซรีร์ โครงสร้างเหล่านี้ มีลักษณะคล้ายตัว “V” ต่อกัน เช่น “VVVVVV” บางแนวยาวถึง 700 เมตร และมีหลายชั้น
ความพยายามนี้ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ต้องใช้คนจำนวนมาก ในการสร้างสิ่งกีดขวางซ้ำซ้อนเหล่านี้ แต่น่าเสียดายที่ “รั้ว” เหล่านี้ ไม่สามารถต้านทานทะเลทรายได้ และทรายก็เข้ามากลืนพื้นที่ จนทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐาน ต้องละทิ้งบริเวณนี้ ในช่วงประมาณ 7,500 ถึง 5,000 ปีก่อน













